รัฐสภาเห็นชอบข้อตกลงความร่วมมือด้านยานยนต์อาเซียน “สุริยะ” ชี้ส่งผลดีต่อไทยทะยานขึ้นสู่ผู้นำด้านยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน เตรียมแผนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 9 ก.พ.64 ในการประชุมร่วมรัฐสภา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีนำเสนอ “ข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียน” ต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
โดย นายสุริยะ กล่าวชี้แจงหลักการและเหตุผลของข้อตกลงฯช่วงหนึ่งว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนเริ่มจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียนในปี 2552 เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้าในสาขาผลิตภัณฑ์ยานยนต์และชิ้นส่วนภายในภูมิภาค โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลมาตรฐานระหว่างกัน ปรับมาตรฐานให้เป็นหนึ่งเดียว นำไปสู่การยอมรับผลการตรวจสอบรับรอง สำหรับประเทศไทยนั้น รวม.พาณิชย์ ในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจของไทย ได้ลงนามข้อตกลงฯ เมื่อวันที่ 19 ต.ค.63 และประเทศสมาชิกลงนามครบแล้ว ทั้ง 10 ประเทศ เมื่อวันที่ 16 ม.ค.64
“ข้อตกลงนี้เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งออกและนำเข้าผลิตภัณฑ์ยานยนต์และชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นผู้นำของอาเซียนในการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วน โดยถือเป็นผู้ผลิตอันดับ 11 ของโลก และอันดับ 5 ของเอเชีย การยอมรับผลตรวจสอบรับรองจะช่วยลดค่าใช้จ่าย ระยะเวลาและขั้นตอนในการส่งออก บรรเทาปัญหาการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของประเทศสมาชิกอาเซียน เพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ สร้างตลาดและฐานการผลิตร่วมกันในภูมิภาคอาเซียน และเป็นการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์” นายสุริยะ ระบุ
.
นายสุริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อการใช้ทรัพยากรน้ำมันของประเทศ อีกทั้งให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานไฟฟ้า ในอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยตั้งเป้าภายในปี 2573 (2030) จะต้องมีการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานในประเทศอย่างน้อยร้อยละ 30 ทั้งนี้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายรถไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนการใช้พลังงานไฟฟ้าในประเทศ และกำหนดให้มีแผนยุทธศาสตร์ เพื่อให้พลังงานไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการในอนาคต ทดแทนการใช้พลังงานน้ำมันในปัจจุบัน
หลังเปิดให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายพอสมควรแล้ว ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้มีมติเห็นชอบข้อตกลงฯ 576 เสียง ไม่มีผู้ไม่เห็นชอบ งดออกเสียง 3 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง จากผู้เข้าประชุมทั้งหมด 582 คน.