ข่าวปนคน คนปนข่าว
**พักโทษ"สรยุทธ" ติดจริง1ปี 3เดิอน ควรยินดีไม่ใช่ทับถม เข้าเกณฑ์พิเศษร่วมกับอีกกว่า 500 คน ช่อง 3 ปูทางจ่อคืนจอ
ได้รับความสนใจจากโลกโซเชียลฯไม่น้อยหลังจากมีข่าวว่า "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" อดีตพิธีกรนักเล่าข่าวชื่อดังเข้าหลักเกณฑ์ "พักโทษ" เป็นกรณ๊พิเศษ จากที่ถูกคุมขังในคดียักยอกเงินค่าโฆษณา อสมท จำนวน 138 ล้านบาทเศษ โดยจะออกจากเรือนจำในวันที่ 14 มี.ค.นี้
โดย"สรยุทธ" ต้องเข้าอบรมโครงการโคกหนองแห่งน้ำใจและความหวังก่อนออกจากเรือนจำ พร้อมกับต้องติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (กำไลอีเอ็ม) รวมถึงต้องรายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติตามนัด
แน่นอนว่า หลายคนแสดงความยินดีที่อดีตพิธีกรนักเล่าข่าวได้พักโทษ แต่ก็มีบางส่วนที่พูดจาทับถม โดยยกประเด็นโทษจำคุก 6 ปี 24 เดือนแต่ติดจริง 1ปี 3เดือน มาแซะ เลยเถืดไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นทางสังคม ระหว่าง"คนรวย-คนจน"
อันว่า นานาจิตตัง ดูกันดีๆ อย่างมีสติเรื่องนี้ควรยินดีมากกว่าทับถม เพราะไม่ใช่ผู้ถูกคุมขังใครที่รวยหรือชนชั้นสูง จะมีอภิสิทธิ์์ได้สิทธิพิเศษเหนือใคร
กรณีนี้ "อายุตม์ สินธพพันธุ์" อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็บอกไว้ชัดเจน คณะกรรมการพิจารณาพักการลงโทษได้ประชุมพิจารณาผู้ต้องขังที่เข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ ในรอบนี้มีผู้ต้องขังเข้าเกณฑ์ไม่เกิน 500 ราย ในจำนวนนี้มี "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" รวมอยู่ด้วย และวันที่ 11 ก.พ.64 คณะกรรมการจะประชุมอีกครั้ง เพื่อพิจารณาผู้ต้องขังที่เข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษอีกจำนวน 7,000 คน
ข้อดีมีอยู่ว่า หลังจากมีการพักโทษเรือนจำจะมีผู้ต้องขังทั่วประเทศ 320,000 ราย จากเดิม 380,000 ราย เป็นการลดความแออัดของนักโทษแล้วก็เป็นจำนวนที่กรมราชทัณฑ์รับมือได้
และหากไล่เรียงย้อนหลังก็ต้องบอกว่า"สรยุทธ" นั้นได้รับพระราชทานอภัยโทษโดยการลดโทษมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2563 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2563 ให้เหลือโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยตามกำหนดจะพ้นโทษในปี 2566 ซึ่งวันนี้ได้รับพิจารณาการพักโทษก็ถือว่าเป็นไปตามกระบวนการของกรมราชทัณฑ์
สิ่งที่น่าสนใจจากนี้มากกว่า น่าจะเป็นเส้นทางชีวิตของอดีตพิธีกรดังว่า เมื่อพักโทษออกมาแล้วจะจับเส้นทางไหนไปต่อ ท่ามกลางแฟนคลับที่ติดตามบ้างก็ร่ำลือกันว่า จะยังคงเป็นเส้นทางเดิมคือ เล่าข่าว แต่จะเปลี่ยนไปอยู่ช่อง7 สีทีวีเพื่อคุณ ซึ่งคล้อยหลังไม่นานช่อง 7 ก็ออกมาดับข่าวลืออย่างรวดเร็ว
ขณะที่มีข่าวว่า ถิ่นเก่า ช่อง 3 เตรียมปรับผังรายการข่าว ต้อนรับ"สรยุทธ" คืนถิ่นกลับมา "เรื่องเล่าเช้านี้" นั่งอ่านข่าวตอนเช้าเหมือนเดิม พร้อมๆกับความคึกคักของบรรดาสปอนเซอร์ ที่คาดว่าโฆษณาจะเข้าไม่ต่ำกว่า 300 ร้อยล้าน เบื้องต้นขยับขยายเวลาเรื่องเล่าเช้านี้ ปูทางคืนจอเต็มที่
หาก"สรยุทธ" คืนจอจริง ก็ต้องจับตาดูวงการทีวีจะเป็นอย่างไร เพราะต้องไม่ลืมว่า ห้วงปีเศษๆ ที่ผ่านมาที่สรยุทธจำคุกอยู่นั้นสิ่งแวดล้อมของธุรกิจทีวี เทคโนโลยี แพลตฟอร์มต่างๆในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ทำให้พฤติกรรมของผู้ชมนั่นเปลี่ยนแปลงไปมาก
เรตติ้งของนักเล่าข่าวดังจะมีมนต์ขลังอยู่หรือไม่ โปรดติดตามกันต่อไป...นั่นละฮะท่านผู้ชมฮะ
**กระแสในประเทศตกต่ำแทบเอาตัวไม่รอด "หม่องทอน" เลยหันไปโหนกระแสเมียนมา สร้างภาพนักประชาธิปไตย
หลังรู้ข่าวแน่ชัดว่าเกิดการรัฐประหารในเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ประธานคณะก้าวหน้า ก็โพสต์เฟซบุ๊ก ประกาศยืนเคียงข้างประชาชนเมียนมา เรียกร้องประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ที่ถูกปล้นชิงไปกลับคืนมาทันที ...แถมยังแขวะในเชิง"กดดัน" มาถึง "รัฐบาลลงุตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยวิธีเดียวกัน คงจะไม่ยอมรับการรัฐประหารครั้งนี้
ไม่เพียงเท่านั้น ที่หน้าสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ที่มีชาวเมียนมาไปชุมนุมแสดงสัญญลักษณ์ ประท้วงการยึดอำนาจ บรรดากลุ่ม "ม็อบ3นิ้ว" ที่เป็นเครือข่ายของธนาธร ก็ยกขบวนกันไปร่วมชุมนุมด้วย ...ทั้งกลุ่มการ์ด "วีโว่" ... "เพนกวิน" พริษฐ์ ชิวารักษ์ "รุ้ง" ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ไม่พลาดที่จะไปขึ้นเวทีปราศรัย
ที่สำคัญคือ ทั้ง"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ"... "ช่อ" พรรณิการ์ วานิช ก็ไปร่วมด้วย ภาพที่ออกมานั้นเหมือน "ธนาธร" ไปเป็นผู้บัญชาการเอง เพราะในจำนวนผู้ชุมนุมนั้น เห็นได้ชัดว่ามีแนวร่วมของกลุ่มสามนิ้ว มากกว่าคนเมียนมา จนมีเสียงวิพากษ์ เป็นม็อบพม่า หรือม็อบสามนิ้วกันแน่
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อ "ธนาธร" ไปปรากฏตัวที่ชุมนุมได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ รุนแรงขึ้น มีการโยนระบิดปิงปอง ปาประทัดยักษ์ ขว้างปาสิ่งของ ไม้ อิฐตัวหนอน ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามากระชับพื้นที่ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บไปหลายนาย
เป็นการใช้สถานการณ์ในเมียนมา มาก่อกระแสป่วนกระทบชิ่งรัฐบาล และพยายามจุดชนวนความรุนแรงในประเทศ
ล่าสุด เมื่อวานนี้(2ก.พ.) "คณะก้าวหน้า" ยังโพสต์แถลงการณ์เป็นภาษาเมียนมา ประณามการปล้นอำนาจจากประชาชนชาวเมียนมาด้วยการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน พร้อมเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานองค์กร ทั้งของไทยและนานาชาติ ร่วมกันทำทุกวิถีทางเพื่อให้กองทัพเมียน มาหยุดอ้างการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ เพียงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนายพลเพียงไม่กี่คน
...คณะก้าวหน้า ขอยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาชนเมียนมา รวมทั้งพรรคการเมืองฝั่งประชาธิไตยในเมียนมา เพราะรัฐประหารคือโรคร้ายที่รุมเร้า ทั้งเมียนมา และไทย ฉุดรั้งความเจริญของประเทศ แต่เราประชาชนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ จะร่วมกันต่อต้านวงจร อุบาทว์ของการรัฐประหารอย่างถึงที่สุด...เพื่ออนาคตที่ประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ บนโลกใบนี้จะต้องไม่มีที่หยัดยืนให้แก่คณะรัฐประหารอีกต่อไป ...
โพสต์ดังกล่าวของคณะก้าวหน้า มีชาวโซเชียลฯเข้าไปแสดงความเห็นกันมากมาย ส่วนใหญ่จะถล่ม "หม่องทอน" ประมาณว่าเรื่องในประเทศของตัวเอง เริ่มเอาตัวไม่รอด เลยไปโหนกระแสประเทศเพื่อนบ้าน ... ในประเทศไทย ก็ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไม่รู้จบ ยังไม่พอใจอีกหรือ เล่นการเมืองแบบใหน หาแต่ศัตรู หาให้พรรคตัวเองก็ไม่ว่า ดันเจือกหาศัตรูให้ประเทศอีก...ถนัดนักเรื่องชักศึกเข้าบ้าน ...เก่งนักก็ไปประท้วงที่พม่าโน่น
เห็นได้ชัดว่ากระแส "ไม่เอาหม่องทอน" รุนแรงหนักหน่วงขึ้นทุกวัน จากพฤติกรรมของตัวเขาและครอบครัว การเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งนอกสภา ในสภา ที่มุ่ง"ทำลายสถาบันฯ" แกนนำม็อบในเครือข่ายถูกดำเนินคดีเป็นหางว่าว
ล่าสุด "ณฐพร โตประยูร" อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล ที่มีการกระทำเข้าข่าย เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ...โดยยกเอาเรื่องสนับสนุนให้มีการชุมนุม ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง...การลงมติเห็นชอบ ร่าง รธน.แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับไอลอว์ ... การเสนอแก้ไข ม.112...ส.ส.ของพรรคเดินสายประกันตัวผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีความผิด ม.112
เรื่องนี้ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงกับออกมาตอบโต้แบบปากกล้า ขาสั่น ว่าเป็นคำร้องที่ "เลอะเทอะ" และ "ไร้สาระ" พรรคไม่ได้มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแต่อย่างใด ...การยื่นยุบพรรคก้าวไกลครั้งนี้ ก็แค่เบี่ยงประเด็น กลบเกลื่อนความผิดพลาดในการบริหารงานของรัฐบาล ที่จะถูกแฉในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่กำลังจะมีขึ้นเท่านั้น
ก็คงต้องจับตากันว่า จากการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองแบบ "ทะลุเพดาน"ในทุกมิติ ทั้งนอกสภา ในสภานั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ เขาจะยังมีที่ยืนในสังคมไทยหรือไม่