กกต.วินิจฉัยฟ้องอาญา 3 ผู้สมัครเสรีรวมไทย ปมไม่มีคุณสมบัติแต่ลงสมัคร ส.ส. จากเหตุถือหุ้นในบริษัททำสื่อ
วันนี้ (1 ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.สั่งดำเนินคดีอาญาตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 151 ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แต่ยังยื่นลงสมัคร กับผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งพรรคเสรีรวมไทย ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 รวม 3 ราย ประกอบด้วย น.ส.ปิณญาดา ตันติมนตรี ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 8 กทม. นายชูเดช พันทวี ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 11 กทม. และนายคมกฤษณ์ จ่าทองคำ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 1 อุตรดิตถ์ กรณีเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เนื่องจากเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ โดย น.ส.ปิณญาดา ตันติมนตรี เป็นผู้ถือหุ้นของห้างหุ้นส่วนจำกัด คลื่นโลกเกษตร จากการที่บิดาใช้ชื่อ น.ส.ปิณญาดา ในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ซึ่งพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าในวันที่ น.ส.ปิณญาดาได้สมัครรับเลือกตั้งห้างหุ้นส่วนดังกล่าวยังคงมีสถานะประกอบกิจการสื่อมวลชน และ น.ส.ปิณญาดาได้ลงลายมือชื่อในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนดังกล่าว จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่รับรู้ความเป็นผู้ถือหุ้นและวัตถุประสงค์ของการประกอบธุรกิจแนบท้าย
ส่วนนายชูเดช พันทวี เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท อาร์.พี.ดี.ออฟ มีเดีย จำกัด แม้จะอ้างว่าได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท และได้โอนลอยหุ้นให้แก่ข้าวของบริษัทก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง แต่ไม่มีหลักฐานแสดงการโอนหุ้นดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่านายชูเดชเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชน และลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่นายคมกฤษณ์ จ่าทองคำ เป็นผู้ถือหุ้นของห้างหุ้นส่วนจำกัด สถานีวิทยุท้องถิ่น คลื่นมหาชน คนอุตรดิตถ์ จึงฟังได้ว่านายนายคมกฤษณ์เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนใดๆ และได้รับสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง กกต.จึงมีคำสั่งดำเนินคดีอาญาต่อบุคคลทั้งสามตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 98 (3) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 42 (3) และมาตรา 151 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี