นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. สวนหลวง พรรคกล้า กล่าวถึงปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ว่า เรื่องนี้เป็นหนึ่งในภัยคุกคามทางสุขภาพคนกรุงเทพฯที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นทุกปีและในปีนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานมาแล้วเกือบหนึ่งเดือน แต่กลับยังไม่มีมาตรการแก้ปัญหาใดๆที่ชัดเจนออกมาเลย ซึ่งถึงตอนนี้คงไม่ต้องถามหากันอีกแล้วว่า ต้นเหตุฝุ่นพิษ PM 2.5 คืออะไร เพราะเรื่องนี้เกิดมาเป็นสิบปีแล้ว มีการศึกษาหรือตั้งคณะทำงานต่างๆมาแล้วหลายชุด แต่สิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกลับเป็นเรื่องความกล้าหาญทางนโยบายที่จะตัดสินในเพื่อแก้ปัญหาจริงๆ
นอกจากฝุ่นควันจากการเผาพื้นที่เกษตรกรรมตามฤดูกาลและฝุ่นควันจากพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมแล้ว สำหรับกรุงเทพฯ ปัญหาจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนตร์และการมีสภาพพื้นที่ปิดกั้นทางลมจากตึกสูงจำนวนมาก ถือเป็นอีกหนึ่งในต้นเหตุสำคัญของฝุ่นพิษ เราจึงจำเป็นต้องมีมาตรการออกมาจัดการทั้งในส่วนรถยนตร์ส่วนบุคคลและรถสาธารณะหรือรถเมล์ ทั้งนี้ หากต้องการเริ่มต้น ในส่วนของรถเมล์เราอาจจะสามารถจัดการได้ง่ายกว่ามีหน่วยงานรับผิดชอบภายใต้การกำกับของรัฐชัดเจนคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่รัฐบาลหรือกรุงเทพมหานครสามารถเข้าไปช่วยหนุนเสริมสิ่งที่ขาดได้ทันที
“รถเมล์หรือระบบขนส่งสาธารณะพื้นฐาน ควรจะเป็นเส้นเลือดสำคัญของกรุงเทพและชานเมือง เพราะจะช่วยเรื่องภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนได้มาก เนื่องจากมีราคาถูกกว่าขนส่งสาธารณะอื่นๆ แต่ที่ผ่านมากลับถูกละเลย นอกจากไม่เพียงพอครอบคลุมทุกพื้นที่แล้ว ยังมีสภาพเก่าใช้งานมานาน ปัจจุบันจากจำนวนรถเมล์ของ ขสมก. ที่วิ่งให้บริการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวนกว่า 3,000 คัน แต่ที่เปลี่ยนมาใช้ระบบก๊าซ NGV เพียง 400-500 คัน เท่านั้น ซึ่งความจริงจำเป็นต้องเปลี่ยนให้เป็นรถเมล์ใหม่ทั้งหมด เท่าที่ติดตาม ขสมก.มีแผนฟื้นฟูกิจการโดยได้บรรจุเรื่องการจัดหารถเมล์ใหม่ทั้งหมดให้เป็นระบบพลังงานสะอาด โดยกำหนดให้ใช้เพียงพลังงานก๊าซ NGV และพลังงานไฟฟ้า EV เท่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อเดือนธันวาคม ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีคำสั่งให้ส่งแผนคืนกระทรวงคมนาคมทบทวนแผนอีก โดยให้กลับไปเริ่มต้นกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใหม่ตั้งแต่ต้น ประเด็นสำคัญก็คือการยื่นแผนฟื้นฟูหรือแผนปฎิรูปรถเมล์แบบนี้ ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2561 ตีกลับไปกลับมามาแล้ว 9 ครั้ง ทำให้การแก้ปัญหาไม่ไปไหนเสียที ซึ่งเรื่องนี้นอกจากส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชนกว่า 1,200,000 คนที่ใช้บริการรถเมล์เก่าทุกวัน จำนวนรถไม่พอต้องรอนานมากและเส้นทางยังไม่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่นอย่างการที่ควรเป็นแล้ว รถเมล์ที่ใช้อยู่นี้ยังเป็นต้นกำเนิดของฝุ่นพิษ PM 2.5 ปริมาณมหาศาลซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของชาวกรุงเทพมหานครอีกด้วย”นายอริย์ธัช กล่าว
นายอริย์ธัช กล่าวต่อว่า เมื่อถึงฤดูฝุ่น นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีก็จะบอกว่าเป็นปัญหาระดับชาติกันทีหนึ่ง แต่เรากลับมองไม่เห็นความกล้าหาญที่จะออกนโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรเลย สุดท้ายก็ต้องทนกันไปจนผ่านพ้นไปอีกปี แต่หากพูดถึงความกล้าหาญทางนโยบายในการทำจริงเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนและต้องการที่จะแก้ปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว อยากให้ดูตัวอย่างของ โจ ไบเดน เพราะหลังได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเพียงสัปดาห์เดียว เขาก็เซ็นคำสั่งเปลี่ยนรถยนต์ของทางรัฐบาล 650,000 คัน เป็นรถไฟฟ้าที่ผลิตในสหรัฐทั้งหมด ตามนโยบาย ‘พลังงานสะอาด’ ของรัฐบาลสหรัฐ คิดว่า สำหรับประเทศไทยก็ควรถึงเวลาเสียทีที่จะต้องมีความกล้าหาญในการตัดสินใจทางนโยบาย เพื่อมุ่งไปสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นเช่นกัน