ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เจอ “เบิกเนตร” ซ้ำๆ “หมอหนู” ย้ำไปอีกดอก “ทอน” จำนนยอมไม่พูด “วัคซีนพระราชทาน” เลิกพาดพิงสถาบันฯ
หลังจาก “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์เฟซบุ๊กหา “ซีน” หวังปลุกกระแสพาดพิงไปถึงสถาบันฯ ด้วยการวิพากษ์ “วัคซีนโควิด” ที่ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ บริษัทที่ถือหุ้นโดยทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นผู้ได้รับประโยชน์ จนนำไปสู่การฟ้องคดี “ธนาธร” บิดเบือนข้อมูลและผิด ม.112 ซึ่งต่อมาปรากฏว่า มีหลายฝ่ายออกมา “เบิกเนตร” ซ้ำๆ และย้ำให้เห็นถึงคุณูปการของการดำเนินงานของบริษัท สยามไบโอฯ ที่มีต่อประเทศ และประชาชนอย่างไร
แล้วก็มาถึง “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข โพสต์ตอบ “ธนาธร” บ้าง โดยเนื้อหากล่าวถึง ธนาธร ที่วันนี้หยุดพูดถึง “วัคซีนพระราชทาน” และ ไม่พาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์อีก ซึ่งเข้าใจว่า ธนาธรได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นความจริงแล้ว
ส่วนการจัดหาวัคซีน มีประเด็นที่ “ธนาธร” ตั้งข้อสังเกต และข้อสงสัยหลายเรื่อง ตั้งแต่ว่าล่าช้า โดยที่จริงแล้วมีการประชุมเตรียมการจัดหาวัคซีน มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ซึ่ง ธนาธรเป็นนักธุรกิจ มีประสบการณ์การเจรจาทางธุรกิจกับบริษัทต่างชาติมาแล้ว น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีว่า กว่าที่จะเจรจาบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย และคนไทย ต้องใช้เวลามากพอสมควร
การเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนทุกราย ที่ผลิตวัคซีนออกมาจำหน่ายในขณะนี้มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งจากเงื่อนไขของผู้ผลิต และจากระบบกฎหมายไทย และงบประมาณของประเทศไทยเอง
ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายไทยไม่อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐจ่ายเงินจองซื้อสินค้าที่ยังไม่มีการผลิต และการมีเงื่อนไขว่าหากไม่สำเร็จ จะไม่ได้รับเงินคืน ก็ไม่สามารถทำได้
ข้อสำคัญ ในส่วนของสัญญาภาคเอกชน หรือสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน ก็ตาม “ธนาธร” เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางธุรกิจภาคเอกชน น่าจะทราบดีว่า การจะเปิดเผยข้อความในสัญญา ทำได้หรือไม่ อย่างไร จะต้องได้รับการยอมรับจากคู่สัญญาด้วยหรือไม่
โดยสรุป “หมอหนู” บอกว่าการจัดหาวัคซีน เป็นไปตามหลักการคำนวณของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดในประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ และไม่ได้วางแผนดำเนินการล่าช้าตามที่ธนาธร กล่าวหา
รวมถึงที่มาว่า ทำไมต้องเป็นวัคซีนของ “แอสตราเซนเนกา” ก็เพราะคำนึงถึงการใช้เงินงบประมาณ ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่าที่สุด จึงเป็นที่มาของการเลือกซื้อวัคซีนจากบริษัท แอสตราเซนเนกา จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีราคาที่ต่ำกว่าวัคซีนของผู้ผลิตรายอื่น และเหมาะสมกับการจัดการฉีดในประเทศไทยมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนอื่นๆ
เจอดอกนี้เหมือนตอกฝาโลง กระจ่างสว่างเนตรขึ้นมาอีกสำหรับธนาธร แล้วก็ไม่น่าแปลกใจที่ทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหว ไม่พูด “วัคซีนพระราชทาน” และเลิกพาดพิงสถาบันฯในเรื่องนี้ หันไปช่วยโพสต์เรียกแขกผู้เสียภาษีถึงฤดูกาลชำระภาษีให้รัฐ ก็อย่าลืมบริจาคให้ “พรรคก้าวไกล” แต่ก็มิวายโดนชาวเน็ตแซะ...บริจาคเพื่อนำเงินไปชำระเงินกู้คืนให้ตัวเอง อะดิ.
** กำลังใจของคนทั้งประเทศ อาการผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ดีขึ้น ไม่มีไข้ ผลตรวจไม่พบเชื้อโควิดแล้ว ตอบสนองต่อยาที่ให้เป็นอย่างดี รอปอดฟื้นตัว ระบบทางเดินอาหารกลับมาทำงานได้ดีขึ้น
จากการทุ่มเททำงานอย่างหนัก เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลับมาระบาดรอบใหม่ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ “ผู้ว่าฯ วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี” พ่อเมืองสมุทรสาคร ต้องติดเชื้อโควิดไปด้วย และถูกส่งตัวมารักษาที่ รพ.ศิริราช ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว
ระหว่างนั้น มีรายงานว่า “ผู้ว่าฯ วีระศักดิ์” ค่อนข้างเครียด รับประทานอาหารน้อย นอนไม่หลับ เนื่องจากเป็นห่วงประชาชน ห่วงงานที่กำลังจะสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วย แต่คนในพื้นที่คัดค้าน
อาการป่วยของผู้ว่าฯ เริ่มทรุดหนักจนน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะปัญหาปอดอักเสบ จนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ประชาชนทั่วประเทศ รวมทั้งในโซเชียลที่ติดตามข่าวต่างร่วมส่งกำลังใจ ขอให้ผู้ว่าฯ อาการดีขึ้นและหายป่วยโดยเร็ว
ล่าสุด “ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา” คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้แถลงถึงอาการของผู้ว่าฯ วีระศักดิ์ ในภาพรวมอาการดีขึ้น ไม่มีไข้มา 2 วันแล้ว สภาพของคนไข้ โดยทั่วไปหลังจากเจาะคอ เพื่อดูดเสมหะออก สแกนคอมพิวเตอร์ทั้งปอดและสมอง และดูดน้ำหลังจากที่เจาะคอไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นครั้งที่ 3 ปรากฏว่า “ไม่เจอเชื้อแล้ว” ขณะนี้รอเพียงการฟื้นตัวของปอดเท่านั้น ซึ่งจากการให้ยาลดอาการอักเสบของปอด และยาปฏิชีวนะ เพื่อควบคุมเชื้อและฆ่าเชื้อในปอด ที่ผ่านมา 1 สัปดาห์ ปรากฏว่า คนไข้มีการตอบสนองต่อยาที่ให้เป็นอย่างดี และมีสัญญาณที่ดีที่เพิ่มมาอีกอย่าง คือ สามารถให้อาหารทางสายยางได้แล้ว ระบบลำไส้ดีขึ้น
นับเป็น “ข่าวดี” ที่ประชาชนจดจ่อ เฝ้ารอ ส่งกำลังใจไปถึง
“น้ำหวาน” ลูกสาวของ “ผู้ว่าฯ วีระศักดิ์” บอกว่า ที่ผ่านมา มีประชาชนที่เป็นห่วง สอบถามเข้ามามากว่าอยากมาเยี่ยม อยากนำแจกันดอกไม้ หรือสิ่งของอื่นๆ มามอบให้เพื่อเป็นกำลังใจให้คุณพ่อ จึงได้แจ้งไปว่าคุณพ่อรักษาตัวอยู่ในวอร์ดสำหรับผู้ป่วยโควิดที่อาการวิกฤต คุณหมอไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมเลย และไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับอาการได้
ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของทุกคนที่อยากเดินทางมาเยี่ยมถึงโรงพยาบาล จะทำให้มีความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น “น้ำหวาน” จึงจัดทำเป็น line@ ของคุณพ่อ ID:@verasak.vich เพื่อให้ทุกท่านได้ส่งกำลังใจไปถึงผ่านช่องทางออนไลน์นี้ แทนการเดินทางมาที่โรงพยาบาล จะได้ไม่ต้องออกจากบ้าน หรือเดินทางข้ามจังหวัด และหลังจากที่คุณพ่ออาการดีขึ้น จะรวบรวมให้ท่านได้รับทราบถึงความห่วงใยจากทุกท่านที่มีให้ ... ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ และขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านด้วย
ท่ามกลางกระแสข่าวการส่งกำลังใจไปถึง “ผู้ว่าฯ วีระศักดิ์” กันอย่างล้นหลามนี้ ก็มีข่าวว่า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ยกเรื่องอาการป่วยของผู้ว่าฯ มาพุดคุยในที่ประชุม ครม. (26ม.ค.) พร้อมขอให้ทุกคนร่วมส่งกำลังใจ ความห่วงใยให้ผู้ว่าฯสมุทรสาคร มีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ววัน...
“รัฐบาลขอขอบคุณในการเสียสละของท่าน จนถึงวันนี้ คิดว่าบุญกุศลที่ท่านทำไว้ จะทำให้ท่านปลอดภัย ขอให้จงปลอดภัย เป็นปกติสุขโดยเร็ว วันนี้เอากำลังใจ ครม.ไปถึงท่าน และครอบครัวด้วย และเราจะดูแลให้ดีที่สุด”
เห็น “ลุงตู่” ออกมาพูดอย่างนี้แล้ว ทำให้อดคิดไปถึงวันแรกๆ ที่มีข่าวมีผู้ติดเชื้อโควิดที่สมุทรสาครไม่ได้ ...วันนั้น “ลุงตู่” ถึงกับออกอาการ “หัวร้อน” ใส่ “ผู้ว่าฯ วีระศักดิ์” ที่รายงานสถานการณ์ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ มายังที่ประชุม ครม.ว่า การติดเชื้อ มีต้นตอมาจากแรงงานต่างด้าว “ลุงตู่” ก็สวนกลับไปทันทีว่า รู้แล้วว่ามาจากแรงงานต่างด้าว แต่เข้ามายังไง ลักลอบเข้ามายังไง มีการทุจริตเข้ามาหรือไม่ ... ผู้ว่าฯ ก็ได้แต่อึ้ง !! ก่อนที่ลุงตู่ จะสรุปว่าเป็นความผิดของ ผู้ว่าฯ ที่ปล่อยให้มีการระบาดเช่นนี้ !!
ถึงวันนี้ “ลุงตู่” คงกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้วว่า ปัญหาการขนแรงงานต่างด้าวเข้ามาพร้อมกับเชื้อโควิดนั้น ไม่ใช่ความผิดของผู้ว่าฯ สมุทรสาคร แต่เป็นเรื่องของคนรอบๆ ตัวลุงตู่เอง !!