พท. ผุด กก.เลือกตั้ง 21 โซนทั่วไทย แมวมองหาผู้สมัคร ส.ส. ลั่นสมัยหน้าส่งทุกเขต “เฉลิม” ฟุ้งบริหารประเทศพรรคเดียว ไร้นอมินี-เมินแตกแบงก์ ส่ง ส.ก.หมด แต่กั๊กผู้ว่าฯ กทม. ซัดคนออกไป ไร้มารยาทการเมือง ชอบดึงคนพรรคร่วมทำกิจกรรม
วันนี้ (20 ม.ค.) นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวถึงการตั้งคณะกรรมการประสานพื้นที่เขตเลือกตั้งทั่วประเทศ โดย นายสมพงษ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้มีการปรับปรุงโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งในอนาคตข้างหน้า เราได้แต่งตั้งคณะกรรมการประสานพื้นที่ในเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะทำงานและประสานงานในเขตพื้นที่ต่างๆ เพื่อรับฟังปัญหาต่างๆ ในเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายและตั้งใจว่า จะส่งผู้สมัครทุกเขตเลือกตั้ง 350 เขต ในการเลือกตั้งครั้งหน้า และเราจะต่อสู้ในการเลือกตั้งอย่างเด็ดเดี่ยว และไม่มีพรรคเสริมใดๆ ทั้งสิ้น
“เราตั้งเป้าและมีความแนวแน่ว่าเราจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในอนาคต ทั้ง 350 เขต ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่มีพรรคเสริม ไม่มีพรรคอื่น ไม่มีพรรคใดๆ มีเพียงพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวเท่านั้นทั้ง 350 เขต เราปรารถนาให้ผู้สมัครของเราใกล้ชิดประชาชนและให้พรรคของเราแข็งแกร่ง” นายสมพงษ์ ระบุ
ด้าน นายประเสริฐ กล่าวเสริมว่า คณะกรรมการดังกล่าวเรียกสั้นๆ ว่า คณะกรรมการประสานโซน ประกอบด้วย พื้นที่ 21 โซน คือ ภาคเหนือ 2 โซน, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 โซน, ภาคกลาง 5 โซน, กทม. 6 โซน และภาคใต้ 4 โซน โดยมีกรอบภารกิจสำคัญๆ ที่คณะกรรมการชุดนี้จะไปดำเนินการ สรุปหลักๆ 2 ประการ คือ 1. ค้นหาคนการเมืองใหม่ๆ หรือสมาชิกใหม่ๆ ที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน มาเสริมทัพให้พรรค หรือจะเรียกบทบาทหน้าที่นี้ของคณะกรรมการนี้ว่าเป็นแมวมอง และ 2. การรับฟังเสียงประชาชน เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาสู่กระบวนการจัดสร้างนโยบายที่ตรงกับปัญหาของประชาชน และทำได้ เป็นจริง ขณะนี้พรรคมีศูนย์นโยบายวิชาการ ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการนโยบายวิชาการ ที่จะเข้ามาพัฒนาศูนย์จัดสร้างนโยบายพรรค เพื่อเตรียมรองรับข้อมูลที่ได้รวบรวมมาจากพื้นที่โซนต่างๆ แล้ว ทั้งนี้ จะมีการจัดคณะจากส่วนกลาง หน่วยคาราวานเคลื่อนที่ รวมทั้งประสานงานระบบเทคโนโลยีเพื่อลงพื้นที่ภาคเหนือและอีสานหลังปิดสมัยประชุมสภา โดยจะดำเนินการในรูปแบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเต็มพื้นที่ของประเทศ มีนโยบายและตั้งใจที่จะบริหารประเทศพรรคเดียวถ้าเป็นไปได้ ยืนยันว่าไม่มีพรรคนอมินี ใครอ้างอย่าไปเชื่อ ที่สำคัญ ในพื้นที่ กทม.เป็นพื้นที่ใหญ่ ถ้าเรามีนโยบายว่าจะให้คนใดคนหนึ่งมารับผิดชอบนั้นคงไม่ชนะ ต้องแบ่งความรับผิดชอบ ดังนั้น จึงแบ่งออกเป็น 6 โซน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า เรารู้ว่ารัฐบาลจะยุบสภาหรือไม่ ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ไป แต่เมื่อยุบสภาเมื่อใดเราก็พร้อมส่งลงสมัคร 350 เขต สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) นั้น ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา อาจจะส่งหรือไม่ก็ได้ ยังไม่ได้ข้อยุติ สำหรับสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) นั้น พรรคจะส่งทุกเขต ใครที่เคยอยู่ก็มาแจ้งความจำนงว่าขอลงต่อ ใครที่ไม่กลับมาเราก็จะหาคนใหม่ ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะคนๆ เดียวรับผิดชอบทั้ง กทม.ไม่ได้
“พรรคมีนโยบายและตั้งใจจะบริหารประเทศพรรคเดียวถ้าเป็นไปได้ และยืนยันว่า พรรคไม่มีนอมินี ไม่มีพรรคเล็กพรรคน้อย ไม่มีการเอาแบงก์ร้อยไปแลกแบงก์พัน มีแต่เพื่อไทยเท่านั้น ใครไปอ้างว่าเป็นพรรคเพื่อไทยอย่าไปเชื่อ มีแต่เพื่อไทยเท่านั้น ฝันของพรรคจะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่พี่น้องประชาชนจะกรุณา” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายชัดเจนว่าไม่แตกแบงก์พัน แต่สมาชิกที่ลาออกไปแล้วยังทำกิจกรรมร่วมกับ ส.ส.ของพรรคอยู่ ในอนาคตพรรคจะมีนโยบายที่ชัดเจนอย่างไร เพื่อให้ประชาชนเห็นชัดเจนว่ามีพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียว ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวตอบว่า อย่าไปเอ่ยชื่อว่าใครลาออก แต่คนที่ลาออกไปแล้วไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ส่วนความรู้สึกส่วนตัว ความผูกพัน ยังมีกันอยู่บ้างไปร่วมกิจกรรมได้ ถ้าไม่ผิดกฎระเบียบพรรคเราก็ไม่ตำหนิ แต่ตามมารยาททางการเมืองนั้น เมื่อออกไปแล้วต้องไม่มายุ่งเกี่ยวกับคนของพรรค
“ถ้าออกไปแล้วแต่ยังไปๆ มาๆ แบบนี้เขาจะเรียกว่าไม่สง่างาม สุดท้ายคนๆ นั้น ก็เท่ากับกินยาผิดซอง อย่างไรก็ตาม การจะมาเจอกันนั้นเราไม่ว่า แต่สุดท้ายต้องมีความชัดเจน สมาชิกคนไหนไม่ชัดเจนพรรคก็ไม่บังคับ แต่ถ้าชัดเจนก็มาอยู่ด้วยกัน ดังนั้น เลิกเสียเถอะ ยืนยันว่า พรรคไม่มีแบงก์ร้อนไปแตกแบงค์พัน หรือแบงค์ย่อย มีเพียงแบงก์เดียวคือพรรคเพื่อไทย” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว