ข่าวปนคน คนปนข่าว
** เบิกเนตร “ธนาธร” ใจมืดบอด อคติ คิดแต่แผนล้มเจ้า เมินบริบทวัคซีนสยามฯ ไม่ดูอะไรดีที่สุดต่อประชาชน!
หลัง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เฟซบุ๊กไลฟ์ในหัวข้อ.. “วัคซีนพระราชทาน : ใครได้ใครเสีย” ไปเมื่อคืนก่อน เนื้อหาใจความก็เป็นอย่างที่คาดกัน ชักแม่น้ำทั้งห้า ส่อเจตนาดิสเครดิต “บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์” กระทบชิ่งให้ไปถึงสถาบันฯ เพราะถือหุ้นโดยสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
คำจ้อของ “ธนาธร” ยังถูกเครือข่ายของธนาธร อาทิ บีบีซี พรรคก้าวไกล แกนนำม็อบ 3 นิ้ว และติ่ง นำไปขยายผล ก่อดรามาในโลกโซเชียลมีเดีย และสถานที่ต่างๆ ทั้งชูป้ายโจมตีสถาบันฯ จนกลายเป็นเรื่องกระทบทั่งกัน แบนห้างไอคอนสยาม เพื่อให้เรื่องนั้นลุกลามไปกันใหญ่
ใครที่ไม่ได้ติดตามฟัง “ไลฟ์ของธนาธร” ก็มีชาวโซเชียลฯ ได้ย้อนมาสรุปความเอามาให้อ่านง่ายๆ กล่าวคือ ธนาธร กล่าวหารัฐบาลว่าคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ใช้ประเด็นเรื่องวัคซีน และการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid เพื่อหวังผลทางการเมือง เอาใจสถาบันฯ เอาเงินภาษีของประชาชน ไปให้ บ.สยามไบโอไซเอนซ์ ที่เป็นของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ว่าจ้างให้ผลิตวัคซีน แต่กลับทำคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศเสียโอกาส ได้ฉีดวัคซีนช้ากว่าประเทศอื่นๆ ต้องรออีกหลายเดือน เพราะต้องให้ บ.สยามไบโอไซเอนซ์ ผลิตวัคซีนได้ปริมาณโดสตามที่รัฐบาลว่าจ้าง แทนที่จะเจรจาซื้อวัคซีนตรงจากบริษัทต่างชาติ ที่สามารถผลิตวัคซีนได้แล้ว
“ธนาธร” ยังพยายามโยงประเด็นจงใจชี้ให้เห็นว่า บ.สยามไบโอไซเอนซ์ และบริษัทในเครือหลายบริษัทขาดทุนมาตลอด ตั้งแต่เปิดกิจการมาไม่เคยได้กำไร การที่รัฐบาลว่าจ้างให้ผลิตวัคซีน จะทำให้ บ.สยามไบโอไซเอนซ์และบริษัทในเครือ มีผลกำไรจากการผลิตและขายวัคซีน
เหตุแลผลของ “ธนาธร” ที่อุตสาห์หาซีน “วัคซีน” มาเชื่อมโยงฟาดรัฐบาล แซะไปถึงสถาบันฯ นี้ เป็นเรื่องที่คนรู้ความเป็นมาของ บ.สยามฯ และการผลิตวัคซีน พากันหัวร่อในการ “โชว์โง่” ของอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
สื่งที่ “ธนาธร” ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ คือ อย่างแรก วัคซีนแอสตราเซเนกา ของ Oxford ที่รัฐบาลเจรจา มีเงื่อนไขอยู่ว่า วัคซีนควรมีราคาไม่แพง ซึ่งจะไม่มีผลกำไรสำหรับบริษัทยา เพราะจุดประสงค์หลักของวัคซีน สูตร Oxford ก็เพื่อช่วยคน ไม่ใช่ช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับนายทุน
สำหรับประเทศไทย บริษัทที่เข้าเงื่อนไขการผลิตวัคซีนโดยไม่ประสงค์ต่อกำไร มีเพียงบริษัทเดียวคือ “สยามไบโอไซเอนซ์” และถูกกำหนดบทบาทให้เป็นบริษัทเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนสูตร Oxford กระจายไปทั่วทั้งย่านนี้
“หมอนคร” นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้อธิบายเพิ่มว่า กรณีบริษัท แอสตราเซเนกา ไม่ใช่การจองซื้อโดยทั่วไป แต่เป็นการจองซื้อที่มีข้อตกลงในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้ประเทศไทยด้วย ซึ่งผู้ที่มีศักยภาพคือ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่มีความพร้อมที่สุดในด้านการผลิตและบุคลากร
ในสัญญาผูกพันที่รัฐบาลให้งบประมาณสนับสนุนบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำนวน 500ล้านบาท และ SGC อีก 100 ล้านไปแล้วนั้น เมื่อสามารถผลิตวัคซีนได้แล้วตามมาตรฐานของแอสตร้าเซเนกา บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จะคืนวัคซีนในจำนวนเท่ากับมูลค่าที่สนับสนุนมา
อย่างที่สองที่ “ธนาธร” ไม่ได้พูดถึง หมอนครบอกว่า เรื่องผลกำไรที่ บ.สยามไบโอไซเอนซ์ จะได้รับนั้น ที่ผ่านมาบริษัทนี้ตั้งขึ้นมาตามพระราชปณิธานของในหลวง ร.๙ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ตามแนวพระราชดำริ “ขาดทุน คือกำไร”
บริษัทขาดทุนตัวเงิน เพื่อแลกกับสุขภาพประชาชนที่ดีขึ้น จึงไม่คิดหาผลกำไรมาแต่ต้น
พูดง่ายๆ ว่า วัคซีนที่ผลิตจาก บ.สยามไบโอไซเอนซ์ เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนฟรี ในราคาที่รัฐบาลจ่ายได้ถูก ในยามวิกฤตแบบนี้ ทางเลือกนี้ย่อมดีต่อประเทศชาติ และประชาชน
จากไลฟ์ครั้งนี้ นอกจากเปลือยตัวตนคนอย่าง “ธนาธร” กล่าวเลื่อนลอย ที่ในหัวสมองหมกหมุ่นพุ่งเป้าโจมตีสถาบันฯ ไม่คำนึงถึงการกระทบจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่รักสถาบันฯ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ถึงได้บอกว่า คนพูดเรื่องนี้ไม่รู้จักสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อการสาธารณสุขไทย รวมทั้งในช่วงการระบาดของโควิด-19
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฟังธนาธรแล้วก็รับไม่ได้กับการบิดเบือน เจตนาใข้คำ “วัคซีนพระราชทาน” ในทางเสียหาย สั่งให้ดำเนินคดีต่อคนพูด
งานนี้ เจอ “เบิกเนตร” แถมยังจะได้คดีติดตามตัวแบบนี้ “ธนาธร” จะไปยังไงต่อ
ที่แน่ๆ ที่ธนาธรพูดพล่ามมายิ่งแสดงธาตุแท้ที่ใจมืดบอด อคติ คิดแต่เรื่องล้มเจ้า ไม่ดูบริบทของเรื่องวัคซีน และไม่รู้เลยว่าอะไรดีต่อประชาชน
** เมื่อความโลภครอบงำใจ “กาละแมร์” จึงกล้าใช้ฝีปากรีวิวสินค้าหลอกลวงประชาชน จนถูกตราหน้าว่าเป็นคนลวงโลก
ดรามาร้อนฉ่าปรอทแตก กรณี “กาละแมร์” พัชรศรี เบญจมาศ พิธีกรชื่อดังฝีปากกล้า กับคลิปรีวิวอาหารเสริม ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงว่า กินแล้วหน้ายก เหนียงหาย ที่เคยหนังตาตกก็เป็นตา 2 ชั้น รอยขมวดคิ้วหาย ร่องแก้มตื้น จมูกเข้ารูป
จนมีคนร้องเรียนไปที่องค์การอาหารและยา หรือ อย. ที่ตรวจสอบไม่นานก็ฟันฉับว่าไม่เป็นความจริง พร้อมสั่งระงับโฆษณา และส่งเรื่องให้ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมแฉว่าก่อนหน้านี้เจ้าตัวก็ถูกดำเนินคดีโฆษณาเท็จมาแล้วถึง 7 คดี
ขณะที่ “กาละแมร์” ก็ออกมาโพสต์ขออภัยว่าเป็นความผิดพลาดของทีมงานตัดต่อคลิปวิดีโอเพื่อโปรโมตสินค้าทางโซเชียลฯ และได้สั่งระงับการโฆษณาชี้นนี้ไปแล้ว แต่ก็ไม่วายย้ำทิ้งท้ายว่าผลลัพธ์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
คนในสังคมโซเชียลฯ ดูเหมือนจะไม่ยอมรับ “ข้อแก้ตัว” แบบขอไปทีเช่นนี้ เพราะ 7 คดีก่อนหน้านี้มัดคอว่าไม่ใช่เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค แต่เป็นเป็นเจตนา ...พร้อมยืนยันด้วยคลิปอีก 2 คลิปที่ขุดขึ้นมาแฉ!
คลิปหนึ่งเป็นการรีวิวคู่กับ “ติช่า เดอะเฟซ” อวดอ้างสรรพคุณอาหารเสริมของตัวเองว่า ช่วยสร้างภูมิต้านทานเชื้อโควิด-19 โดยอ้างว่ามีลูกค้าอยู่ จ.สมุทรสาคร ได้ซื้อไปรับประทานพร้อมลูกอายุ 4 และ 6 ขวบ แต่สามีไม่ได้กิน ผลปรากฏว่าสามีติดเชื้อโควิด ขณะที่แม่และลูกทั้งสองคนที่กินอาหารเสริมนั้นไม่ติดโควิด ต่อมาฝ่ายภรรยาเลยส่งอาหารเสริมให้สามีกินที่โรงพยาบาล ก่อนจะตรวจพบว่าเชื้อได้หายไป
อีกคลิป เป็นการไลฟ์ขายอาหารเสริม คู่กับ “ซานิ นิภาภรณ์” ว่าเพื่อนเป็นมะเร็งระยะที่ 3 บอกว่ามีอะไรให้กินก็เอามา เพราะไม่มีอะไรจะเสีย จากตอนแรกค่ามะเร็งอยู่ที่ 91 หลังกินอาหารเสริมตัวนี้ ค่ามะเร็งค่อยๆ ลดลง จนหมอบอกว่าตอนนี้ไม่เหมือนกับเป็นมะเร็งแล้ว
“กาละแมร์” ถึงกับกล้าฉวยโอกาสในยามที่คนทั้งประเทศกำลังหวาดวิตกกับการแพร่ระบาดของโควิด มาบอกว่าอาหารเสริมของตนเองช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ รักษาโรคมะเร็งได้!!
ทั้ง มะเร็ง และโควิด ถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย หากใครหลงเชื่อว่ากินอาหารเสริมแล้ว มีภูมิต้านทานแล้ว เกิดไม่ระมัดระวังป้องกันจนติดเชื้อขึ้นมาอาจถึงตายได้
งานนี้ก็เลยมีเสียงเรียกร้องให้ อย. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องจัดการให้เด็ดขาด ไม่เฉพาะกรณี “กาละแมร์” เท่านั้น แต่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่างถั่งเช่า ครีมหน้าเด้ง อาหารเสริมความงาม เสริมออร่า ต้องจัดการด้วยเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะถือเป็นการโฆษณาเกินจริง หลอกลวงผู้บริโภคอย่างชัดเจน อย่าแค่จับปรับไม่กี่สตางค์ แล้วปล่อยให้ขบวนการนี้ไปหลอกลวงมอมเมาประชาชน ฟาดกำไรเป็นแสน เป็นล้านอีก
มีชาวโซเชียลฯ วิเคราะห์กันว่า จาก “กาละแมร์” ที่เป็นนักสื่อสารมวลชน เป็นพิธีกร เป็นเซเลบชื่อดัง เป็นคนของประชาชน ทำไมถึงได้เปลี่ยนแปลงไปถึงขั้นละเลย “จรรยาบรรณ” ที่ควรจะพึงมี พึงรับผิดชอบต่อสังคม หันไปใช้ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือทำในสิ่งผิด “เพื่อเงิน” เท่านั้น ...
ความเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากการได้ฝากตัวเป็น “ลูกศิษย์” คนสำคัญและใกล้ชิดกับ “ครูอ้อย” ฐิตินาถ ณ พัทลุง ไลฟ์โค้ชชื่อดัง เจ้าของหนังสือ “เข็มทิศชีวิต” ที่เห็นว่าเงินคือพระเจ้า มักเลือกลูกค้า ลูกศิษย์คนรวย เพื่อล่อเหยื่อรายใหม่...ที่สำคัญคือ ต้องหมั่นสร้างภาพ “คนใจบุญ” เพื่อเป็นแรงดึงดูดให้คนเห็นคล้อยตาม มาอุดหนุนสินค้า ด้วยหลักจิตวิทยาว่า ผลกำไรนั้นได้ถูกเอาไปทำบุญ
ดังนั้น สังคมจึงมักเห็นภาพที่เผยแพร่ออกมาว่า “กาละแมร์” เป็นคนใจบุญ อย่างเช่นกรณีร่วมกับ “ครูอ้อย” และกัลญาณมิตร ถวายทองคำ เพื่อใช้หุ้มยอดพระธาตุพนม หรือควงคู่ครูอ้อยไปแก้บน “ไอ้ไข่” วัดเจดีย์ จัดโรงทาน จ้างมโนราห์มาแสดง พร้อมมอบเงินบริจาคให้กับทางวัด หลังได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เรื่องธุรกิจอาหารเสริม รุ่งเรืองขายดิบขายดี ปรากฏว่าสิ่งที่ขอไปก็เห็นผลเกินคาด ... “กาละแมร์” ยังเคยประกาศว่า หากมีรายได้ 1,000 ล้าน ก็จะไปบวชที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย เพื่อประกาศให้คนทั่วไปรู้ว่าคนที่ประสบผลสำเร็จด้วยการนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้นั้นเป็นอย่างไร
“กาละแมร์” จึงยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน โดยไม่สนใจวิธีที่จะได้มา แม้จะสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายก็ตาม และวันนี้เงื้อมมือกฎหมายได้เอื้อมมาถึงแล้ว ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ไม่ว่าผลทางกฎหมายจะเป็นอย่างไร แต่ขณะนี้ “กาละแมร์” ได้ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนลวงโลกไปเรียบร้อยแล้ว