ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “ธนาธร” อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เจตนาแซะใคร จั่วหัวไลฟ์สด “วัคซีนพระราชทาน :ใครได้ใครเสีย??” เจอโซเซียลฯย้อนอยากรู้เรือยอชต์-แม่สมพร รุกป่า-น้องฮุบที่หลวงบ้าง
เฟซบุ๊ก “Thanathorn Juangroongruangkit” ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เชิญชวนติ่งให้เข้ามาฟังไลฟ์ในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทาน : ใครได้ใครเสีย?” ปรากฏว่า เกิดเป็นดรามาขึ้นมาทันที เมื่อมีชาวโซเชียลฯ ทั้งติ่งและไม่ใช่สาวกธนาธร เข้ามาแสดงความเห็นมากมาย โดยติดใจกับคำว่า “วัคซีนพระราชทาน” กับคำถามใครได้ใครเสีย เจตนาสื่อความหมายแซะใคร ?
ในความเห็นของชาวเน็ตต่างสงสัยว่า “วัคซีนพระราชทาน” คำนี้ ธนาธรคิดเองหรือมีที่มาอย่างไร ถ้าไม่มีที่มา นี่เป็นการสร้างวาทกรรมที่ให้คนคิดเองอีกหรือไม่
ขณะที่แทนคำตอบ “ธนาธร” ได้เข้ามาคอมเมนต์ โดยยกเอาข่าวที่กล่าวถึง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ลงนามจองวัคซีนโควิด ที่ในหลวงพระราชทานให้ “สยามไบโอไซเอนซ์” ผลิตแจกจ่ายประชาชนและตามด้วยภาพที่ว่าสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นของขวัญจากในหลวง
โพสต์ความเห็นของ “ธนาธร” แทบไม่ต้องการคำอธิบาย เจตนาของการสื่อนั้น หากจะพูดถึง “สยามไบโอไซเอนซ์” ก็ย่อมหมายถึงสถาบันฯด้วยหรือไม่?? ธนาธรน่าจะรู้ดีวา บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ นั้น อยู่ในทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่วัคซีนของ “แอสตราเซเนกา” จากอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เลือก “สยามไบโอไซเอนซ์” ให้ผลิตวัคซีนในอาเซียน โดยเมื่อประเทศไทยซื้อวัคซีนจากแอสตราเซเนกา ทางสยามไบโอไซเอนซ์ ก็รับมาผลิตวัคซีนให้คนไทย เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ และก็เป็นเรื่องดีที่วัคซีนจะได้ทั่วถึงให้ประชาชน
สังคมต่างเห็นว่า เรื่องที่ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนได้เอง ไม่ต้องรอซื้อมาฉีดอย่างเดียวก็ไม่น่าจะมาตั้งคำถาม “ใครได้ใครเสีย” หรือ เพราะเพียงผู้ถือหุ้นเป็นสถาบันฯ ก็เลยไม่ดีในสายตาของธนาธร ?
งานนี้ “ธนาธร” พออ้าปากคนก็เห็นถึงลิ้นไก่ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า การเคลื่อนไหวของธนาธรกรณีวัคซีนพระราชทานนี้ เกิดขึ้นพร้อมกับ “ม็อบ 3 นิ้ว” กลับมาอาละวาดเคลื่อนไหวโจมตี ม.112 กันอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่า รู้กันหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ในกระแสดรามาความเห็นกระหน่ำในเฟซบุ๊กธนาธร ได้มีชาวโซเชียลฯ อีกไม่น้อยที่เข้ามาแสดงความเห็นอยากให้ “นายกฯโลกเสมือน” ได้ไลฟ์แสดงความเห็นกรณี “คดีเรือยอชต์” ที่เกิดเพลิงไหม้ที่ภูเก็ต ที่ภายหลังพบว่า “ธนาธร” และน้องชาย “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่จดทะเบียนไว้ที่เกาะคุก นิวซีแลนด์ ดินแดนสวรรค์ของบรรดานักฟอกเงิน หรือ “คดีสกุลธร” เข้าไปพัวพันกับการจ่ายใต้โต๊ะแลกกับการพัฒนาที่ทรัพย์สินฯ หรือ คดีที่ป่าไม้แจ้งความ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” มารดาธนาธร ฮุบที่ป่าสงวนกว่า 3 พันไร่
ว่ากันว่า ถามเข้ามาหลายคอมเมนต์ ซึ่งต่อมาความเห็นต่างๆ เหล่านี้โดน “อุ้มหาย” ไปต่อหน้าต่อตา เล่นเอาชาวโซเชียลฯ ต้องออกมาโพสต์ทวงถามกันต่อรัวๆ แบบว่าคงอยากรู้กันจริงๆ 3 เรื่องใหญ่ๆ ของธนาธรและคนใกล้ตัวครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ
...เรือยอชต์-จ่ายใต้โต๊ะ-ฮุบที่ป่าสงวน ใครได้ใครเสีย ?
**“อาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า” ไม่ได้มาขอเงิน แต่มาบอกรัฐบาลถึงความเดือดร้อนของคนบันเทิง จะได้แก้ปัญหาได้ถูกจุด และยั่งยืน ในสถานการณ์ที่โควิด-19 ระบาด ไม่ว่าจะเป็นรอบที่แล้ว หรือรอบนี้ สถานที่ที่ถูกเพ่งเล็งเป็นอันดับต้นๆ ว่า เป็นที่เสี่ยงสูงต่อการแพร่เชื้อก็หนีไม่พ้นสถานบันเทิง ผับ บาร์ ร้านอาหาร ที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะส่วนใหญ่เป็นสถานที่ปิด ผู้ใช้บริการมักจะละเลยเรื่องมาตรการป้องกัน ทั้งเรื่องสวมหน้ากากอนามัย ใช้ภาชนะร่วมกัน การรักษาระยะห่าง
เมื่อรัฐบาลออกมาตรการคุมเข้ม สถานที่เหล่านี้จึงถูกสั่งปิดก่อนใคร แต่เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลาย กว่าจะ “ปลดล็อก” ได้ก็ต้องไปอยู่เป็นลำดับท้ายๆ
สถานบันเทิง ผับ บาร์ ร้านอาหารนั้น มีวงจรที่เกี่ยวข้องกับผู้คนหลากหลายอาชีพ ทั้งเจ้าของกิจการ นักร้อง นักดนตรี ตลก แม่ครัว เด็กเสิร์ฟ เด็กรับรถ ... เมื่อมีคำสั่งปิดเพราะต้องการป้องกันการแพร่เชื้อของ “ผู้มาใช้บริการ” แต่บุคคล “ผู้ให้บริการ” เหล่านี้ต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ...แม้รัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยา อย่างโครงการ “คนละครึ่ง” หรือโครงการ “เราชนะ” ที่กำลังจะดำเนินการช่วยเหลือคนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน... แต่ด้วยข้อจำกัดด้าน “”คุณสมบัติ” บางประการ ที่อาจจะไม่ตรงตามเงื่อนไข การช่วยเหลือจึงไม่ครอบคลุมทั่วถึง และไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
“อาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า” คฑาวุธ ทองไทย ในฐานะประธานสมาพันธ์คนบันเทิงอาชีพ จึงอาสาเป็นตัวแทน นำความเดือดร้อนของคนสายบันเทิง มาให้รัฐบาลได้รับรู้ โดยเข้าพบ “บิ๊กเล็ก” พล.อ ณัฐพล นาคพานิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เพื่อหาทางช่วยเหลือเยียวยา ได้ถูกจุด และทันต่อเวลา เพราะการเจอปัญหาโควิดแล้วถูกสั่งปิดกิจการถึงสองรอบต่อเนื่อง เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสจริงๆ...
1. ขอให้ดำเนินการพักหนี้ ให้ผู้ประกอบการสถานบันเทิง ผับ บาร์ ผู้จัดคอนเสิร์ต นักดนตรี และผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวของกับสถานบันเทิง เพราะมีภาระหนี้สินมากมาย ทั้งค่าเช่าร้าน ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ
2. สนับสนุนแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการสถานบันเทิง ผับ บาร์ ผู้จัดคอนเสิร์ต นักดนตรี และผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง สามารถกู้เงินไปสร้างงานอื่น หรือฟื้นฟูกิจการแบบปลอดดอกเบี้ย หรือดอกเบี้ยต่ำ เพราะสถานบันเทิงหลายแห่งสามารถกลับมาเปิดบริการได้ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 รอบแรกคลี่คลาย ต้องกู้เงินทั้งในและนอกระบบมาดำเนินการให้ธุรกิจสามารถเดินต่อไปได้
3. ขอให้เปิดบริการสถานบันเทิง ผับ บาร์ และจัดคอนเสิร์ตได้ ในจังหวัดที่ไม่มีผู้ติดเชื้อจากคนไทยเป็นระยะเวลา 28 วันติดต่อกัน
ข้อเสนอทั้ง 3 ข้อดังกล่าวไม่ได้เป็นการมา “ขอเงิน” จากรัฐบาล เพียงแต่ต้องการให้รัฐบาลกำหนดมาตรการ สั่งการ ให้ถูกจุด แก้ให้ตรงปัญหาเพื่อให้คนกลุ่มนี้ สามารถดำเนินกิจการ ดำเนินอาชีพต่อไปได้ จะได้สร้างรายได้ให้หมุนเวียนต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ...หรือมีทุนเพื่อไปหาลู่ทางตั้งต้นประกอบอาชีพอื่น
ในเมื่อคนสายบันเทิง ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อน แต่มักถูกมองข้าม แถมยังถูกนำไปผูกโยงกับสถานที่ อย่างผับ บาร์ เป็นสถานที่อโคจร เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ จนภาพที่ออกมาเหมือนคนในวงจรอาชีพนี้เป็น “ผู้ร้าย” ไป ทั้งที่คนกลุ่มนี้ก็พร้อมให้ความร่วมมือกับมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล และ ศบค.ที่ออกมา เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของโรคไม่ให้ขยายวงกว้างออกไป
ก็หวังว่าเมื่อรัฐบาลรับข้อเสนอแล้ว จะได้หาทางออกร่วมกันเพื่อช่วย “คนบันเทิง” ให้พ้นวิกฤต ได้กลับมาเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ยั่งยืน