xs
xsm
sm
md
lg

ไอโอสายเสี้ยมเปิดศึกกระหน่ำโซเชียลฯ กระพือดรามา พิมรี่พาย-โซลาร์เซลล์ บนดอย 5 แสน ขยี้ 45 ล้าน “กอ.รมน.” แพงเวอร์ เจอข้อมูลสวนกลับ..หงายเงิบกันไป ** เข้าสูตรเดิมแก้ปัญหาบ่อน-ส่วยแรงงาน ตั้งกรรมการชงเอง สอบเอง แต่คนอยากรู้ “หลงจู๊” จะจัดการไหม

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



**ไอโอสายเสี้ยมเปิดศึกกระหน่ำโซเชียลฯ กระพือดรามา พิมรี่พาย-โซลาร์เซลล์บนดอย 5 แสน ขยี้ 45 ล้าน “กอ.รมน.” แพงเวอร์ เจอข้อมูลสวนกลับ..หงายเงิบกันไป

จากกรณีโลกโซเชียลฯ จับกระแสดรามา “พิมรี่พาย” พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ แม่ค้าออนไลน์และยูทูบเบอร์คนดัง ควักเงินตัวเอง 5 แสนบาท บริจาคติดตั้งโซลาร์เซลล์ และสิ่งของช่วยเหลือชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กๆ บนที่สูงที่หมู่บ้านแม่เกิบ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ มาเชื่อมโยงถล่มกันทางการเมือง และลามไปถึงสถาบันเบื้องสูง จนกลายเป็นปรากฏการณ์ “พิมรี่พาย” ซึ่งต่อมาสร้างประวัติการณ์การไลฟ์สดขายของที่มียอดผู้ชมและอุดหนุนเธออย่างถล่มทลาย
เรื่องราวดูเหมือนจะจบแต่ไม่จบ เมื่อ “ทีมไอโอ” ปฏิบัติการข่าวสายเสี้ยมของฝ่ายสร้างความเกลียดชังในสังคม ผสมโรงด้วยติ่ง 3 นิ้วสายล้มเจ้า ยังเมามันหยิบประเด็นการติดโซลาร์เซลล์ในหมู่บ้านแม่เถิบของเน็ตไอดอลสาว ด้วยเงิน 5 แสนบาท มาเปรียบเทียบกับโครงการโซลาร์เซลล์ มูลค่า 45 ล้านของ กอ.รมน.
ดรามาว่ากันยาว กระพือออกไปไวเหมือนไฟลามทุ่ง เมื่อมีทีมไอโอพยายามมุ่งชี้เป้า และปั่นกระแสว่าของ “พิมรี่พาย” ทำได้ถูก แต่ทำไมค่าระบบโซลาร์เซลล์ที่ กอ.รมน. ดำเนินการถึงแพงระยับ ??
งานนี้ ชักนำให้กูรู กูรู้ ทางด้านพลังงานงัดข้อมูลมาวิเคราะห์กันหนัก ก่อนที่ กอ.รมน. จะส่งโฆษก..“พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง” มาเฉลยที่ไปที่มาของเอกสารโครงการที่ว่อนเน็ต พร้อมแจงสี่เบี้ยของมูลค่าโซลาร์เซลล์ 45 ล้าน

พิมรี่พาย
เริ่มจากเอกสารที่ว่อนเน็ตก็ไม่ได้เป็นความลับดำมืดอะไร เพราะใช้ในการเผยแพร่ราคากลางของโครงการ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง มาตรา 56 วรรค 1 ของภาครัฐ ด้วยวิธีการประมูลราคากลางผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรมบัญชีกลาง (e-Bidding)
งบประมาณของโครงการ จำนวน 45 ล้านบาทนั้น ก็ได้ผ่านการรับรองราคาจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นที่เรียบร้อยโครงการนี้เป็นการดำเนินการใน 5 พื้นที่ของ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ แต่ไม่มีในพื้นที่ แม่เกิบ ที่ “พิมรี่พาย” ไปติดตั้งให้แต่อย่างใด
ประเด็นคำถามที่ว่า ทำไมถึงใช้งบ 45 ล้าน แพงไปมั้ย ? เมื่อเทียบกับของ “พิมรี่พาย” เรื่องนี้ ฟังได้ว่าขนาดของงาน และงานระบบนั้นต่างกัน
กอ.รมน. มีการติดตั้งแผงและเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์พร้อมเต็มรูปแบบมากกว่าของพิมรี่พาย รวม 5 พื้นที่ มีการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 210 กิโลวัตต์ และเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์จำนวน 120 ต้น พร้อมระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี่ลิเทียม) จำนวน 998.40 กิโลวัตต์ และได้ดำเนินการจัดทำโครงข่ายไฟฟ้าชุมชน, ลากสายไฟฟ้าเข้าไปในพื้นที่หมู่บ้าน ความยาว 5,409 เมตร

พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง
ถ้ามองอย่างมีสติเทียบกันระหว่างการติดตั้งหมู่บ้านเดียวของ “พิมรี่พาย” ซึ่งก็ไม่มีที่ผิดปกติที่ลงทุนไม่มาก ใช้ได้กับการดูทีวี ไฟส่องสว่าง และปริมาณการใช้ไฟฟ้าไม่มาก กับของ กอ.รมน.ที่ลงทุนทำอย่างที่ว่า ครอบคลุมหลายพื้นที่มากกว่า รวมๆ ต้นทุนแบตเตอรี่และการลากสายโครงข่ายก็สมเหตุสมผล
แล้วที่ต้องไม่ลืมกันว่า นอกจากพิมรี่พาย กอ.รมน. แล้วมีบริษัทเอกชน และองค์กรที่ทำ CSR ผู้จิตอาสาอีกจำนวนมากที่ลงพื้นที่ไปติดตั้งทำโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ อ.อมก๋อย ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ไม่ได้ถูกสื่อโซเชียลฯ จับมาเป็นกระแส ราคาค่างวดในการทำโซลาร์เซลล์เทียบกิโลวัตต์ต่อกิโลวัตต์ ก็สามารถตรวจสอบนำมาเปรียบเทียบวัดกันได้ ไม่ใช่เรื่องยากเกินคำนวณ
เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า ถ้าสังคมเรียกสติ ดรามาไร้สติจะจบลงด้วยข้อมูลสยบความเคลื่อนไหว ส่วนไอโอฝ่ายเสี้ยมก็หงายเงิบกันไป !!



** เข้าสูตรเดิมแก้ปัญหาบ่อน-ส่วยแรงงาน ตั้งกรรมการชงเอง สอบเอง แต่คนอยากรู้ “หลงจู๊” จะจัดการไหม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
โควิด-19 ระบาดรอบนี้ ทำเอา “เรตติ้ง” รัฐบาลตกวูบ ยืนยันได้จากผลโพล ที่เกือบร้อยทั้งร้อย ระบุว่าข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐคือต้นตอของการระบาด ทั้งทุจริตต่อหน้าที่ ปล่อยปละละเลย และยังมีบางส่วนที่ทำเสียงเอง ทำเอาคนไทยผิดหวัง “ลุงตู่” ที่เปลี่ยนไป ขึงขัง แต่ไม่เด็ดขาดกับการจัดการข้าราชการที่ไปมีเอี่ยวกับบ่อน กับขบวนการขนแรงงานเถื่อน
ล่าสุด เพื่อเป็นการลดกระแส “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี จึงสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด เพื่อตรวจสอบการลักลอบเปิดบ่อนพนัน และ การลักลอบนำแรงงานผิดกฎหมายเข้าประเทศ พร้อมทั้งขอความร่วมมือประชาชน ชุมชน ช่วยกันแจ้งข้อมูล เบาะแส มาถึงนายกฯ โดยตรง ทั้งทางสายด่วนทำเนียบรัฐบาล โทร.1111 ตู้ ปณ.1111 เว็บไซต์ www.1111.go.thแอปพลิเคชัน PSC1111 ได้ทุกวัน ระหว่างเวลา 08.30-16.30 น. เว้นวันหยุดราชการ เพื่อจะนำข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่ระบบการตรวจสอบของคณะกรรมการ
แต่ดูเหมือนว่า สังคมก็ไม่เชื่อน้ำยา มองว่าเป็นแค่กระบวนการ "ซื้อเวลา" เพราะที่ผ่านมาก็มีการตั้งคณะกรรมการลักษณะนี้กันเป็นประจำ อย่างกรณี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง ที่นายกฯ ตั้งคณะกรรมการชุด “วิชา มหาคุณ” ขึ้นมาตรวจสอบกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้อง มีการรับผลประโยชน์กันหรือไม่ อย่างไร ซึ่งก็ทำได้แค่นั้น

วิชา มหาคุณ
เนื่องจากคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นนี้ มีหน้าที่เพียงแค่สืบสวน สอบสวน รับข้อมูลเบาะแส แล้วสรุปผลเสนอนายกฯ ไม่ใช่สืบสวน สอบสวน รู้ตัวผู้ทำผิดแล้วจะลงไปจับกุมได้ เพราะไม่มีอำนาจ ไม่ใช่เจ้าพนักงานที่มีอำนาจจับกุม จะแถลงข่าวว่ามีใครอยู่ในข่ายความผิดบ้าง ยังแถลงไม่ได้ แม้จะคันปาก อยากจะพูด ก็พูดไม่ได้ อย่างเก่งก็บอกได้แค่ชื่อย่อ
เมื่อผลการสอบสวนถึงมือนายกฯแล้ว นายกฯ ก็ไม่แถลงให้สังคมคลายสงสัย ประมาณว่าคนเหล่านี้ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหา ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ หากเกิดเขาไม่ผิดขึ้นมา ก็จะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศได้
ว่าแล้วนายกฯ ก็ส่งข้อมูลไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง ป.ป.ช. -ปปง.-ตำรวจ-อัยการ ดำเนินการต่อ แล้วเรื่องก็เงียบไป !!
ประชาชนก็รู้ว่า “ระบบรัฐราชการ” นั้นมักจะปกป้องพวกพ้องกันเอง และก็มองว่าระบบการตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบ” นั้น มันล้าสมัย ตกยุค ไม่ตอบโจทย์ ไม่สามารเอาผิดกับใครได้ ซึ่งตัว “ลุงตู่” ก็น่าจะรู้ดีว่าประชาชนเขาคิดอย่างไร เพราะทุกวันนี้กระแสโซเชียลฯ ก็กระหน่ำไปที่ตัวลุงตู่

หลงจู๊สมชาย
อย่างกรณี “บ่อนระยอง” และเครือข่ายบ่อนในภาคตะวันออกนั้น ทั้งสื่อหลัก สื่อโซเชียลฯ คนในพื้นที่ต่างรู้กันว่า ผู้อยู่เบื้องหลังคือ “หลงจู๊สมชาย” มีความสนิทสนมกับนายตำรวจระดับบิ๊กที่ดูแลพื้นที่ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล จึงสามารถแผ่อิทธิพลได้ถึงขนาดนี้ ...ขนาดที่ว่าแม้จะมีคำสั่งกวดขัน ห้ามมีบ่อน แต่ก็ยังมีการหลบเลี่ยง ปิดตรงนี้ ไปเปิดตรงนั้น มีข่าว มีการร้องเรียนให้เห็นอยู่ทุกวัน
หากจะจัดการกันอย่างเด็ดขาดต้องพุ่งเป้าไปที่ “หลงจู๊” !!
ตอนนี้สังคมจึงเฝ้ารอดูว่า “ลุงตู่” จะใช้อำนาจที่มีอยู่ จัดการอย่างไรกับ “หลงจู๊สมชาย” มากกว่าที่จะมาตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งผลออกมาไม่เป็นโล้เป็นพาย
หาก “ลุงตู่” ไม่จัดการตรงจุดนี้ ก็คงช่วยไม่ได้ที่สังคมจะมองว่า “ลุงๆ” รู้เห็นเป็นใจ ขึงขัง แต่สุดท้ายลูบหน้าปะจมูก ซึ่งผลที่ตามมา นอกจากประชาชนจะไม่มีความเชื่อมั่นในการปราบปรามทุจริต คอร์รัปชันของรัฐบาลแล้วยัง ไม่เชื่อมั่นว่า การหยุดยังการแพร่ระบาดของโควิด ที่บุคลากรทางการแพทย์ พยายามทุมเทจัดการกับปัญหาอยู่นี้จะบรรลุเป้าหมายได้
เพราะตราบใดที่ยังมีบ่อน โควิดก็พร้อมที่จะแพร่ระบาดได้ตลอดเวลา




กำลังโหลดความคิดเห็น