อย่าถอดใจ! “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” เชียร์ “หมอทวีศิลป์” ให้มีจิตใจมั่นคงหนักแน่น “หมอวรงค์” ชี้ ทำดีแล้ว ซัดรังแกเกินไป ไม่ดูความเป็นจริง “เจ้าตัว” วอนอย่าโยงการเมือง ภูมิใจเป็น ขรก.ของในหลวง ยันทำงาน “ศบค.” ไม่ได้เบี้ยประชุม
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (8 ม.ค. 64) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “โควิดไม่ดรามา”
โดยระบุว่า “ไวรัสโควิดระบาดทั่วโลก เกือบทั่วโลกเกิดการระบาดซ้ำสองซ้ำสาม ไทยเพิ่งกลับมาระบาดซ้ำเมื่อกลางธันวาคม 63 ทำท่าจะรุนแรง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเป็นวงกว้าง
โควิดเป็นปัญหาวิกฤตทั้งในมุมของสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคง
แต่ก็มีนักการเมือง คนที่ต่อต้านรัฐออกมาดรามากับคำแถลงข่าวของหมอทวีศิลป์ เรื่องโปรแกรมหมอชนะ ทั้งรุมด่า ทั้งขุดคุ้ย หมอทวีศิลป์ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ได้จะสมัครรับเลือกตั้ง หมอทวีศิลป์เป็นข้าราชการประจำ ทำงานตามหน้าที่ อ่าน และแถลงข่าวตามที่ฝ่ายอื่นทำขึ้นมาให้ ไม่ได้พูดเองเออเอง หรือแถลงตามใจชอบ หยุดดรามาได้แล้ว
ขอให้หมอทวีศิลป์ มีจิตใจที่มั่นคง หนักแน่น เดินหน้าทำงานต่อไป เพราะได้ผลมาก พูดเรื่องยากๆ ให้คนไทยทั้งประเทศเข้าใจได้ ขอให้กำลังใจหมอทวีศิลป์ อย่าถอดใจ
ใครเป็นแฟนคลับหมอทวีศิลป์เหมือนผมบ้าง ยกมือขึ้น”
ขณะเดียวกัน “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความ ให้กำลังใจ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ว่า
#ให้กำลังใจน้องครับ
“ผมคิดว่า มีความพยายามที่จะรังแกคุณหมอทวีศิลป์มากไป ทั้งๆ ที่คุณหมอทวีศิลป์ ได้ทำหน้าที่ในการอธิบายภาษาแพทย์ ที่เป็นวิชาการให้ประชาชนเข้าใจง่ายขึ้น
แต่บังเอิญ การทำหน้าที่ของคุณหมอทวีศิลป์ ที่ช่วยอธิบาย ชี้แจงสิ่งต่างๆ นั้น ทำให้ประชาชนนอกจากรู้สึกดีๆ ต่อคุณหมอทวีศิลป์ เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อรัฐบาลในการจัดการโควิดไปด้วย
เป็นธรรมดา เมื่อมีอะไรผิดพลาดบ้าง พวกที่คิดจ้องเล่นการเมือง ก็จะฉวยโอกาสถล่ม โดยไม่ดูความเป็นจริง หวังจัดการคุณหมอทวีศิลป์ให้ได้
คุณหมอทวีศิลป์ ทำหน้าที่ในสถานการณ์โควิดได้ดีมาก หาคนเทียบได้ยาก ทั้งข้อมูลวิชาการ ภาษาที่ง่ายๆ รวมทั้งจิตวิญญาณของความเป็นแพทย์ ผสมผสานในระหว่างการแถลงข่าว”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน วันนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้แถลงข่าวกรณีดรามาที่เกิดขึ้นว่า
ต้องขออภัย และขอโทษในเรื่องที่ได้สื่อสารออกไปหลายเรื่องช่วงของภาวะวิกฤตที่มีชุดข้อมูลข่าวสาร ซึ่งในเจตนาที่จะได้พูดคุยออกไปนั้น โดยเฉพาะเรื่องแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เป็นเรื่องที่ต้องการความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนมากๆ เพื่อให้ใช้แอปพลิเคชันในการปกป้องตัวท่าน และปกป้องสังคมไทย คนไทยทั้งหมด รวมถึงแรงงานต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย
ด้วยข้อมูลที่มีขึ้นมาที่ต้องการให้ทราบ ก็คือ คนที่ป่วย คนที่ปิดข้อมูลแล้วก็ไปตรวจพบแล้วว่าไม่มีแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” คนเหล่านี้ต้องได้รับเรื่องของการกำหนดโทษ ซึ่งจริงๆ แล้วมันต้องมีเชื่อมประโยคกัน 2-3 ช่วงไม่ใช่เป็นแค่ว่าคนไทยต้องมีแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ไม่มีผิด
คือ ถ้าป่วยแล้วปกปิดข้อมูล และพบว่าไม่มีแอปพลิเคชัน เท่ากับว่า เราจะต้องใช้เวลาในการสอบสวนมากมาย ฉะนั้น การมีกฎหมายตรงนี้ขึ้นมาเพื่อคุ้มครองคนส่วนใหญ่
“ต้องเรียนให้พี่น้องประชาชนเพื่อทราบว่า สิ่งต่างๆ ไม่ต้องการให้ทางด้านของการให้ข่าวนี้สร้างความตระหนกตกใจ หรือความรู้สึกที่จะต้องมาบีบบังคับทุกครั้ง ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ และก็ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน ผ่านการสื่อสารนี้ รวมทั้งได้รับความร่วมมือกันมาตลอด ศึกหนักปีที่แล้ว 188 ราย ที่เราผ่านมาได้ตัวเลขสูงสุดอยู่ที่ตรงนั้น แล้วก็ลดลงมา แต่ครั้งนี้วันหนึ่งหลายร้อยหลาย ยิ่งกว่านั้นผมก็ยังต้องพิจารณาตัวเองในหลายๆ เรื่อง” โฆษก ศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งนี้ ขอพิจารณาตัวเอง ในฐานะที่มาเป็นโฆษก เป็นคนที่สื่อสารกับประชาชน ตำแหน่งปัจจุบัน ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข แต่ตำแหน่งโฆษก ศบค. เป็นตำแหน่งที่เพิ่มขึ้น มีคนไปค้นข้อมูลและเรื่องเงินเดือน และให้ตนไม่ต้องรับเงินเดือน ตนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้มีเบี้ยประชุมกับทาง ศบค. ดังนั้น ขออนุญาตชี้แจงว่า ตนทำงานด้วยใจ มีเงินเดือนของตนเองอยู่แล้ว เวลาว่าง เสาร์ อาทิตย์ ก็ไปหารายได้มาจุนเจือครอบครัว พอช่วงโควิด ก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย เราเองเป็นข้าราชการ นายสั่ง ผู้บังคับบัญชาสั่ง ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด สิ่งที่กระทบมากที่สุด คือ โซเชียลมีเดียโยงไปกับการเมือง ซึ่งไม่เคยคิดจะไปทางนั้นเลย อยากอยู่ในหน้าที่ของราชการและทำให้ดี ทำให้เต็มที่ ตนก็เป็นข้าราชการของในหลวง ภูมิใจในความเป็นตัวเอง หากมีข่าวคราวไปกระทบตนเอง และครอบครัว ก็ต้องขอความเห็นใจ คิดว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้เสมอ ขอน้อมนำคำสอน สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งคนที่เกิดมา มีแต่คนคอยช่วยเหลือ ถือว่าเป็นคนมีบุญ แต่คนที่เกิดมา แล้วได้ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นคนที่มีบุญมากกว่า
แน่นอน, สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดกับสังคมไทยในเวลานี้ และในอนาคต ก็คือ ความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย โดยมีสาเหตุมาจากการต่อสู้ทางการเมืองของนักการเมือง ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ จากยุคสู่ยุค โดยใช้สีเสื้อเป็นสัญลักษณ์ (ปัจจุบันอาจแปรเปลี่ยนได้หลายสัญลักษณ์) และยังคงแค้นเคืองกันอยู่จนทุกวันนี้
ลักษณะการต่อสู้ทางการเมืองของไทย เริ่มขัดแย้งแตกแยกใหญ่ เมื่อพรรคการเมืองผูกขาดพรรคหนึ่ง จัดตั้งมวลชนทางการเมืองและสมาชิกพรรคแบบเบ็ดเสร็จ หรือที่เรียกว่า ป้อน “ประชานิยม” จนอิ่มแปล้ คล้ายเอาเงินภาษีประชาชนไปใช้ “ซื้อเสียงล่วงหน้า” และ “ถาวร” โดยอาศัยความอับจนหนทางของชาวบ้าน “รากหญ้า” ที่ไม่เคยลืมตาอ้าปากพบกับโอกาสและการแบ่งชิ้นเนื้อข้างเขียงมาให้อย่างนี้เลย ชาวบ้านจึงถือเป็นบุญคุณอย่างใหญ่หลวง และตอบแทนด้วยการเป็น “สาวก” ผู้ซื่อสัตย์ ในการเป็นฐานมวลชน และฐานอำนาจทางการเมือง
ความจริงต้องโทษการเมืองก่อนหน้านั้นด้วย ที่ทำบาปกับชาวบ้านมาตลอด ที่ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้กับชาวบ้าน ไม่ว่ารัฐบาลพรรคไหนก็ตาม
ดังนั้น เมื่อถึงคราวที่ผู้นำต้องการมวลชนลุกขึ้นสู้ทางการเมือง มวลชนที่จัดตั้งอย่างเข้มแข็ง จึงพร้อมสู้ พร้อมแตกหักกับใครก็ตาม ที่ขัดขวาง หรือไม่เห็นด้วยกับ การต่อสู้ของผู้นำตัวเอง จึงเป็นที่มาของการแบ่งขั้ว แตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
เดิมทีไม่มีสังคมออนไลน์ ไม่มีสื่อโซเชียลมีเดีย การสร้างข่าว สร้างกระแส บิดเบือนข้อเท็จจริง จะส่งผ่านไปทางหัวคะแนนทางการเมือง แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมออนไลน์ มีทั่วถึง สื่อโซเชียลมีเดีย ทรงพลังและมีประสิทธิภาพ บางพรรคการเมือง และนักการเมืองบางกลุ่ม จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาจัดตั้งหัวคะแนน และใช้สื่อโซเชียลมีเดียนี่เอง ปลุกปั่นสร้างกระแส จนกลายเป็นมหาอำนาจด้านสื่อสารออนไลน์
แล้วก็เห็นได้ชัดว่า พักหลังเกมต่อสู้ทางการเมืองนี่เอง ที่ทำให้ความขัดแย้งแตกแยกในสังคมไทยขยายใหญ่โตยากหยุดยั้ง ทั้งยังต่อสู้กันในประเด็นที่ใหญ่หลวง พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินอีกต่างหาก โดยเอาคนไทยทั้งประเทศเข้าไปเป็นคู่ขัดแย้งด้วย
ทั้งหมดคือคำตอบว่า ทำไม “นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” หรือ “หมอทวีศิลป์” จึงถูกโจมตีต่อต้าน ทั้งที่ความผิดพลาดแค่เล็กน้อย ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติไปได้ ก็เพราะ “หมอทวีศิลป์” เป็นโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ซึ่งทำหน้าที่ได้ดี ชี้แจงเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ชาวบ้านร้านตลาดรักและชื่นชม มีแม่ยกพ่อยกทั่วบ้านทั่วเมือง รัฐบาล “ลุงตู่” ก็พลอยมีผลงานโดดเด่น เป็นประจักษ์ตามไปด้วย
นี่เอง ที่ทำให้ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น ฝ่ายที่ไม่มีอะไรทำ ดีแต่พูด ดีแต่เขียนเฟซบุ๊ก วิจารณ์คนนั้นคนนี้ ที่สำคัญเกลียด “ลุงตู่” เข้ากระดูกดำ เป็นคนละขั้วกับ “ลงตู่” อย่างชัดเจน พาลพาโลโกรธและเกลียด “หมอทวีศิลป์” ตามไปด้วย และเริ่มพูดอะไรก็ผิด ผิดเล็กน้อยก็เป็นเรื่องใหญ่ เหมือน “ลุงตู่” เข้าไปทุกวัน ก็เท่านั้นเอง
ไม่เชื่อก็ลองคิดวิเคราะห์ทบทวนดูหลายๆ รอบ ว่า เรื่องนี้ควรให้ความเป็นธรรม กับ “หมอทวีศิลป์” หรือไม่ สำหรับคนที่มีใจเป็นธรรม!!!