ข่าวปนคน คนปนข่าว
**บ่อนยังเกลื่อน ขนาดพระยังชี้เป้า เด้งรายวัน แต่ทำไมเว้น “ผบช.ภ 2” ที่ลือว่าเป็น “เด็กลุง” ผบ.ตร. ก็รู้เห็นเป็นใจ ?? ที่แท้ก็แค่สละเบี้ยรักษาขุน ตุ๋นสังคมกอดเก้าอี้ตัวเอง
เรื่องบ่อนที่เป็นแหล่งแพร่ระบาดโควิดรอบใหม่นี้ โดยเฉพาะ “บ่อนระยอง” ของ “หลงจู๊สมชาย” ที่แพร่เชื้อกระจายลามไปจังหวัดใกล้เคียง ตามด้วย บ่อนจันทบุรี และ ตราด กลายเป็นกระแสสังคมกดดันให้รัฐบาลต้องออกแอกชัน ใช้ยาแรงลุยกวาดล้าง ปราบปราม แต่ในความเป็นจริง กลับยังเห็นเป็นเพียงคำสั่งโยกย้ายนายตำรวจที่เกี่ยวข้องระดับ “ผู้การจังหวัด” ขณะที่ในภาวะคับขันเจ้าหน้าที่รัฐก็คุมการระบาดของคลัสเตอร์บ่อนไม่ได้ เพราะว่าบ่อนยังมีอยู่เกลื่อนกลาดรายวัน
ขนาดที่พระสงฆ์องค์เจ้ายังรู้ อดรนทนไม่ไหวดังตัวอย่าง “หลวงพ่อน้ำหอม” วัดไร่กล้วย อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดโปงบ่อนพนันย่านศรีราชา ว่า มีทั้งย่าน 9 กิโล วังหิน และ เขาแตงอ่อน วอนคนเล่นไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 หลังทำเดือดร้อนไปทั่ว
หลวงพ่อโพสต์ลงโซเชียลฯ ชี้เป้าบอกเบาะแสเสร็จสรรพ แสดงว่า เหลืออดกับการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐจริงๆ
ไม่นับรวม ที่ว่า “กทม.ไม่มีบ่อน” แต่พ่อเมืองกาญจนบุรี ก็ฉีกหน้ารัฐบาล โพสต์ลงเฟซบุ๊กเช่นกันว่า ผู้ติดเชื้อสองสามีภรรยาคนเมืองกาญจน์ นั้นได้รับเชื้อมาจาก “บ่อนปิ่นเกล้า”
คำถามคือว่า แล้วตำรวจและฝ่ายปกครองได้รับนโยบายกวดขัน คุมเข้มกันอย่างไร ยังปล่อยให้บ่อนคงมีอิทธิฤทธิ์ แพร่เชื้อโควิดให้สังคมเดือดร้อนอยู่ทุกวัน
เมื่อวาน (5 ม.ค.) ฟากตะวันออก 5 จังหวัด พื้นที่ระทมทุกข์จากบ่อน “พล.ต.ท.วีระ จีรวีระ” ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2 ) ก็ลงนามในคำสั่งเด้ง “ผู้การตราด” พล.ต.ต.เสถียร บุญค้ำ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตราด เป็นรายล่าสุด หลังจากวันก่อนนั้น ผู้การจังหวัดใกล้เคียงล้วนโดนกันถ้วนหน้า
ว่ากันว่า งานนี้ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. ก็ก้นร้อน เมื่อวานถูกสื่อซักหนัก ถึงยอมรับว่ามีลักลอบ “เล่นพนัน” หลายที่ แต่ไม่มีหลักฐานเอาผิด เพราะบ่อนมักมีการกล่าวอ้างตัวบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าของบ่อน รวมถึงมีการอ้างชื่อบุคคลสำคัญ และนักการเมืองว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุน แต่การทำงานของตำรวจ เมื่อไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถดำเนินคดี
เรียกว่าออกตัวกันไว้ก่อน แต่ที่ ผบ.ตร.โดนจี้มากที่สุด ก็คือ เด้งผู้การจังหวัดในพื้นที่ภาค 2 เกือบจะหมดแล้ว แต่ทำไมระดับใหญ่อย่าง “ผบช.ภ.2” ถึงไม่ต้องรับผิดชอบ
แนน่อนสังคมย่อมคิดว่า หนึ่งนั้นเป็นเรื่อง “สละเบี้ยเพื่อรักษาขุน” ที่รัฐราชการสีกากีชอบทำกันเวลาที่พบบ่อนในพื้นที่... สองนั้น ผบช.ภ.2 มีผู้หนุนหลังที่ต้องเป็นระดับที่ “บิ๊กเบิ้ม” หรือไม่ ? เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ากันไปให้แซดว่า เป็น “เด็กลุง” จึงไม่มีปัญหา!!
ถามว่า คนระดับ ผบ.ตร. มีหรือจะไม่รู้ข้อมูลบ่อน อย่าว่าแต่ภาคตะวันออก ทั่วประเทศ ผบ.ตร.ต้องรู้อยู่แล้ว และผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคน ไผเป็นไผ แต่งตั้งโยกย้ายมาอย่างไร ทำไมจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง
สังคมก็เลยสังสัยนี่หรือ... ไม่เป็นเหตุผลที่ “ลุงตู่” ประธาน ก.ตร. รับผิดชอบตำรวจเต็มๆ มัวแต่เงื่อง่า และ ผบ.ตร. ก็อ้ำอึ้งหาเหตุผลมารองรับและเล็มฟันระดับเล็กๆ ไปก่อนเพื่อลดกระแสสังคม อีกทางหนึ่งก็เพื่อพรางตัวเองไว้ให้อยู่รอดปลอดภัย
ที่ปล่อยปละละเลย จนบ่อนทำวิบัติไปทั้งภาค หรือระดับประเทศ จะห้ามไม่ให้คนคิดว่าทั้ง “ลุง และ พล.ต.อ.สุวัฒน์” รู้เห็นเป็นใจกันเป็นกระบวนการ ได้อย่างไร
ขบวนการบ่อนระยอง สะท้อนให้เห็นรากเหง้าปัญหา “เครือข่ายอำนาจ” ที่เหนือรัฐบาล เป็นอำนาจแฝง “Deep state” ที่ร่ำลือกันหนาหนักว่า วางตัวคนมาคุ้มครองเส้นทางส่วยบ่อนโดยเฉพาะ !!
ว่ากันว่า คนเดินเกมให้เครือข่ายอำนาจ เป็นอดีตนายตำรวจใหญ่ ฉายา “ฉลามตาฟาง” เติบโตก้าวหน้ามาจากใช้กลยุทธ์ “กระเป๋าโดราเอมอน” เป็นใบเบิกทางไปสู่อำนาจ ในยุทธจักรสีกากี จนเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่
เขาเดินเข้าหาเป้าหมาย นายผู้ใหญ่ที่อยู่ในอำนาจ ที่คิดแล้วว่าจะช่วยแต่งตั้งโยกย้ายเขาไปลงเก้าอี้ ในพื้นที่ “เกรดเอ” ได้ โดยทุกครั้ง “ฉลามตาฟาง” จะหนีบกระเป๋ามาใบหนึ่ง
“ฉลามตาฟาง” จะสรรหาพระเครื่อง ใส่กระเป๋าหนีบมา ตั้งแต่พระสมเด็จ รวมทั้งพระเครื่องในชุดเบญจภาคีอื่นๆ และพระเครื่องยอดนิยม ที่มีราคาเช่าหากันหลักแสน หลักล้าน แต่ละองค์จัดอยู่ในประเภทแท้ล้านเปอร์เซ็นต์ และสวยๆ ทั้งนั้น
ตอนแรกก็ส่องดูกันไปก่อน จนเห็นว่านายชอบองค์ไหน เขาก็จะขออนุญาตนิมนต์พระองค์นั้นให้เป็นของกำนัลแก่นายไป เจอไม้นี้ นายผู้ใหญ่เสร็จทุกราย แล้ว “ฉลามตาฟาง” ก็ได้ของตอบแทน การลงทุน ที่สุดคุ้มไปนั่งเก้าอี้สำคัญตลอดมา
“ฉลามตาฟาง” ขึ้นเป็นนายพลตำรวจ เป็นผู้การในจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสงคราม ก่อนโยกกลับมานครบาลถิ่นเก่า ในตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ในยุคของรัฐบาลประยุทธ์ เขาได้ขึ้นเป็นพลตำรวจโท ในตำแหน่งผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานงานสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มาอยู่ ที่นี่ก็ยิ่งได้ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี กระเป๋าหนีบโดราเอมอน ก็ได้ทำงานเต็มที่ ถึงวันนี้คงจะนิมนต์จึ้นคอไปหลายพ่วง
จึงเป็น “ผบช.” ตำแหน่งลอยไม่กี่เดือน เกิดมีปัญหาในกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 ก็ถูกส่งตัวไปรักษาการที่ บช.ภ.9 อยู่หลายเดือน พอถึงการแต่งตั้งปี 2559 ได้โยกมาเป็น “ผบช.ภ.2” จังหวะนั้น บ่อนในเมืองชล ระยอง และทุกจังหวัดในภาคตะวันออก ก็ผุดขึ้นมากเต็มพื้นที่ และไม่มีไฟแดงสั่งปิด อยู่เกือบสามปี เก้าอี้ “ฉลามตาฟาง” ไม่มีใครกล้ามางัด กวาดเงินบ่อนไปไม่รู้เท่าไหร่
แม้ “ฉลามตาฟาง” จะลาออกไปรับตำแหน่ง ส.ว. ที่นายกรัฐมนตรีจัดให้ แต่ยังต้องการมีอิทธิพลในพื้นที่ภาคตะวันออกต่อไป จึงเดินหมากอย่างแยบยล ด้วยลีลาชั้นเชิงมี “พระสมเด็จ” นำ
แผนแรก เขาส่งเพื่อนร่วมรุ่น นรต. มาเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ชลบุรี เป็นการสานต่อลายแทงบ่อนในเมืองชลไว้ และกุมอำนาจระดับจังหวัดไว้ก่อน จนมาปีที่แล้ว จึงส่งเด็กในคาถา มาเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 2 อีกตำแหน่ง ซึ่งคนที่มาเป็น ผบช.ภ.2 ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าชื่อของ “พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ” จะได้มาลง บช.ภ.2 พร้อมกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างใน สตช.ว่า “เป็นเด็กสายลุง” ส่งมา โดยมีโปรโมเตอร์ใหญ่ดันอยู่เบื้องหลัง คือ “ฉลามตาฟาง” ซึ่งเป็นคนยัดชื่อวีระใส่มือนายกฯ นั่นเอง
จากนั้นก็เดินหมากแต่งตั่งโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้การ ผู้กำกับการ และสารวัตร ในพื้นที่ บช.ภ.2 เพื่อเป็นการยึดอำนาจตำรวจท้องที่ไว้ดังที่ทราบกัน
เรื่องนี้ ว่ากันว่า ยังมีอาฟเตอร์ช็อกตามมา คือ หลังจากที่บัญชีแต่งตั้งโยกย้าย รอง ผบก. ผกก. สว. ประกาศออกมา ก็มีข่าวลือสะพัดว่า ใน บช.ภ.2 มีการซื้อขายตำแหน่ง โดยมีคนจัดโผแต่งตั้งอยู่ไม่กี่คน
เหตุการณ์ไม่ปกติ ที่ปรากฏอยู่ในบัญชีแต่งตั้งของ บช.ภ. 2 คราวนี้ อีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ คือ มีการเด้งนายตำรวจระดับผู้กำกับการท้องที่ สภ.ต่างๆ ในพื้นที่ จ.ชลบุรี และระยอง ออกจากตำแหน่งเดิมเกือบยกจังหวัด
ว่ากันไว้ว่า ที่ จ.ระยอง มี สภ.คุมพื้นที่อยู่ทั้งหมด16 โรงพัก ผู้กำกับโดนย้ายไปในบัญชีแต่งตั้งครั้งนี้ 14 โรงพัก ส่วนที่เมืองชล โดนนับสิบโรงพัก เฉพาะโรงพักด้านฝั่งทะเล ถูกย้ายออกหมด เช่น ผู้กำกับ สภ.เสม็ด, สภ.แสนสุข, สภ.ศรีราชา, สภ.บางละมุง, สภ.พัทยา, สภ.นาจอมเทียน, สภ.หนองใหญ่, สภ.พนัสนิคม และ สภ.ดอนหัวฬ่อ
ในส่วนผู้กำกับการสืบสวนที่ขึ้นตรงกองบัญชาการ ผู้กำกับสืบสวน สามคนถูกย้ายเรียบ คือ ผกก.1-3 บก.สส.ภ.2
แต่ที่หนักไปกว่านั้น ก็คือ มีการย้ายตำรวจเหล่านี้ข้ามกองบัญชาการ กระเด็นไปอยู่กองบัญชาการอื่นเป็นแถบ มีตำรวจภาค 2 ที่ถูกย้ายออกนอกหน่วย บางคนระเห็จไปไกลปืนเที่ยงถึงแม่ฮ่องสอน !
มีคำถามว่า ตำรวจเหล่านี้มีความผิดอะไร ถึงโดนลงโทษหนักขนาดนั้น และคนแต่งตั้งใช้อำนาจอะไร และใช้อำนาจถูกต้องตามระเบียบ ก.ตร.หรือไม่ เพราะมีตำรวจในคำสั้งนี้ ที่ดำรงตำแหน่งไม่ถึง 2 ปี ถูกย้ายทั้งๆ ที่ไม่มีความผิดอะไร โดยหลักแล้วถ้าไม่ถึงสองปีห้ามย้าย แต่ครั้งนี้ ปรากฏว่าปีเดียวไม่มีความผิดอะไรก็ถูกย้ายออกจากตำแหน่งเดิม มีทั้งโยกย้ายภายในหน่วยและออกนอกหน่วย
คนทำบัญชีใช้ดุลพินิจ เหตุผลและความจำเป็นอะไร มาย้ายตำรวจที่อยู่ไม่ครบ 2 ปี โดยไม่มีความผิดหรือความบกพร่องอะไรเลย
งานนี้ขุดกันให้ดีๆ จะมีคำตอบว่า ทำไม บ่อนระยอง ทั้งลุง และ ผบ.ตร. จึงเว้นวรรค “ผบช.ภ.” จัดการเบี้ย แต่ไม่จัดการขุน
ทั้งหมดทั้งมวล เป็นเรื่องที่ลุงจะยอมปล่อยผ่านเช่นนี้หรือ โควิดจากบ่อน บ่อนทำลายไปทุกอณูของสังคม ผบ.ตร. ต้องรับผิดชอบมั้ย ?...ของแบบนี้สาธุชนย่อมรู้กัน
** ผวากันทั้งดอนเมือง!! เมื่อขบวนการค้ามนุษย์ ขน “โรฮิงญา” ติดโควิดงอม ซุกท้ายตลาด รอส่งลงใต้
ไม่รู้จะบอกว่า “งามหน้า” หรือ “ตบหน้า” ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กันดี เมื่อชาวบ้านย่านดอนเมือง แจ้งตำรวจตรวจคนเข้าเมืองว่า มีขบวนการ “ค้ามนุษย์” ขนแรงงานเถื่อนมาซุกในบ้านเช่าแห่งหนึ่ง ที่หลังตลาดใหม่ดอนเมือง ช่วยไปตรวจหน่อยกลัวว่าจะพาเอาเชื้อโควิดมาด้วย
เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงได้เข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าวตามเบาะแสที่ได้รับแจ้ง ก็พบแรงงานชาวเมียนมาที่ลักลอบเข้าเมืองทั้งชาย-หญิง รวม 18 คน เมื่อประสานไปยังเจ้าหน้าที่กองควบคุมโรคเข้ามาทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก็ปรากฏว่า มีผู้ติดเชื้อโควิดถึง 7 คน
จากการสอบสวนแรงงานเหล่านี้ ได้ความว่าเป็นชาว “โรฮิงญา” ที่เดินทางมาจากรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา ข้ามชายแดนเข้าไทยตามช่องทางธรรมชาติ ด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก แล้วมีนายหน้าพาขึ้นรถกระบะ พรางตัว ลัดเลาะ หลบเลี่ยงการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ มาจนถึงบ้านพักหลังตลาดใหม่ดอนเมือง เพื่อรอส่งต่อไปยัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
“โรฮิงญา” กลุ่มนี้บอกว่าต้องเสียค่านายหน้าให้กับขบวนการนำพาเข้าไทย หัวละ 6,000 บาท !!
ดูจากไทม์ไลน์แล้ว “โรฮิงญา” กลุ่มนี้ ข้ามแดนเข้าไทยมาที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ 25-26 ธ.ค. 63 และ วันที่ 1-2 ม.ค. 64 ก็เป็นช่วงเวลาที่ขบวนการค้ามนุษย์ นำขึ้นรถกระบะ พามาส่งถึงดอนเมือง กระทั่งถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าว ที่ จ.สมุทรสาคร โดวิดที่ติดมากับแรงงานเมียนมา ได้ระบาดรุนแรงแล้ว “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็ได้กำชับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองแล้ว ให้ดูแลชายแดนที่เป็นช่องทางลักลอบ หลบหนีเข้าเมืองอย่างเข้มงวด ทั้งที่แม่สาย แม่สอด และยังประกาศกร้าวว่า จะจัดการขบวนการ “คนชั่ว” เหล่านี้ให้สิ้นซาก
ซึ่งตามไทม์ไลน์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า “ขบวนการคนชั่ว” เหล่านี้ ไม่ยี่หระ ไม่สนใจกับคำสั่ง และคำขู่ของ “ลุงๆ”... ยังคง “ทำมาหากิน” กันตามปกติ ไม่สำนึก สำเหนียกว่า แรงงานเหล่านี้ เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะนำพาเชื้อโควิดเข้ามาระบาดในไทย ให้สถานการณ์แย่หนักลงไปอีก
คำถามจึงมีว่า ในเมื่อมีการประกาศคุมเข้ม ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามา มีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานตั้งด่าน ตั้งจุดสกัด ตามเส้นทาง แต่ทำไมขบวนการค้ามนุษย์ ยังพาคนเล็ดลอดเข้ามาถึงตัวเมืองหลวงชั้นในได้
ความจริงแล้วด้วยความสามารถของเจ้าหน้าที่ของตำรวจ น่าจะตรวจเช็กได้ไม่ยาก ถึงรถที่ขนแรงงานเหล่านี้เข้ามา เจ้าของบ้านพัก รวมทั้งกลุ่มนายทุนที่อยู่เบื้องหลัง ว่าเป็นใคร และมีเจ้าหน้าที่กลุ่มไหนรู้เห็นเป็นใจ
ก็คงต้องถามดังๆ ไปถึง “ลุงๆ” ว่า เรื่องนี้จะเอาไงดี !!