“วิษณุ” แจงสถานการณ์โควิด-19 ให้แต่ละพื้นที่จัดการ แต่หากระบาดหนักเพิ่มมาตรการระยะ 2 ดึงอำนาจกลับมาที่นายกฯ ให้เป็นมาตรฐานเดียว
วันนี้ (5 ม.ค.) เมื่อเวลา 08.43 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ระบุจะมีการล็อกดาวน์ 5 จังหวัด ประกอบด้วย สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ว่าตนไม่รู้ว่าจะเรียกว่าล็อกดาวน์หรือไม่ แต่จะมีการเข้มข้นมาตรการใน 5 จังหวัดดังกล่าวซึ่งไม่ถึงกับเข้มข้น 100 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่เหมือนกับการล็อกดาวน์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา รายละเอียดจะมีการแถลงภาพหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจากเรื่องดังกล่าวต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. และในที่ประชุม ศบค.เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมายังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการประกาศเคอร์ฟิว โดยนายกรัฐมนตรีใช้คำว่าระยะที่ 1 คือ ขณะนี้ซึ่งการแพร่ระบาดยังช้าอยู่ ควบคุมได้อยู่ ก็จะใช้มาตรการเดิม
นายวิษณุกล่าวต่อว่า แต่หากไปถึงจุดหนึ่งที่จะกลายเป็นระยะที่ 2 อาจต้องเพิ่มความเข้มข้นขึ้น โดยไม่ได้ยึดกรอบเวลา แต่ยึดที่สถานการณ์ หากพื้นที่สีแดงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และพื้นที่สีส้ม และสีเหลืองเปลี่ยนเป็นพื้นที่สีแดงมากขึ้น และการแพร่ระบาดของเชื้อทวีความรุนแรงก็ต้องประเมินสถานการณ์และมีโอกาสเพิ่มมาตรการเข้มข้นมากกว่าระยะที่ 1
ทั้งนี้ ขอให้ใช้คำสั้นๆ ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการใช้มาตรการระยะที่ 1 ซึ่งมีความหนักเบาในแต่ละพื้นที่สลับกันไปเหมือนเมื่อครั้งโควิด-19 ระบาดใน 1 ปีที่ผ่านมา อำนาจจะเข้ามาอยู่ที่ ศบค.ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ครั้งนี้เราคืนอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ เพียงแต่มีข้อความให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมั่นใจว่าจะไม่ถูกฟ้องและได้รับการคุ้มครอง โดยใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปคุ้มครองให้ออกคำสั่ง แต่ไม่ได้สั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือความลักลั่นในแต่ละพื้นที่ โดยในระยะที่ 1 ให้เป็นเช่นนี้ไปก่อน ซึ่งปัญหานี้ในที่ประชุม ศบค.ก็มีการพูดถึงคงต้องปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไประยะหนึ่งแล้วค่อยปรับเข้าไปสู่มาตรฐานเดียวกันในระยะที่ 2 เป็นการเรียกอำนาจกลับคืนมาเป็นของนายกฯ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
เมื่อถามว่า มาตรการต่างๆ กระทบต่อภาคเอกชนรัฐบาลมีเงินเพียงพอในการเยียวยาหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพูดถึงในส่วนนั้น