xs
xsm
sm
md
lg

“ส.ว.สถิตย์”เสนอใช้ประโยชน์ข้อตกลงด้านภาษี เพิ่มประสิทธิภาพ-สร้างความเป็นธรรมจัดเก็บภาษีระหว่างบริษัทไทยกับต่างชาติ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา(แฟ้มภาพ)
“ดร.สถิตย์” สนับนสนุนไทยเข้าร่วมความตกลงพหุภาคีว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษี แสดงจุดยืนความโปร่งใสในการบริหารการจัดเก็บภาษีของประเทศ แนะหน่วยงานจัดเก็บภาษีเตรียมความพร้อม ในการจัดทำกฎหมายให้สอดคล้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ โดยเฉพาะภาษีจากบริษัทข้ามชาติ สร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ระหว่างบริษัทในประเทศกับบริษัทระหว่างประเทศ

ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงความเป็นมาของความร่วมมือทางภาษีระหว่างประเทศ โดยเริ่มจากอนุสัญญาความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนหรือเรียกสั้นๆ ว่าอนุสัญญาภาษีซ้อน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการขจัดภาษีซ้ำซ้อนระหว่างกัน กล่าวคือ ไม่ต้องเสียภาษีเดียวกัน ซ้ำซ้อนกันในอีกประเทศหนึ่ง อนุสัญญาภาษีซ้อนเป็นความตกลงสองฝ่ายหรือทวิภาคี ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้มีสัญญากับ 61 ประเทศ

ในอนุสัญญาภาษีซ้อนนั้น จะมีบทบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษี เมื่อคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลภาษีซึ่งกันและกัน

ต่อมา องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ได้ก่อตั้งกรอบความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างประเทศ โดยกำหนดมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทุกรูปแบบระหว่างกัน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559

และในครั้งนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีได้พัฒนาไปสู่ความตกลงพหุภาคีว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษี ซึ่งคณะรัฐมนตรี ได้มีมติให้ไทยเข้าร่วมเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2560 ความตกลงฯ นี้ เป็นความตกลงหลายฝ่ายหรือพหุภาคี ปัจจุบันมีประเทศแสดงเจตจำนงเข้าร่วมแล้ว 137 ประเทศ

การแลกเปลี่ยนข้อมูลตามความตกลงฯ นี้ นอกจากเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีแล้ว ยังมีการให้ความช่วยเหลือในการติดตามจัดเก็บภาษีค้างชำระ และการให้บริการจัดหาเอกสาร

รูปแบบการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบร้องขอ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่จำต้องได้รับการร้องขอ

ดร.สถิตย์ฯ ได้อภิปรายสนับสนุนการเข้าร่วมความตกลงฯ นี้ โดยเห็นว่าเป็นการแสดงจุดยืนถึงความโปร่งใสในการบริหารการจัดเก็บภาษีของประเทศ อันจะทำให้เป็นที่เชื่อถือของนักลงทุนและนานาประเทศ และยังเป็นการแสดงความชัดเจนของการเป็นประเทศที่มิใช่แหล่งหลบภาษีระหว่างประเทศ

ดร.สถิตย์ฯ ได้เสนอว่าในการเข้าร่วมความตกลงฯ นี้ หน่วยงานจัดเก็บภาษีจะต้องเตรียมความพร้อม ในการจัดทำกฎหมายให้สอดคล้องกับความตกลงฯ และเตรียมพร้อมด้านการบริหารจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านหน่วยงาน บุคลากร เทคโนโลยี และควรวางแผนใช้ประโยชน์จากการได้ข้อมูลตามความตกลงฯ นี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ให้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีจากบริษัทข้ามชาติซึ่งมีจำนวนเงินภาษีที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยจัดเก็บภาษีได้ประมาณร้อยละ 17 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ในขณะที่มาตรฐานของประเทศกำลังพัฒนาระดับเดียวกับไทยจัดเก็บภาษีได้ประมาณร้อยละ 20 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ

นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ระหว่างบริษัทในประเทศกับบริษัทระหว่างประเทศ และระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับบริษัทขนาดเล็กอีกด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น