คณะ กมธ.พลังงาน ยกพลลงพื้นที่บริษัท EA ดูงานหลังพัฒนา รถ-เรือ ยานยนต์ไฟฟ้า ด้าน “หมอระวี” จี้ รมว.พลังงานคนใหม่ ต้องเร่งนโยบายนี้ ก่อนประเทศเพื่อนบ้านฉวยไปลงทุนแทน
วันนี้ (31 ก.ค.) เวลา 10.00 น. คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายกิตติกร โล่ห์สุนทร ประธานกรรมาธิการ, นพ.ระวี มาศฉมาดล ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณายานยนต์ไฟฟ้า ลงพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา และ จ.สมุทรปราการ โดยได้มีการดูงานที่โรงงานประกอบรถยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมี นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ได้บรรยายถึงการประกอบธุรกิจ วิสัยทัศน์ แผนการลงทุน แผนธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และสถานีอัดประจุไฟฟ้า และศักยภาพความพร้อมในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ ทางบริษัทได้นำรถยานยนต์ไฟฟ้ามาทดลองขับให้ชม
นอกจากนี้ ทางบริษัท EA ยังได้นำเยี่ยมชมเรือไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ออกแบบโดยคนไทย และได้รับการจดทะเบียนเป็นลำแรกของประเทศไทย สามารถจุผู้โดยสารได้กว่า 200 คน ค่าโดยสารต่อเที่ยวประมาณ 20 บาทเท่านั้น และยังได้มีการออกแบบโป๊ะสำหรับอัดประจุไฟฟ้าให้เรือ ผู้บริโภคจะได้รับความมั่นใจ เดินทางด้วยความปลอดภัย โดยทั้งรถยนต์และเรือถูกทำขึ้นตามมาตรฐานสากลระดับโลก ในการออกแบบและขั้นตอนการผลิต รวมไปถึงการทดสอบต่างๆ เพราะทางบริษัทไม่ได้ตั้งใจว่าจะขายในประเทศไทยอย่างเดียว
เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรไปถึงรัฐบาลหรือไม่ นายสมโภชน์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมตรงนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อรัฐบาลต้องสร้างความต้องการ หรือดีมานด์ให้เกิดขึ้นก่อน ภาคเอกชนก็จะกล้าลงทุน อุปสรรคของผู้ประกอบการในตอนนี้ คือ ระบบขนส่งที่ยังทำให้เสียความสามารถในการแข่งขัน หากเปลี่ยนระบบขนส่งไปใช้พลังงานไฟฟ้าแทน จะทำให้ต้นทุนลดลงได้
ด้าน นายกิตติกร กล่าวว่า อุตสาหกรรมในวันนี้ ถือเป็นความภูมิใจและความสำเร็จของคนไทย เราสามารถผลิตของที่มีคุณภาพ แล้วดีต่อสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการจะพยายามผลักดันให้กับทางรัฐบาลได้เล็งเห็นว่า ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้นๆ ที่เป็นประเทศผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
ด้าน นพ.ระวี กล่าวภายหลังการลงพื้นที่ ว่า ตนในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการยานยนต์ไฟฟ้า วันนี้จะเห็นว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของภาคเอกชนกำลังพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ตนต้องขอฝากไปถึงรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนใหม่ ว่า ต้องเร่งทำนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าโดยรีบด่วน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า คงเป็นดีทรอยต์ของเอเชียตะวันตกในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เพราะถ้าช้าไปเพียง 1 ปี อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอาจจะเลือกไปลงทุนในเวียดนาม มาเลเชีย และ อินโดนีเชีย เมื่อถึงเวลานั้นคนงานนับล้านคนในวงการผลิตรถยนต์จะตกงาน