“ฝ่ายค้าน” ยื่น 209 ชื่อขอเปิดวิสามัญ หวังพึ่งสภาเป็นตัวกลางดึง ส.ส.-ส.ว.ลงชื่อให้ครบ 245 ชื่อ เพื่อถกแก้ปัญหาโควิด หวั่นรัฐบาลใช้งบไร้ระบบตรวจสอบ
วันนี้ (8 พ.ค.) เวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ยื่นหนังสือต่อนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะเลขาธิการรัฐสภา เพื่อแสดงความจำนงในการนำรายชื่อ ส.ส.ฝ่ายค้านจำนวน 209 คน เพื่อเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญในการหาทางออกเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชน
นพ.ชลน่านกล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 123 กำหนดให้การเปิดประชุมสมัยวิสามัญสามารถทำได้ 2 ทาง คือ 1. การให้ ครม.นำความขึ้นกราบบังคมทูล หรือ 2. ส.ส.และ ส.ว.จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เข้าชื่อกันเพื่อขอเปิดประชุมสภาวิสามัญ ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายค้านได้ไปแสดงความจำนงต่อรัฐบาล เพื่อขอให้รัฐบาลใช้อำนาจฝ่ายบริหารเปิดประชุมวิสามัญแต่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล มีความเห็นว่าการเปิดประชุมสมัยวิสามัญยังไม่มีความจำเป็น ดังนั้นฝ่ายค้านที่มีรายชื่ออยู่ในมือ 209 คน จึงต้องทำหนังสือถึงเลขาธิการรัฐสภา เพื่อขอให้สำนักงานเลขาสภาผู้แทนฯ เป็นตัวกลางในการให้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล หรือ ส.ว. ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปิดประชุมสมัยวิสามัญฯ มาลงชื่อร่วมกับฝ่ายค้าน ให้ครบตามรัฐธรรมนูญกำหนด (245 คน)
นพ.ชลน่านกล่าวอีกว่า สำหรับข้อกังวลของบางฝ่ายที่ว่าหากมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญฯ จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกครั้ง เพราะ ส.ส.บางส่วนมาจากพื้นที่เสี่ยงนั้น ส่วนตัวคิดว่าในภาพรวมสภามีความพร้อมในการปฏิบัติให้ได้มาตรฐานการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งสภาก็ได้มีการจัดที่นั่งให้ ส.ส.ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมแล้ว รวมทั้งจะมีการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวดจึงคิดว่า จากการดำเนินการของสภาทำให้สามารถมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง
นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่า สำหรับความจำเป็นที่จะต้องมีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญฯ เป็นการเร่งด่วน เพราะ 1. รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน เป็นจำนวนเงินสูงสุดมากเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับการพิจารณาใช้เงินกู้นั้นมีแต่เพียงคณะกรรมการกลั่นกรองเท่านั้น จึงมีความจำเป็นที่รัฐสภาต้องเข้าไปร่วมตรวจสอบเป็นการเร่งด่วน เช่นเดียวกับการตรา พ.ร.ก.ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่อาจจะมีการกำหนดให้รัฐบาลใช้ดุลพินิจได้ตามอำเภอใจ ซึ่งอาจทำให้การใช้เงินกลายเป็นเบี้ยหัวแตก รวมไปถึงการตรา พ.ร.ก.ช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งมีความกังวลว่าธนาคารแห่งประเทศไทย อาจจะมีการเลือกปฏิบัติจนทำให้ไม่ได้มีการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีกรณีของ พ.ร.บ.โอนงบประมาณ ที่ตามปฏิทินของสำนักงบประมาณ กำหนดให้มีการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวทั้ง 3 วาระภายในวันเดียว ในเมื่อรัฐบาลเล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนแล้ว ทำไมถึงไม่เปิดประชุมสมัยวิสามัญฯ เพื่อให้รัฐสภาช่วยกันให้ความเห็นและตรวจสอบ ซึ่งตนคิดว่ารัฐบาลกำลังกลัวการถูกตรวจสอบมากกว่า
ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ต้องพิจารณารายละเอียดอีกครั้งหลังจากการรับหนังสือ แต่ทั้งหมดก็เป็นไปตามกระบวนการหากมีรายชื่อ ครบตามหลักเกณฑ์ก็สามารถที่จะเสนอเรื่องเพื่อเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญได้ แต่หากรายชื่อไม่ครบก่อนที่จะถึงวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ซึ่งเป็นการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญประจำปีก็ต้องยึดตามที่มีพระราชกฤษฎีกาออกมา