ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “บิ๊กแดง”- กองทัพบก โดนเละ ดรามา #ยานเกราะพ่องงง สังคมคาใจเดินหน้าจัดซื้อช่วงโควิด
ว่าด้วย ประเด็นร้อน แฮชแท็ก “#ยานเกราะพ่องงง” ที่ร้อนฉ่าองศาเดือดทะลุจุดแตกในสังคมออนไลน์ กลบกระแสดรามาพิษโควิด ค่าไฟแพงไปเสียมิด
เมื่อวาน ต้องบอกว่า งงงวย กันไปทั้งบางว่าเรื่องนี้มาได้อย่างไร
เรื่องของเรื่องพอจะไล่เรียงได้ว่า มาจากมีคนไปเห็นประกาศที่กรมสรรพาวุธทหารบก เผยแพร่ในเว็บกรณีการจัดซื้อ “รถยานเกราะ Stryker ติดอาวุธ 50 คันล็อตสอง” ด้วยงบประมาณ 4.5 พันล้าน โดยที่เพิ่งลงนามกันไปไม่นานมานี้
พอออกมาแบบนี้ ...และยิ่งออกมาในช่วงวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนลำบากทุกข์ยาก จึงมีคำถามถึงความเหมาะสม วิกฤตของประชาชน กองทัพบกยังจะจัดซื้ออาวุธกันอีกหรือ ? ก็เลยเป็นเรื่องเป็นราว...
จากนั้นจากปากต่อปากว่ากองทัพบกจะเดินหน้าซื้อยานเกราะ ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดไม่แพ้ไวรัสโควิด “#ยานเกราะพ่องงง..” จึงฮอตฮิตพร้อมกับเสียงก่นด่ากันใหญ่
งานนี้ ว่ากันว่า “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และกองทัพบก เดือดเนื้อร้อนใจส่ง “ปฏิบัติการข่าว” ออกมาเคลียร์ว่า เรื่องนี้เป็นเพียง “แผนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบของปี 2563” ไม่ใช่ “การใช้งบปี 2563”
พูดง่ายๆ เป็นแค่ “แผน” ไม่ใช่ว่าจะจ่ายเงินซื้อเลยทันที !!
การจัดซื้อตามเอกสารเป็นเรื่องทำตามโครงการต่อเนื่องของปีงบประมาณ 2564/2565 โดยจัดซื้อรถเกราะ 50 คัน แต่ทางสหรัฐฯ ให้เพิ่มอีก 30 คัน รวมทั้งโครงการกองทัพบก จะได้รถเกราะจำนวนกว่า 130 คัน
แต่กระแสความไม่พอใจก็ยังไม่ลดดีกรีลง จนต้องปรากฏรายงานข่าวตามหลังมาอีกว่า “บิ๊กแดง” ยอมถอยแล้ว... เวลาต่อมา พ.อ.(พิเศษ) วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) ออกมาแจ้งว่า ใช้งบปี 2563 เพียง 450 ล้านบาทเท่านั้น ในการซื้อรถยานเกราะดังกล่าว
ขณะนี้กองทัพบกได้พิจารณาตัดงบประมาณปี 2563 แล้วกว่า 50% ตามที่รัฐบาลสั่งให้นำเงินคืนคลัง เพื่อให้รัฐบาลนำงบประมาณ มาช่วยแก้ปัญหาจากโควิด-19 โดยกระทรวงกลาโหมได้ขอให้ 7 หน่วยงาน ในสังกัดปรับลดงบประมาณเพื่อส่งคืนให้รัฐบาลนำไปช่วยวิกฤตโควิด-19 รวมกว่า 18,000 ล้าน โดยถือเป็นตัวเลขที่สูง เมื่อเทียบกับกระทรวงอื่นๆ โดยที่กองทัพบกเองได้ส่งงบประมาณคืนเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาท
เรียกว่า กองทัพบกได้ชะลอโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ไปหลายโครงการ งบปี 63 โครงการขนาดใหญ่ๆ อย่าง รถถัง ปืนใหญ่ หรือเรดาร์ โครงการพวกนี้จะถูกตัดทั้งหมด สำหรับโครงการระดับกลาง หรือโครงการย่อยๆ ในส่วนของกองทัพบก ถูกชะลอตัดออกไปจากงบปี 63 ก็มีประมาณ 26 โครงการ
ถามว่า แล้วทำไมไม่ยกเลิกไปเลย จะได้เอาเงิน 4,500 ล้าน มาเยียวยาพิษโควิดให้ประชาชน ?
กองทัพบกก็บอกว่า เหตุที่ไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะเป็นโครงการต่อเนื่องและเป็นการจัดซื้อระบบ Foreign Military Sales-FMS จากสหรัฐอเมริกา
FMS นี้ เป็นไปตามความช่วยเหลือทางทหารกับสหรัฐอเมริกา ที่เข้าสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว
กรณีนี้ยืนยันว่า โครงการจัดซื้อรถเกราะเป็นไปอย่างโปร่งใส และดีที่สุด เป็นไปเพราะความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพไทยกับสหรัฐฯ
ดรามา “ยานเกราะพ่องงง...” ก็มีด้วยประการฉะนี้ ส่วนสังคมจะเคลียร์หรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ที่แน่ๆ ภาวะวิกฤตแบบนี้ ความรู้สึกของประชาชนอ่อนไหวต่อเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพอย่างยิ่ง
เชื่อว่าจะมีอีกหลายเรื่องหลายโครงการ ที่พร้อมที่จะเป็นดรามาตามมาอีกอย่างไม่ต้องสงสัย
** เช็กกันให้วุ่น “ก.-พ.-จ.-ว.” ในพรรคประชาธิปัตย์ หมายถึงใคร หลัง “ภักดิพร” ภริยา “นายหัวชวน” ออกมาโพสต์สาปแช่งว่าแว้งกัดผู้มีพระคุณ !!
เงียบหายไปจากแวดวงข่าวสารเสียนาน มาคราวนี้ทำเอาสื่อโซเชียลร้อนฉ่า... เมื่อ “แม่ปุ๊ย” ภักดิพร สุจริตกุล แม่ของ “หนุ่มปลื้ม” สุรบถ หลีกภัย และเป็นภริยาของ “นายหัวชวน” ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และ อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพและข้อความผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว @ manuj_mae (มนุษย์แม่) เมื่อวันก่อน ด้วยถ้อยภาษาที่ค่อนข้างดุเดือด ... เป็นการระบายอารมณ์ที่อัดอั้น สุดทน ซึ่งคนในสังคมโซเชียลต่างตีความว่า น่าจะสื่อไปถึงคนในพรรคประชาธิปัตย์ ที่ “ชวน” เป็นประธานสภาที่ปรึกษา และอดีตหัวหน้าพรรค
“ไอ้ศาลา โกหก จะจุดธูปเทียนสาปแช่งชักหักกระดูกทั้งวัน ทั้งคืน เผากระดาษเงิน กระด...ทอง ถวายหัวหมู หางหมาให้แ...ก มิน่าหมามันถึงเยี่ยวรด แ...กเงินภาษีกู เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียกันแสนสบายบนความทุกข์ยากของประชาชน ยังเ...อกมาแว้งกัดผู้มีพระคุณอีก”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีคอมเมนต์ต่อท้ายโพสต์ กึ่งเฉลยความนัยไปถึงบุคคลอีก 4 คน โดยใช้อักษรย่อ มี “ก.-พ.-จ.-ว.” พร้อมบรรยายคุณลักษณะของแต่ละคนไว้อย่างชนิดที่เรียกว่า คนที่มีอักษรย่อดังกล่าวต้องสะอึก !!
แม้ต่อมาจะมีการลบโพสต์ดังกล่าวไปแล้ว แต่ก็ทำเอาคนในพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งคนในสังคมโซเชียลที่ได้เห็นโพสต์นี้ ต่างเช็กข่าวกันให้วุ่น ว่า อักษรย่อทั้ง 4 คนนั้น หมายถึงใครในพรรค
และเมื่อมีผู้นำเรื่องนี้ไปโพสต์ต่อ ก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์กันมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “การใช้ภาษา” ของ “แม่ปุ๊ย” ที่ไม่เหมาะสม จะพาให้เสื่อมเสียไปถึง “ท่านประธานชวน” ที่เป็นถึงประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ
ข้อความตัดพ้อต่อว่า ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจของ “แม่ปุ๊ย” ในทำนองนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือน ก.พ. 62 ซึ่งเป็นช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง โดย “ชวน หลีกภัย” เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 2 และ “หนุ่มปลื้ม” สุรบถ หลีกภัย ก็ลงสนามเลือกตั้งเป็นครั้งแรก โดยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 33 ของพรรคประชาธิปัตย์
ในครั้งนั้น “แม่ปุ๊ย” ได้โพสต์ไอจี ที่ใช้ชื่อว่า vrzomom ระบายความในใจเรื่องการเมืองอย่างดุเดือด พร้อมภาพถ่ายคู่ของสามี และ “ลูกปลื้ม” ในวัยเด็ก ...
“พ่อฮะ ...พ่อฮะ ...ลูกว่าเรา 2 คน ถูกเขาหลอกต้มจนเปื่อย กลับบ้านไปเลียแผลแล้วฝึกวิทยายุทธ์เหยียบหิมะไร้ร่องรอยกันใหม่ดีไหมพ่อ”
พร้อมกันนั้น ยังเขียนคอมเมนต์ต่ออีกว่า “ถูกเขาหลอกใช้ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้เอามารองนั่ง เสือกถูกเอากระดูกมาแขวนคอ คนอื่นเขาคว้าพุงไปกินกัน” และ “เสร็จศึกชิงเจ้ายุทธจักรครั้งนี้ เค้าจะเอาพ่อแขวนขึ้นหิ้งอีกไหมนี่ หลังจากตระเวนขายชื่อพ่อไปรอบเมือง ทำอะไรก็ไม่เคยเห็นหัวพ่อ หลอกใช้ไปวันๆ”
แน่นอนว่า เมื่อโพสต์นี้ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ก็มีความเห็นหลากหลายตามมา พร้อมตั้งคำถาม และตั้งข้อสังเกตในกลุ่มคอการเมือง ว่า เป็นเพราะความไม่พอใจ ที่ “หนุ่มปลื้ม” ถูกจัดให้ไปอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 33 ซึ่งค่อนข้างห่างไกลที่จะได้เป็น ส.ส. ต่างจากนายทุนพรรคที่ได้อยู่บัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ
ร้อนถึง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นต้องออกมาเคลียร์ ว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “หนุ่มปลื้ม” แล้ว และยังคงช่วยงานของพรรคเป็นอย่างดี ทั้งไปเป็นตัวแทนของพรรคในการนำเสนอนโยบายด้านศิลปวัฒนธรรม ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร...
สำหรับ “ภักดิพร” นั้น ได้พบกับ “ชวน” ครั้งแรกเมื่อปี 2525 ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง โดยการแนะนำของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” จากนั้นทั้งสองก็คบหาเสมือนเพื่อนที่รู้ใจกันมาหลายปี จนกระทั่งแต่งงาน และอยู่กินกันอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส และมีบุตรชายเพียงคนเดียว คือ “หนุ่มปลื้ม”
หัวอกของผู้เป็นแม่ย่อมมุ่งหวังที่จะเห็นความก้าวหน้าในชีวิตการงานของลูก หวังให้เป็นนักการเมืองตามรอยพ่อ ...เมื่อเส้นทางฝันยังไม่บรรลุ และยังฝังใจว่าเป็นเพราะถูกคนในพรรคกีดกัน ย่อมรู้สึกอัดอั้นจนต้องออกมาระบายด้วยอารมณ์ดังว่า