xs
xsm
sm
md
lg

“เชาว์” โวยศูนย์เอราวัณ-กู้ชีพนเรนทร ปฏิเสธส่งรถพยาบาลรับผู้ป่วยโควิด-19 จี้ถาม “เสี่ยหนู” ทำไมกลุ่มเสี่ยงสุวรรณภูมิมีรถไปรับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์โวย ศูนย์เอราวัณ-กู้ชีพนเรนทร ปฏิเสธ ส่งรถพยาบาลรับผู้ป่วยโควิด-19 ให้ชาวบ้านหารถกระบะส่งผู้ป่วยเอง จี้ถาม “อนุทิน” ทำไมกลุ่มเสี่ยงจากสุวรรณภูมิ มีรถกรมควบคุมโรคไปรับ เสนอ 3 มาตรการดูแลชุมชนติดโควิด-19 เปิดสายด่วนกรมควบคุมโรครับเคส 24 ชม.- จัดสถานที่กักตัวสำหรับชาวชุมชน-จัดน้ำยาฆ่าเชื้อ ถุงยังชีพต่อเนื่อง อย่าให้อดตายก่อนติดโควิด

วันนี้ (15 เม.ย.) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง “แยกคน แยกจน ลดเหลื่อมล้ำ คือสิ่งที่รัฐบาลต้องปรับมาตรการโควิด-19 เพื่อลดความเสี่ยงให้ชุมชนโดยด่วน” มีเนื้อหาว่า เมื่อค่ำวานนี้ มีผู้ที่ต้องเฝ้าระวังที่กักตัวอยู่ที่บ้านในชุมชนทับแก้ว เขตห้วยขวาง 1 ราย มีอาการตัวร้อนไข้สูง ไอเจ็บคอ แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก คุณทองดี คะตะวงศ์ ประธานชุมชนและชาวบ้านได้ช่วยกันโทรศัพท์ติดต่อไปที่ ศูนย์เอราวัณ กทม. 1646 และ ศูนย์กู้ชีพนเรนทร สธ. 1669 เพื่อให้มารับตัวส่งโรงพยาบาล เพราะเชื่อว่าน่าจะเป็นอาการของเชื้อโควิดกำเริบ ติดจากสามีซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถีก่อนนี้ แต่กลับได้รับคำแนะนำว่า ให้คนป่วยนั่งท้ายรถกระบะมาเอง เนื่องจากไม่มีนโยบายให้ออกไปรับคนป่วยโควิด จนในที่สุดได้มีพลเมืองดีในชุมชนอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ศูนย์เอราวัณ นำรถมารับตัวไปส่งโรงพยาบาลตอนเที่ยงคืน

นายเชาว์ ระบุว่า ตนฟังแล้วแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะขัดแย้งกับคำของ นายอนุทิน ชาญววีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ที่พูดอยู่ตลอดเวลา ว่า เมื่อพบกลุ่มเสี่ยงหรือเข้าข่ายสงสัยให้ส่งเข้าระบบควบคุมป้องกันโรคทันที ด้วยการโทร.แจ้งไปยังกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้รถพยาบาลมารับไปยังโรงพยาบาลที่มีห้องแยกโรคมาตรฐาน ฟังดูสวยหรูมาก แต่กลับใช้ปฏิบัติไม่ได้จริง ที่เห็นจะมีก็แค่เฉพาะด่านคัดกรองที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนชาวบ้านตาดำๆ คนจนหาเช้ากินค่ำ กลับได้รับการปฏิบัติที่ตรงกันข้าม เป็นความเหลื่อมล้ำของระบบสาธารณสุขที่ไม่ควรเกิดขึ้นในภาวะวิกฤตที่ทุกคนมีหนึ่งชีวิตเท่ากัน

ทั้งนี้ นายเชาว์ ได้มีข้อเสนอถึงรัฐบาลให้เร่งรัดปรับมาตรการด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ที่เกิดกับชุมชนดังนี้

1. กระทรวงสาธารณสุขต้องกำหนดนโยบายให้ชัดเจนว่า เมื่อพบผู้ป่วยที่ส่อว่าอาจติดโรคโควิด-19 แจ้งไปยังศูนย์ต่างๆ ต้องมีการประสานไปยังกรมควบคุมโรคเพื่อส่งรถพยาบาลไปรับผู้ป่วยทันที และควรเปิดสายด่วน 24 ชั่วโมง สำหรับการบริการผู้ป่วยติดโรคโควิด-19 เป็นการเฉพาะเพื่อแก้ปัญหานี้

2. จัดสถานที่กักตัวของภาครัฐไว้รองรับชาวชุมชนที่มีความเสี่ยงที่จะติดโรคโควิด-19 ที่จะต้องกักตัว 14 วัน แทนการปล่อยให้คนเหล่านี้ไปกักตัวกันเองที่บ้าน เพราะมาตรการเว้นระยะห่าง 2 เมตร ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงกับคนในชุมชนแออัด ที่บ้านแต่ละหลังอยู่กันอย่างเบียดเสียด หากทำได้จะช่วยลดจำนวนคนเสี่ยงติดโรคโควิด-19 ได้อย่างมาก จึงขอให้ปฏิบัติกับชาวชุมชนเหมือนที่ท่านจัดหาสถานที่พักกักตัวให้กับคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ

และ 3. จัดเครื่องมือทำความสะอาด แอลกอฮอล์ น้ำยาฆ่าเชื้อ พร้อมให้ความรู้ชาวชุมชน ถึงการทำความสะอาดบ้านเรือนอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ที่สำคัญเรื่องปากท้อง ถุงยังชีพแต่ละครอบครัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากคนเหล่านี้ขาดรายได้มานานแล้ว

“รัฐบาลมีหน้าที่ทำให้คนที่ด้อยโอกาสเข้าถึงการบริการของภาครัฐให้ได้มากที่สุด ครอบคลุมให้กว้างขวางที่สุด ผมพูดหลายครั้งแล้วว่าอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ทำได้สบายๆ สำหรับคนที่มีเงิน เแต่คนที่ปากกัดตีนถีบ ขาดรายได้แค่วันเดียวคืออด อดหลายวันเข้าสุดท้ายเกิดความเครียดที่อาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมหรืออาชญากรรมตามมา รัฐบาลต้องดูแลพวกเขาในเชิงรุกก่อนที่จะเกิดปัญหา” นายเชาว์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น