xs
xsm
sm
md
lg

ตายแล้ว! “ดร.เฉลิมพล” กระตุกต่อมขนหัวลุกให้คนไทย กรณีกักตัวอยู่บ้านใช่ว่า “ปลอดภัย” นี่คือสิ่งที่เรากำลังทำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ดร.เฉลิมพล” ยกบทเรียนความผิดพลาดในจีน มาเขย่าขวัญคนไทย กรณีกักตัวอยู่บ้านใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะอาจมีบางคนติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการอยู่ร่วม... แต่นี่คือสิ่งที่ไทยกำลังทำ!?

น่าสนใจเนอย่างยิ่ง วันนี้ (1 เม.ย. 63) ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “กักตัวเองในบ้านอาจไม่ปลอดภัย....”

โดยระบุว่า “ผมอ่านรายงานนี้ (https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-03-30/italy-home-quarantine-repeats-mistake-made-in-china-doctors-say?fbclid=IwAR3GamNGvYQQjYPk-3M1kEe17XMIG7SNXOUmBqtMThHnB9F3avzD2goExAU) ด้วยความสนใจยิ่ง...

ขอให้คนที่อ่านก็อย่าเพิ่งตระหนกตกใจจนเกินเหตุ...ผู้เชี่ยวชาญจากจีนที่ไปช่วยอิตาลีเรื่องโรคระบาดโควิด-19 บอกว่า การให้ประชาชนแต่ละครอบครัวอยู่แต่ในบ้านเคยใช้ที่อู่ฮั่น เป็นความผิดพลาดของจีน ที่ไม่อยากให้เกิดซ้ำที่อื่นอีก....

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สมาชิกครอบครัวบางคนที่กักตัวเองอยู่ด้วยกันนั้น มีเชื้อไวรัส แต่ยังไม่มีอาการแสดงออกมากนัก (mild symptom) เพราะโรงพยาบาลจะรับก็แต่ผู้ที่มีอาการชัดเจนแล้วเท่านั้น....

นั่นหมายความว่า แม้ไม่มีอาการใดๆ แต่เขาก็เป็นพาหะในตัว ทำให้เกิดการแพร่ไวรัสไปกับคนอื่นๆ ในครอบครัว

ด้วยเหตุนี้ การระบาดในหมู่สมาชิกครอบครัวจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และสมาชิกครอบครัวที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ก็จะมีอาการหนักอย่างรวดเร็วจนถึงเสียชีวิตในบ้าน เพราะโรงพยาบาลไม่มีเตียงว่าง ไม่มีเครื่องช่วยหายใจ ไม่มีวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์มากพอสำหรับทุกคนที่ป่วย

การกักตัวผู้ที่มีอาการป่วยไม่มากที่บ้าน เท่ากับเป็นการแพร่เชื้อให้ทุกคนในบ้านโดยตรง

จีนได้เปลี่ยนนโยบายกักตัวในบ้านมาเป็นการสร้างโรงพยาบาลสนาม ใช้อาคารสถานที่ต่างๆที่สามารถนำผู้ที่มีอาการป่วยนิดหน่อยมาอยู่รวมกัน เป็นการกักรวมคนจำนวนมาก ด้วยวิธีนี้ ทำให้จีนสกัดกั้นการแพร่ระบาดได้รวดเร็ว เพราะคนที่มีอาการนิดหน่อยนั้น แม้ไม่ถึงต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ก็เป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสได้อยู่แล้ว เหลือแค่ผู้ที่ไม่ป่วยจริงๆ เท่านั้นที่กักตัวเองที่บ้าน ป่วยนิดหน่อยก็ต้องมากักรวม...จะว่าบังคับก็ต้องบังคับ....

อ่านแล้วก็คิดว่า วิธีกักตัวเองที่บ้านที่รัฐบาลไทยกำลังให้ประชาชนทำอยู่นี้ เป็นการป้องกันการแพร่ระบาดได้แค่ไหน เพราะถ้าเป็นอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญจีน ว่า ก็เท่ากับว่า จะมีหลายครอบครัวคนไทยที่มีสมาชิกเป็นพาหะไวรัสอาศัยอยู่ในบ้านด้วย แล้วถ้าแยกตัวไม่ทัน ก็หมายความว่าสมาชิกในครอบครัวทุกคนก็มีโอกาสติดเชื้อ ทั้งๆ ที่กักตัวเองอยู่ในบ้าน ทั้งๆที่กินร้อน ช้อนใครช้อนมัน ไม่ใช้ของใช้ร่วมกัน แต่การรักษาระยะห่าง หรือ social distancing สองเมตรคงทำไม่ได้ตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะแก้ไขอย่างไร...

ภาพ ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร จากไทยโพสต์
ในเมื่อกระทรวงสาธารณสุขก็ป่าวร้องให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน เพราะผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนั้นก็มากมายจนเกินจะรับไหว อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ก็ไม่พอ และถ้าทุกคนอยู่ในบ้าน แต่กลับมีบางคนที่เป็นพาหะ แต่ไม่แสดงอาการปนอยู่ด้วย แล้วอะไรจะเกิดขึ้น

ภาวนาขอให้สิ่งที่ผมคิดไม่เกิดขึ้นจริง.....” (ข่าวจากไทยโพสต์)

แน่นอน, โพสต์ของ “ดร.เฉลิมพล” ถือว่า ให้บทเรียนอันล้ำค่า และรัฐบาล “ลุงตู่” น่าจะนำไปเป็นข้อพิจารณาทบทวน เพื่อหาทางแก้ไขช่องโหว่ตรงนี้ด้วย

เพราะอย่าลืม สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเวลานี้ คือ แรงงานพลัดถิ่นจำนวนมาก ที่เดินทางไปขายแรงงานทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ได้ทยอยเดินทางกลับบ้าน โดยที่ไม่มีอาการ และไม่รู้แน่ชัดว่า ผ่านการตรวจ “โควิด 19” มาแล้วหรือไม่ อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ ยังไม่มีอาการ และได้เข้ามาอยู่ร่วมกับครอบครัวและชุมชนเรียบร้อย

ที่สำคัญ คนในหมู่บ้านหลายคน และครอบครัวคนที่กลับมาจากกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดบางส่วน ก็ไม่ได้ป้องกันตัวเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยด้วย รวมทั้งการพบปะสังสรรค์เพื่อนบ้าน ก็ยังทำเป็นปกติวิสัย ซึ่งสังคมไทยคงบังคับกันยากในเรื่องนี้

นี่คือ ความน่ากลัว จากบทเรียนในจีน และถ้าหากไทย เจริญรอยตามในสิ่งที่ผิดพลาดดังกล่าว ก็ได้แต่ภาวนาว่า ทุกคน ทุกฝ่าย รวมถึงรัฐบาลจะไหวตัวทัน หรือมีมาตรการรองรับที่ดี เหมือนอย่างที่จีนทำสำเร็จ

แต่เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ นอกจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอง ก็เจอศึกหลายด้านทางการเมือง ไม่เหมือนรัฐบาลจีนที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สามารถบังคับประชาชนให้เดินไปในทางเดียวกันได้ หรือ รัฐบาลว่าอย่างไร ประชาชนต้องทำตาม ซึ่งต่างกับไทย ฟ้ากับเหว

อย่างนี้แล้ว คนไทยต้องช่วยตัวเอง และช่วยกันเองให้มากกว่านี้ และนอกจากจะระวังป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว ก็ต้องระวังป้องกันชุมชนที่อยู่ร่วมกัน และสังคมไทยด้วย เราจึงจะก้าวพ้น โควิด-19 ไปได้

ส่วนบทเรียนจากความผิดพลาด ก็น่าจะเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดี ที่เราจะต้องศึกษา และนำมาแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น โดยไม่ดูเบาปัญหาเป็นอันขาด เท่านี้ก็นับว่า ช่วยได้มากแล้ว!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น