เพื่อไทยคาดพิษ “โควิด-19” ทำไทยเสียหายแล้วนับแสนล้าน แนะรัฐออก “สินเชื่อดอกเบี้ยติดลบ” ประคองจ้างงานภาคท่องเที่ยวฝ่าวิกฤตไวรัสระบาด เตือนไม่ขยับมีคนตกงานจากภาคท่องเที่ยวมหาศาล ห่วงกระทบกำลังซื้อ-ธุรกิจนอกภาคท่องเที่ยว
วันนี้ (17 ก.พ.) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจของการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า ประเมินว่าความเสียหายในขณะนี้อยู่ในระดับแสนล้านบาท ตัวเลขนี้เป็นเพียงผลกระทบระลอกแรก จากรายได้ที่ประเทศควรจะได้รับ แต่หายไป ยังไม่รวมถึงผลกระทบระลอกที่ 2 ซึ่งจะรุกลามไปถึงห่วงโซ่การผลิต และการตกงานของแรงงานภาคท่องเที่ยว ส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อ ต่อเนื่องถึงธุรกิจนอกภาคท่องเที่ยวด้วย
“โรคระบาดเป็นปัญหาระยะสั้นที่รุนแรง แต่ไม่ใช่ปัญหายืดเยื้อเชิงโครงสร้าง การแก้ปัญหาจึงควรเป็นการหยุดเลือดที่รวดเร็ว” นายเผ่าภูมิระบุ
นายเผ่าภูมิยังได้เสนอแนวทางการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยว่า การหยุดเลือดนี้ควรทำในลักษณะ 2 ขา คือ ขาที่ 1 คือ ทำให้เอกชนภาคท่องเที่ยวประคองตัวให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ ซึ่งคาดว่าไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งมาตรการที่รัฐบาลออกมาก็พอสมควร เช่น การพักชำระหนี้ หรือการปรับลดภาษีน้ำมันเครื่องบิน เป็นต้น และขาที่ 2 คือ การป้องกันการเลิกจ้างงานในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งการตกงานจะเกิดขึ้นรวดเร็ว กะทันหัน และกระจายไปในวงกว้างแล้ว เรื่องนี้อันตราย เพราะจะลามไปถึงกำลังซื้อ และลามต่อไปสู่นอกภาคการท่องเที่ยวด้วย
“ขาที่ 2 นี้ผมมองว่ารัฐบาลยังไม่ได้ทำ มาตรการที่ได้ผลในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเดนมาร์ก ได้แก่ สินเชื่อดอกเบี้ยติดลบ ในช่วงวิกฤต โดยใช้กลไกธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ” รองเลขาฯ พรรคเพื่อไทยกล่าว
นายเผ่าภูมิกล่าวต่อว่า ส่วนตัวมองไปที่ “สินเชื่อดอกเบี้ยติดลบเพื่อประคองการจ้างงานภาคการท่องเที่ยว” ดอกเบี้ยติดลบ -0.5% ผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่มีสายป่านสั้น แต่ธุรกิจในระยะยาวยังดีอยู่ มีแรงจูงใจที่จะชะลอการเลิกจ้างงานออกไป เพราะการระบาดนี้เป็นเรื่องชั่วคราว สินเชื่อนี้ควรใช้เพื่อการจ้างงานเท่านั้น เพื่อหยุดเลือดไม่ให้ตกงานเพิ่ม ให้ผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปก่อนกลับสู่สถานการณ์ปกติ โดยรัฐบาลสนับสนุนส่วนต่างดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยรัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้คนตกงานมากกว่านี้ เพราะเกี่ยวกับกำลังซื้อซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจประเทศ