“หมอวรงค์” ฟันธง “อยู่.ไม่.เป็น.” ของฮ่องเต้ซินโดรม “ธนาธร”
ดิ้นหนีตายต่อรองศาลรัฐธรรมนูญ #อยู่ไม่เป็นก็ไม่ต้องอยู่
วันนี้(11 พ.ย.) เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ หัวข้อ ฮ่องเต้ซินโดรมดิ้นครั้งสุดท้าย
โดยระบุว่า เป็นที่แน่นอนว่า อยู่.ไม่.เป็น ก็คือการจัดระดมมวลชน เพื่อต่อรองผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ หลังจากที่ขึ้นศาลคดีถือหุ้น แต่ตอบได้คำเดียวว่า จำ.ไม่.ได้.
การนัดรวมพล จึงเป็นการดิ้นครั้งสุดท้าย เพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่มาอ้างเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า แม้ในพรรคตนเองก็ยังมีปัญหา ดังนั้นควรคิดเปลี่ยนแปลงพรรคตนเอง ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ
สิ่งที่ต้องช่วยกันระมัดระวังคือ การใช้ความรุนแรง เพราะเสื้อยืดสีสัญลักษณ์ เป็นสิ่งที่ อยู่.ไม่.เป็น. เอากระแสมาจากม็อบชังชาติของฮ่องกง มาสร้างกระแสร่วม หวังให้ฝรั่งเข้ามาช่วย ดังนั้นผู้มีอำนาจหน้าที่ ต้องเรียนรู้ประสบการณ์จากชายชุดดำในอดีต
#อยู่ไม่เป็นก็ไม่ต้องอยู่
#ตอกย้ำฮ่องเต้ซินโดรม
ที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ คำว่า ฮ่องเต้ซินโดรม คำนี้มีที่มาจาก กรณีพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) บรรยายพิเศษเรื่อง แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง ช่วงหนึ่งกล่าวตั้งคำถามว่า สังคมจะเชื่อนักธุรกิจ ที่ชีวิตเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทอง ชีวิตไม่เคยลำบากเหมือน ฮ่องเต้ซินโดรม นั้นหรือ...
ส่วน คำว่า ฮ่องเต้ซินโดรม (Little emperor syndrome) ข้อมูลจากวิกิพีเดีย พอจะสรุปได้ว่า มาจากพฤติกรรมของการเลี้ยงดูลูกในประเทศจีน ที่มีนโยบายลูกคนเดียว จำกัดให้มีบุตรบ้านละ 1 คน ส่งผลให้เด็กนั้นได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่และครอบครัวอย่างตามอกตามใจมากเกินไป พ่อแม่หาทุกอย่างมาให้ลูกเพื่อทดแทนในสิ่งที่ตัวเองสูญเสียไป มีผลข้างเคียงให้เด็กมีความเอาแต่ใจ ไม่สามารถรับมือกับความผิดหวัง ไม่มีความอดทนและระเบียบวินัย...
และกรณีธนาธรตอบการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญว่าจำ.ไม่.ได้. ตามที่นพ.วรงค์กล่าวถึงนั้น
สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 18 ต.ค.62 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยความเป็นส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หรือไม่
โดยศาลเริ่มต้นอธิบายถึงการไต่สวนพยานทั้ง 10 ปาก ว่า ต้องการทราบว่า การโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธรให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (มารดา) เกิดขึ้นในวันที่ 8 ม.ค.62 ตามที่นายธนาธรอ้างเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้หรือไม่ โดยพยานทั้ง 10 ปาก เป็นทั้งพยานที่รู้เห็นคือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ กับพยานที่เกี่ยวข้องคือพยานที่จะไปดำเนินการต่อหลังการโอนหุ้น
จากนั้นศาลได้เบิกตัวนายธนาธรขึ้นเป็นพยานปากแรก โดยศาลได้ซักในเรื่องของการเปลี่ยนชื่อบริษัท การประกอบธุรกิจสื่อของบริษัท วี-ลัค มีเดีย และถ้าจะเลิกบริษัทต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ ซึ่งนายธนาธร ชี้แจงว่า มีการโอนหุ้น 675,000 หุ้นให้กับนางสมพรวันที่ 8 ม.ค. 62 โดยก่อนจะชื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย เคยใช้ชื่อบริษัท โซอิด ส่วนจะถือว่าบริษัทประกอบกิจการสื่อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตีความ แต่ยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปบริหารหรือทำธุรกรรมใดๆ เป็นเพียงผู้ถือหุ้น และหลังจดทะเบียนตั้งบริษัทแล้ว การดำเนินธุรกิจซึ่งต้องอนุญาตตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ ก็เป็นเรื่องที่กรรมการบริหารจะจัดการ ตนไม่เคยเข้าไปรู้เห็นเกี่ยวข้องเลย
ตนเพิ่งเข้ามาในระหว่างทางคือช่วง 4-5 ปี เนื่องจากหลังแต่งงาน มารดาอยากให้ลูกหลานและสะใภ้มีงานทำ โดยนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยาของตนซึ่งเคยลาออกจากงานในธนาคารมาเลี้ยงลูก เมื่อลูกเติบโตขึ้นทำให้ภรรยาของตนว่างงาน นางสมพรชวนให้เข้ามาบริหารบริษัท วี-ลัค มีเดีย จึงเป็นที่มาของการซื้อหุ้น ส่วนหลังเลิกกิจการวี-ลัค มีเดียแล้วต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานการพิมพ์นั้น ตนไม่ทราบหลักการ และไม่เคยยุ่งกับกิจการบริษัทนี้
ศาลซักถามถึงเหตุผลในการกำหนดให้วันที่ 8 ม.ค. 2562 เป็นวันโอนหุ้นทั้งที่ในวันดังกล่าวมีภารกิจหาเสียงใน จ.บุรีรัมย์ นายธนาธรกล่าวว่า วันดังกล่าวไม่ใช่เป็นวันพิเศษอะไร ครอบครัวของตนมีบริษัทจำนวนมาก พอสนใจที่จะเข้ามาทำงานการเมืองจึงลาออกจากทุกตำแหน่งในภาคธุรกิจเริ่มตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า จำไม่ได้จริงๆ ว่ามีตารางนัดลงพื้นที่หาเสียงก่อน หรือนัดเซ็นโอนหุ้นก่อน แต่ตนมีปฏิทินการทำงานว่าช่วงใดจะลงพื้นที่ภาคใด และโดยปกติตนสามารถทำงาน 2 อย่างได้ภายในวันเดียวกัน ตอนทำงานในภาคธุรกิจทำงานหนักกว่านี้
ทั้งนี้ ในการเดินทางไปหาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์แล้ว ต้องกลับมาเซ็นโอนหุ้นที่กรุงเทพฯ เดิมตนวางแผนจะนั่งเครื่องกลับจาก จ.อุบลราชธานี แต่เวลาที่ใช้ในการเดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ ไป จ.อุบลฯ ต้องใช้เวลาถึง 2 ชม. เมื่อรวมกับเวลานั่งเครื่องบิน จึงเห็นว่าใช้เวลาไม่ต่างจากการขับรถกลับบ้านโดยตรง อีกทั้งตนเป็นคนที่หลับง่ายในรถยนต์ เมื่อขึ้นรถแล้วหลับเลย หากต้องขึ้นเครื่องบินจะต้องพบเจอและทักทายผู้คน อาจทำให้ไม่ได้พักผ่อน และไม่เป็นส่วนตัว ตนจึงยอมนั่งรถดีกว่า
โดยออกจาก จ.บุรีรัมย์ในเวลา 11.00 น. และนั่งรถยนต์มากับนายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถเพียง 2 คน ไม่มีพยานอื่นๆ เดินทางกลับมาด้วย โดยตนหลับมาตลอดทาง ระหว่างการเดินทางไม่ได้โทรศัพท์พูดคุยหรือติดต่อกับใครเลย เพราะได้นัดหมายกับทนายความไว้แล้วในเวลา 17.00 น. โดยเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ประจำ คือ หมายเลข 08-1822-xxxx ทั้งนี้ ระหว่างที่อยู่ใน จ.บุรีรัมย์ ได้ใช้โทรศัพท์คุยกับใครบ้างหรือไม่นั้น ตนจำไม่ได้
นายธนาธรยอมรับว่า ระหว่างการเดินทางมีข้อเท็จจริง 2 จุด คือ รถยนต์ฮุนได หมายเลขทะเบียน 8839 ถูกจับความเร็วที่นางรอง และ อ.คลองหลวง ก่อนจะถึงบ้านพักเลคไซด์วิลล่า จุดนัดทำสัญญาโอนหุ้นวีลัค มีเดีย ในเวลา 16.00 น. เมื่อตนกลับถึงบ้านก่อนเวลานัด จึงได้ไปทักทายภรรยาและทนายความ รอจนถึงเวลานัด 17.00 น. เมื่อนางสมพร นางลาวัลย์ จันทร์เกษม นางกานต์ฐิตา อ่วมขำ และนายณัฐนนท์ อภินันท์ ทนายความ เดินทางมาถึงแล้วจึงเซ็นโอนหุ้น โดยตนรับรู้เฉพาะส่วนของการเซ็นโอนหุ้นเท่านั้น ตัวพยานไม่แน่ใจว่าแม่หรือทนายความเป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการ หลังจากการเซ็นโอนหุ้นยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอีกเลยจนสมัครรับเลือกตั้ง
ศาลซักถามถึงเงินที่ได้รับจากการโอนขายหุ้นวี-ลัค มีเดีย ว่ามีการนำเช็คกว่า 6 ล้านบาทไปขึ้นเงินอย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า จำไม่ได้ แม้จะเป็นเช็คที่มีมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นเช็คใบไหน เซ็นวันไหน เพราะตนมอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้จัดการเรื่องการเงินของครอบครัวทั้งหมด และไม่แน่ใจว่าแม่และภรรยาของตนจะไปส่งมอบเช็คกันอย่างไร จะเข้าบัญชีวันไหน แม้แต่เช็คที่ตนได้รับจากการไปร่วมสัมมนาก็มอบให้ภรรยาจัดการ ตนไม่เคยจับแม้แต่สมุดบัญชี
ส่วนประเด็นที่ถูกซักถามว่าเหตุใดโอนขายหุ้นในเดือนมกราคมแล้วจึงนำเช็คไปขึ้นเงินในเดือนพฤษภาคม ตนไม่เคยถามและไม่เคยรู้ อาจเป็นเพราะครอบครัวของตนไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน บางทีเช็คก็ติดเสื้อส่งไปซักแห้งก็ส่งกลับมา เรื่องการนำเช็คไปขึ้นเงินช้าเป็นเรื่องที่ภรรยาจะไปจัดการ
ศาลซักถามว่า ขณะที่ได้รับหุ้นวีลัค-มีเดีย 675,000 หุ้นในปี 51 ซื้อมาหรือได้มาโดยเสน่หา นายธนาธรกล่าวว่า ตนซื้อมาในราคาพาร์ แต่จำไม่ได้ว่าซื้อจากใคร อาจจะเป็นการซื้อหุ้นจากนางสมพร และจำไม่ได้ว่าหลังซื้อหุ้นมาแล้วได้ไปจดแจ้งที่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทหรือไม่
ส่วนการนัดโอนหุ้นในวันที่ 8 ม.ค. 62 นั้น มีการนัดหมายล่วงหน้านานเท่าไร ตนจำไม่ได้ โดยเมื่อตัดสินใจเข้าทำงานทางการเมืองในช่วงปลายปี 60 ตนได้ลาออกจากทุกตำแหน่ง ต้นปี 61 ในเดือน ม.ค.62 ยังไม่มีใครรู้ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นวันไหน โดย พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ประกาศในช่วงปลายเดือน ม.ค. ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมวันไหนเราก็นัดวันนั้น...(จากผู้จัดการออนไลน์)
ต้องยอมรับว่า การตอบคำถามศาลรัฐธรรมนูญของ “ธนาธร” มีคำว่า ไม่รู้ จำไม่ได้ อยู่หลายคำถาม สอดคล้องกับที่ “หมอวรงค์” หยิบยกเอามาชี้ให้เห็น เพียงแต่ว่า จะเป็นคำตอบที่ศาลให้น้ำหนักหรือไม่เท่านั้น
ที่น่าสนใจ ก็คือ นพ.วรงค์ เชื่อว่า การออกมาเดินเกม อยู่.ไม่.เป็น. ของ นายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่ ก็เพื่อเคลื่อนไหวต่อรอง การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่นัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 20 พ.ย.62 อันเป็นการดิ้นหนีตายครั้งสุดท้าย และเชื่อว่าไม่รอดแน่ เพราะคำตอบที่มีให้ศาลฯคือ จำ.ไม่.ได้. #อยู่ไม่เป็นก็ไม่ต้องอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อ วันที่ 10 พ.ย. 2562 เพจเฟซบุ๊ก “พรรคอนาคตใหม่ - Future Forward Party” ได้โพสต์ข้อความ พร้อมกราฟฟิกเรื่อง “รวมพลคนอยู่ไม่เป็น” ความว่า
“หากนำเลือดของชาวอนาคตใหม่ไปตรวจ Deoxyribonucleic Acid (DNA) เราอาจพบยีนส์ความ “อยู่ไม่เป็น” ฝังอยู่ใน DNA ของพวกเราก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอเชิญชวนทุกท่าน มาร่วมงานรวมพลคนอยู่ไม่เป็นไปพร้อมกัน 16 พ.ย.นี้ JJ Mall ชั้น 6 ห้องกำแพงเพชร 12.00 น. เป็นต้นไป
เดินตรง 6 นาทีจาก MRT กำแพงเพชร https://g.page/JJMall-Chatuchak?share”
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงนับว่าน่าจับตามองวันที่ 16 พ.ย. การรวมพล คน อยู่.ไม่.เป็น. จะร้อนแรงที่สุดในพ.ศ.นี้หรือไม่ ต่อรองศาลรัฐธรรมนูญจริง หรือว่าอย่างไร ก็ล้วนกระพริบตาไม่ได้ทั้งสิ้น