“จุรินทร์” เผย สินค้าไทยถูกตัดจีเอสพี ทำให้มีภาระภาษีเพิ่ม 1.5-1.8 พันล้านบาท แต่ยังมีช่องทางเจรจาให้สหรัฐฯ ทบทวน พร้อมหาทางแก้ระยุยาว บุก 10 กลุ่มตลาดใหญ่ ทั้งยุโรป ตะวันออกลาง อินเดีย จีน พร้อมลงลึกถึงแต่ละรัฐของอเมริกา เชื่อสินค้าไทยสู้ได้แม้ถูกสิทธิพิเศษทางภาษี
วันนี้ (29 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ
รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์หลังประชุม ครม.เศรษฐกิจ กรณีที่ทางการสหรัฐอเมริกามีคำสั่งให้ระงับสิทธิพิเศษทางพิกัดอัตราภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับไทย ว่า เบื้องต้นหากมีการตัดสิทธิทางภาษี จะส่งผลให้สินค้าที่ส่งไปขายที่สหรัฐฯ มีภาระภาษีประมาณ 1,500-1,800 ล้านบาท แต่เรื่องดังกล่าวจะมีผลเดือน เม.ย. 2563 ดังนั้น เรายังมีช่องทางที่จะขอให้สหรัฐฯ ทบทวน และก่อนหน้านี้ ได้แจ้งให้ทูตพาณิชย์ประสานกับทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หารือกับสำนักงานคณะผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (ยูเอสทีอาร์) ถึงรายละเอียดต่างๆ คาดว่า จะได้รับคำตอบกลับมาว่าจะต้องทำอย่างไรในเร็วๆ นี้
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ หาช่องทางยื่นเรื่องให้สหรัฐฯ ทบทวนในเรื่องนี้ ส่วนทางออกระยะยาวทางกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมการให้กรรมการร่วมกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมผู้ส่งสินค้าออกทางเรือ เตรียมการบุกตลาดต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก โดยจะร่วมกับภาคเอกชน เร่งรัดบุกตลาดใน 10 กลุ่มตลาดใหญ่ ที่จะมีทั้งสหรัฐฯ จีน อินเดีย แอฟริกาใต้ เอเชียใต้ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น เกาหลี ตุรกี เยอรมนี สหภาพยุโรป รวมถึงประเทศอังกฤษ โดยแผนงานที่เร็วสุดจะนำทีมเอกชนและกระทรวงพาณิชย์ไปเปิดตลาดที่ตุรกี และ ประเทศเยอรมนี จากนั้นจะไปตะวันออกกลาง สำหรับประเทศที่มีประชากรมาก เช่น อินเดีย จีน สหรัฐฯ จะลงไปรายมณฑลหรือรายรัฐ โดยเฉพาะสหรัฐฯ จะเจาะลึกไปในแต่ละรัฐที่ต้องการสินค้าแตกต่างกัน ซึ่งมีศักยภาพสามารถนำเข้าสินค้าของไทยได้ แม้ว่าเราจะไม่ได้รับสิทธิจีเอสพี
เมื่อถามว่า จะเจรจากับทางสหรัฐฯ ในเรื่องใดบ้าง นายสุรินทร์ กล่าวว่า เราต้องเจรจาให้เข้าใจว่าบางเรื่องเราทำได้หรือไม่ เช่น การเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวตั้งสหภาพแรงงานในประเทศไทย ทางกระทรวงแรงงานจะไปชี้แจงว่า สามารถทำได้หรือไม่ รวมถึงข้อเสนออื่นที่แต่ละกระทรวง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทำความเข้าใจว่าสิ่งใดทำได้หรือเหมาะไม่เหมาะสมอย่างไร