“สนธิ” ชี้ “สังคมก้มหน้า” คนสื่อสารกันด้วยอิโมจิแบบเรียลไทม์ ความเป็นมนุษย์ถดถอยลงจนไม่มีแล้ว และกำลังจะเป็นสังคมหุ่นยนต์ อีกหน่อยพ่อแม่คงใช้ไลน์สั่งเสียลูกก่อนตาย เตือนเสพติดเทคโนโลยีโดยไม่ใช้สมองเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ชี้ชีวิตที่ดีขึ้นไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน
นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ในรูปแบบผู้เฒ่าเล่าเรื่อง วันศุกร์ที่ 18 ต.ค. 62 เล่าเรื่อง “สังคมก้มหน้า” ทำลายสัมพันธ์ในครอบครัวจริงหรือ? การใช้ชีวิตภายใต้สังคม Emoji ต้องทำอย่างไร MGR Online นำรายละเอียดให้ได้ติดตามแบบเต็มๆ
“สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ก็เป็นปกติธรรมดาที่ผมจะมาไลฟ์เฟซบุ๊ก นอกจากวันศุกร์นี้แล้ว ในอนาคตเราก็จะพยายามที่จะมีกลางอาทิตย์สักครั้งหนึ่ง ปลายอาทิตย์วันศุกร์สักครั้งหนึ่ง เพราะว่ามันมีเรื่องหลายเรื่องที่เราต้องพูด และเราไม่มีโอกาสได้พูด
ช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยได้โพสต์ความเห็นอะไรมากมายนัก เนื่องจากว่ายังไม่มีโอกาสหรือประเด็นอะไรที่น่าจะโพสต์ ก่อนอื่น ถ้าท่านผู้ชมสนใจรายการนี้ก็ช่วยกดไลก์เข้ามาหน่อยนะครับ และช่วยบอกพรรคพวกให้ฟอลโลว์และแชร์เรื่องราวต่างๆ ที่ผมจะพูดออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ก่อนที่เราจะดำเนินการต่อไปในเรื่องของสังคมก้มหน้า หรือที่ผมเรียกว่ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางยุคอีโมจิ (Emoji) ก็อยากจะขอประชาสัมพันธ์เรื่องการไปทอดกฐินกันเล็กน้อย วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ผมและสถานีโทรทัศน์ News1 ขอเชิญร่วมทำบุญทอดกฐินสามัคคี เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรสืบไป เราจะไปทอดถวาย ณ วัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน บ้านกกบก ต.หนองงิ้ว อ.วังสะพุง จ.เลย สามารถที่จะร่วมทำบุญได้ ติดต่อไปที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ News1 โทรศัพท์ปรากฏอยู่แล้ว 0-2629-2948 และ 09-5586-4741 กำหนดการก็ง่ายๆ ครับ วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562 เวลา 07.00 น. ตอนเช้าพระสงฆ์จะออกรับบิณฑบาต เราก็ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ เวลา 10.00 น. ทอดถวายกฐินสามัคคี เป็นประเพณีทางพระพุทธศาสนาซึ่งสืบทอดต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน
ก่อนที่จะเข้ารายการ ก็ต้องเรียนให้ทราบว่า ดีใจด้วยที่ท่านผู้ชมหลายๆ ท่าน และทุกๆ ท่านที่เข้ามาร่วมรับฟังรายการนี้ เห็นด้วยกับการเราควรจะห้ามไม่ให้ใช้สารพิษ 4 ประเภท หรือจะอีกกี่ประเภทก็ตาม ถ้าเป็นสารพิษ ควรจะเป็นสารที่มีการทดแทนได้ และผลก็ออกมาในทิศทางบวก คาดว่าคงไม่เกินสิ้นเดือนนี้เรื่องน่าจะจบได้ตามที่ท่านรัฐมนตรีช่วยฯ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ท่านบอกว่าจะต้องแบน เป็นของขวัญให้กับประชาชนคนไทยภายในวันที่ 1 ธันวาคม ก็น่าจะเป็นจริงได้ แต่ถ้ายังถูกขวางโดยคณะกรรมการวัตถุสารพิษอีกเหมือนเดิม ผมก็คิดว่าประเทศไทย พวกเราคงอยู่ไม่ได้แล้ว ในขณะนี้ และท่านนายกฯ เองท่านต้องมีคำตอบต่อประชาชนคนไทย
แล้วก็เป็นเรื่องที่ตลกขบขันมากในเรื่องนี้ ที่มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ขายสารพิษเข้ามาร่วมต่อต้านการแบนสารพิษ รวมทั้งอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ระดับด็อกเตอร์คนหนึ่งซึ่งออกมาพยายามใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พูดให้คนงงและสับสนว่าการแบนสารพิษนั้นไม่ถูกต้อง เช็กไปเช็กมา อาจารย์คนนี้ก็เป็นตัวแทนของหน่วยงานของฝรั่งที่เกี่ยวพันกับในเรื่องของการเกษตรที่ส่งเสริมให้คนไทยใช้ข้าวของที่เป็นอันตราย แต่ว่าทำให้เขาขายได้ ก็เอาเป็นว่า รู้ๆ กันต่อไปก็แล้วกัน
จากนี้ไปผมเตรียมตัวที่จะพูดเรื่องฮ่องกงและจีนในอนาคตอันใกล้ๆ นี้ 1-2 อาทิตย์นี้คงจะสมหวังกันแล้วสำหรับคนที่รอมานานแล้ว เรื่องฮ่องกงกับจีน แล้วก็อาจจะมีแทรกกลางอาทิตย์เรื่องสงครามตะวันออกกลาง ระหว่างอิหร่าน กับซาอุดีอาระเบีย และจะเสริมด้วยสงครามการค้าระหว่างไทยกับจีน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อน ถ้าเราเข้าใจภาพรวมทั้งหมดเหมือนอย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบมาตั้งนมตั้งนานแล้วว่า ทั้งหมดนี้ถ้าเราเข้าใจป่าทั้งป่าว่าเป็นอย่างไร ต้นไม้แต่ละต้นที่เกิดขึ้น หรือเราไปมองที่ต้นไม้แต่ละต้น เราแทบจะไม่ต้องมองเลย เพราะเราเข้าใจป่าทั้งป่าแล้ว แล้วท่านผู้ชมจะประหลาดใจว่าเหตุผลและหลักฐานที่ผมมีในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างไทยกับจีนนั้น มันเป็นเหตุผลที่บางครั้งที่ท่านผู้ชมที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ หรือไม่ได้ศึกษารายละเอียด หรือไม่ได้คำนวณดูว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเพราะอะไร จะงงและอึ้ง ว่าอ๋อ ที่แท้จริงแล้วสงครามการค้านี้มันเป็นสงครามต่อเนื่องที่อเมริกาต้องการรบกับจีน หลังจากที่สงครามในการจำกัดพื้นที่แต่ละพื้นที่ อเมริกาแพ้มาตลอด ไม่ได้แพ้เฉพาะจีนนะ แพ้รัสเซีย แพ้เกาหลีเหนือ แพ้กลุ่มต่างๆ ที่เขารวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อต่อต้านอิทธิพลและอำนาจของอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อท่านฟังแล้ว ผมเชื่อว่าท่านผู้ชมจะได้องค์ความรู้เพิ่มเติม เอาไปพิจารณาและคิดดูว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นถูกหรือผิด
ท่านผู้ชมครับ วันนี้พวกเราอยู่ที่บ้าน เจอลูกหลาน หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง ผมเดินทางไปตามที่ต่างๆ ผมไม่เคยเห็นบริบทที่ผมเห็นนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนอย่างมากมายมหาศาล เดี๋ยวนี้คนต้องถือมือถือกันแล้วก็มานั่งไล่มือถือ เลื่อนไปเลื่อนมาๆๆ ไม่มีใครสนใจใครเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรอเครื่องบิน สมัยก่อนเวลานั่งรอเครื่องบินในห้องพักผู้โดยสาร เราจะมีหนังสือคนละเล่มแล้วก็เปิดอ่านกัน บางคนไม่มีหนังสือก็นั่งคุยกัน บางคนไม่มีเรื่องที่จะคุยกันก็เดินดูร้านค้าที่ขายของที่ระลึก แต่เดี๋ยวนี้ถ้าท่านผู้ชมเดินไปที่สถานีรถไฟ หรือสถานีขนส่ง หรือท่าอากาศยาน อะไรก็ตามที่เป็นศูนย์รวมของประชาชนที่กำลังรอ จะเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างจะเงียบสงบ ไม่มีใครสนใจใครเลย ทุกคนจะจ้องเอาเฉพาะเรื่องของตัวเองเท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นจะพูดได้ไหมว่าเดี๋ยวนี้สังคมก้มหน้า มันเป็นสังคมส่วนบุคคลจริงๆ มันทำให้คนไทยเดี๋ยวนี้ไม่สนใจเพื่อน ไม่สนใจพี่น้อง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สนใจอยู่อย่างเดียว อะไรที่้ปรากฏอยู่หน้าจอมือถือนั้น เป็นสิ่งที่เขาสนใจ สนใจข่าวที่ปรากฏขึ้นมา หรือสนใจคลิปวิดีโอต่างๆ ที่มันดูแปลกประหลาด หรือสนใจเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นประโยชน์หรือให้ความบันเทิงแก่จิตใจเขา
เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ก่อนที่เราจะเดินก้าวเข้าไปลึกกว่านี้อีกนิดหนึ่ง มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตามผมมานิดหนึ่ง
ถ้าเราย้อนหลังเวลาไป ไม่ต้องนาน แค่ 20-30 ปีที่แล้ว เราจะเห็นว่าการสื่อสารโดยระบบเทคโนโลยีต่างๆ ที่มันพัฒนามา แล้วมันทำให้ระยะทางห่างไกลของการสื่อสารซึ่งกันและกันมันค่อยๆ แคบลง สั้นขึ้นๆๆ สมัยก่อนนั้นคนเราติดต่อกันด้วยจดหมาย จดหมาย 1 ฉบับ ถ้าเราส่งจดหมาย หรือนักธุรกิจคนหนึ่งส่งสัญญาตัวหนึ่ง หรือส่งข้อความ ข้อมูลหนึ่ง ไปที่ประเทศคู่ค้า หรืออย่างเช่นประเทศสหรัฐอเมริกา เส้นทางเดินไปและกลับต้องใช้เวลา 20 วัน ท่านผู้ชมจำไว้นะ 20 วัน พอต่อมามันก็มีแฟกซ์ เครื่องแฟกซ์ เครื่องแฟกซ์นั้นสามารถย่นระยะเวลาของการที่จะส่งของจากผู้ส่ง หรือที่เรียกว่า sender ไปยังผู้รับ receiver ในเวลา 20 วัน ให้ย่อเวลาลงมาเหลือไม่เกิน 10 นาที ระหว่าง 5-10 นาที ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่เราต้องการจะส่ง นั่นก็คือ ใส่แฟกซ์ส่งไป พอผ่านเรื่องแฟกซ์ไป ก็กลายเป็นเทคโนโลยีทางอินเทอร์เน็ต นั่นก็คืออีเมล สามารถจะพิมพ์อีเมลและ attach file เข้าไป เป็น PDF ก็ได้ หรือเป็นอะไรก็ได้ แล้วก็กด enter ผมเชื่อว่าไม่เกิน 3 นาที อย่างมาก อีกฝั่งหนึ่งก็จะได้รับ ถึงแม้จะอยู่ไกลถึงสหรัฐอเมริกา ก็จะประมาณนั้น
พอหมดจากอีเมลแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตอนนี้กลายเป็นแอปฯ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น WhatsApp ไม่ว่าจะเป็น WeChat ไม่ว่าจะเป็นไลน์ (LINE) ของต่างๆ พวกนี้สามารถที่จะนำส่งการสื่อสารของคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ในระยะเวลาที่ถูกพัฒนามาจนกระทั่งเป็นเรียลไทม์ เรียลไทม์ก็คือทันทีทันใด สามารถส่งได้ทันที
ท่านผู้ชมครับ สปีด (speed) กาลเวลา ที่เปลี่ยนจาก 20 วันของการส่งจดหมาย มาจนกระทั่งถึงวันนี้ คือเรียลไทม์ มันเปลี่ยนโลกไปเยอะมาก แล้วมันเปลี่ยนไปได้อย่างไรในขณะนี้ มันไม่ได้เปลี่ยนแค่โลก มันเปลี่ยนสังคม มันเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม มันเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน มันเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก แม่กับลูก ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง
สมัยก่อน เวลาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งอยู่ในระดับสูง จะเป็นหน่วยงานราชการ หรือจะเป็นผู้อำนวยการฝ่าย หรือจะเป็นกรรมการผู้จัดการ เวลาต้องการที่จะชี้แจงนโยบาย หรือออกคำสั่งอะไร ก็จะเรียกประชุม เอาล่ะ ช่วยเรียกผู้จัดการฝ่ายขายเข้ามาหน่อย ช่วยเรียกผู้จัดการฝ่ายการเงินเข้ามาหน่อย ช่วยเรียกผู้จัดการฝ่ายการตลาดเข้ามาหน่อย แล้วก็ประชุมกันว่าจากนี้ไปผมคิดว่านโยบายน่าจะเป็นอย่างนี้่ๆๆ นะ พวกคุณรับไปทำกัน ทุกคนรับทราบออกมา ก็ไปเรียกประชุมในหน่วยงานของตัวเอง ฝ่ายตัวเอง เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ใช่มีแค่ไลน์ส่วนบุคคลระหว่างนาย ก. กับนาย ข. แต่กลายเป็นไลน์กรุ๊ป (LINE Group) ไลน์กรุ๊ปก็จะมีหลายกรุ๊ป กรมพัฒนาชุมชนก็จะมีไลน์กรุ๊ปของตัวเอง อธิบดีก็จะมีไลน์กรุ๊ปของอธิบดี ผู้อำนวยการส่วนทุกคน พอสั่งอะไรไปปั๊บ ก็พิมพ์เข้าไป แล้วก็กด ก็เข้าไปถึงมือทุกคน บางคนได้คำสั่งในระหว่างที่นอนหลับอยู่ พอตื่นมาตอนเช้า อ้าว เจ้านายสั่งแบบนี้มาแล้ว
เพราะฉะนั้นแล้ว เทคโนโลยีตรงนี้มันมีผลกับพวกเราอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากความเร็วในระดับเรียลไทม์แล้ว มันยังมีตัวเสริมเข้ามาอีกตัวหนึ่ง คือสังคมอีโมจิ (Emoji) ที่เป็นรูปคนยิ้มกว้าง เป็นรูปยิ้มแล้วก็มีจูบ ส่งจูบออกไป หรือมีคนหน้าบึ้ง มีคนหัวเราะน้ำตาไหลออกมา หรือว่ามีสาธุ หรือมีรูปหัวใจที่แสดงความรักความใคร่ ของพวกนี้ฟังดูแล้วมันเหมือนเป็นตัวเสริม แต่มันไม่ใช่แค่ตัวเสริมนะ มันเป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลมาก ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เปลี่ยนไปเยอะ และตรงนี้ต่างหากที่วันนี้จะเป็นหัวข้อหลักในการที่ผมจะพูด
ท่านผู้ชมที่เคยติดตามเรื่องราวของผม สมัยก่อนผมเล่าให้ฟังว่า ผมเคยจีบผู้หญิงคนหนึ่ง นานมาแล้ว สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ชั้น ม.7 ม.8 หรือ ม.5 ม.6 ในยุคนี้ ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา แล้วสุภาพสตรี ผู้หญิงคนนั้น ก็จีบกันด้วยการเขียนจดหมาย แล้วกว่าจะได้พบกันก็ต้องรอตอนปิดเทอม พอปิดเทอมแล้วก็นัดไปดูหนังกันที่โรงหนังเฉลิมชัย ระหว่างที่ไปดูหนังที่โรงหนังเฉลิมชัยนั้น เราต้องพาเพื่อนเราไป 5 คน เขาก็พาเพื่อนเขามา 5 คน ซื้อตั๋วกัน 11-12 คน อยู่ตรงแถวๆ หนึ่ง แล้วเขาก็ให้เราสองคน ผมกับสุภาพสตรีผู้นั้นนั่งติดกัน ท่านผู้ชมเคยจำคำพูดผมได้ไหม แค่เอามือวางบนพนักของเก้าอี้ดูหนัง แล้วมือของคุณต้อย สุภาพสตรีคนนั้น เขาก็วางข้างๆ มือผม แค่นิ้วก้อยกับนิ้วก้อยชนกัน มันเหมือนไฟมันสปาร์กขึ้น ไฟมันช็อตทั้งตัวเลย นั่นคือการจีบกันในสมัยพวกผม แต่แน่นอนที่สุด หลังจากนั้นแล้วเทคโนโลยีมันทำให้การที่นิ้วก้อยชนนิ้วก้อยแทบจะไม่มีความหมายไปแล้ว สมัยโบราณ นานมาแล้ว สมัยรุ่นพ่อผมซึ่งก็เสียชีวิตไปแล้ว เวลาเขาจีบผู้หญิง เขาจะดูว่าผู้หญิงคนนี้เขาชอบไหม ถ้าเขาชอบ เขาจะตามผู้หญิงคนนี้ไป ผู้หญิงขึ้นรถไป เขาก็นั่งรถตามไป ขึ้นรถเมล์ พอลงที่ไหนเขาก็ลงตาม ให้ผู้หญิงเห็น เสร็จเรียบร้อยแล้วพอตอนเช้าผู้หญิงคนนั้นตื่นขึ้นมาออกมา จะไปโรงเรียน หรือจะไปทำงาน ก็จะเจอผู้ชายคนนี้ยืนอยู่ที่หน้าปากซอย เพื่อให้ผู้หญิงเห็นหน้าว่าเขามารอนะ ถึงไม่พูดเขาก็ไม่ว่าอะไร กลับบ้าน ผู้ชายคนนี้ก็จะยืนอยู่ที่หน้าบ้าน จนผู้หญิงเข้านอน เขาถึงกลับบ้าน สมัยก่อนเขาจีบกันอย่างนี้
แต่สมัยยุคสังคมอีโมจิ มันเป็นสังคมที่ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เดี๋ยวนี้สังเกตอย่างนะ ผู้หญิงกับผู้ชาย เด็กวัยรุ่น เวลาเขาเจอกัน เขาไม่แลกเบอร์โทรศัพท์กันนะ เขาแลกไลน์กัน ทำไมแลกไลน์ เพราะว่ามันมีสัญลักษณ์ บางครั้งมันไม่จำเป็นต้องแสดงออกต่อหน้า เพราะว่าความเขินความอายของคนไทยหรือคนในเอเชียยังมีมากกว่าคนฝรั่ง เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เราเป็นสังคมก้มหน้า แล้วเราใช้ไลน์ หรือใช้แอปฯ ต่างๆ ติดต่อกับคนอีกคนหนึ่งโดยที่เราไม่ได้เห็นหน้าเขา เขาไม่ได้เห็นหน้าเรา เราไม่อาย
บางทีเพิ่งจะเจอ เพิ่งจะแลกไลน์กัน ตอนเช้าก็พิมพ์ไลน์ไปว่า สวัสดีตอนเช้า แล้วบางคนก็ทดลองดู โยนหินถามทางดู ด้วยการส่งอีโมจิที่เป็นรูปกลมๆ แล้วก็ส่งจูบไปให้ ทดสอบดูว่าผู้หญิงจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าผู้หญิงมีปฏิกิริยาว่า โอเค ฉันชอบเธอ ทันทีก็อาจจะส่งหัวใจสีแดงๆ กลับคืนมาให้
ท่านผู้ชมคิดถึงนัยตรงนี้บ้างไหม ว่ามันจะพัฒนาต่อไปอย่างไร เพราะฉะนั้นแล้วผมกล้าพูดได้ว่า สังคมอีโมจิเป็นสังคมรักง่าย เลิกง่าย ถามว่าสังคมอีโมจิทำให้ผู้หญิงกับผู้ชาย และความสัมพันธ์ในยุคนี้ มันต่างกับความสัมพันธ์กับยุคที่แล้วๆ มา สมัยรุ่นผม รุ่นพ่อผม แบบไหน ยุคนี้น่าจะเป็นยุคของการที่คบกันได้เร็วด้วยไลน์ พอถึงจุดๆ หนึ่งก็นัดกันไปเจอข้างนอก พอไปเจอกันข้างนอกแล้ว การเป็นแฟนกัน หรือพูดกันให้ค่อนข้างจะไม่ดีหน่อย ก็คือ การได้เสียกันมันเร็วมาก เร็วมากๆ เลย อย่างชนิดที่ว่าไม่ต้องรอเหมือนสมัยผมว่าจดหมายไปแล้ว ต้องรอจนถึงช่วงปิดเทอมถึงจะพบกัน
ถามว่า ตรงนี้มันเกิดขึ้นกับสังคมตะวันตกหรือเปล่า สังคมตะวันตกเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนเรานานแล้ว สมัยผมไปเรียนเมืองนอกเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว One night stand หรือว่าเจอกันคืนหนึ่ง พบกันคืนหนึ่ง นอนกันคืนหนึ่ง แล้ววันรุ่งขึ้นจากกันโดยที่ไม่ถามชื่อเสียงกันเลยนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมานานแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าสังคมต่างประเทศเป็นสังคมในเรื่องของการไม่ปิดบังในเรื่องความต้องการทางกามารมณ์ บางทีผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งอยู่ในบาร์ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งดื่มอยู่ จู่ๆ ก็มีบริกรคนหนึ่ง cocktail waitress เดินเข้าไปบอกว่า free drink เหล้าแก้วนี้ฟรี เบียร์กระป๋องนี้ฟรี แล้วมันก็ชี้ไปที่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอีกมุมหนึ่ง ผู้หญิงก็โชว์แก้วเบียร์ แล้วก็ยกคารวะ แล้วก็ดื่ม ผู้ชายก็ถือแก้วเบียร์เดินเข้ามา แล้วก็คุยกันถูกอกถูกใจ แล้วผู้หญิงก็บอกว่าเดี๋ยวจะต้องกลับบ้านแล้ว ผู้ชายก็บอก ผมไปส่งได้ไหม ผู้หญิงก็บอกว่า ได้ พอเดินไปส่งถึงหน้าบ้านของผู้หญิง หรืออพาร์ตเมนต์ผู้หญิง ถ้าเขามีจิตปฏิพัทธ์กัน สำหรับฝรั่งเขาไม่ถือสา เขาพูดตรงๆ เลย ผู้หญิงฝรั่งเขาเปิดเผยนะ เขาใจกล้า เขาจะถามว่า Do you wanna come up? แปลว่า คุณต้องการจะขึ้นมาข้างบนไหม have a cup of coffee or drink some wine ก็แสดงว่าตอนนี้สำเร็จไปเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ขาดอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นเอง ก็คือการสมสู่กัน ตรงนี้ทางสังคมตะวันตกมีมานานหลายสิบปีแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าธรรมชาติ วัฒนธรรม การแต่งตัว ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า สมัยควีนวิคตอเรีย ของอังกฤษ หลายร้อยปีมาแล้ว ผู้หญิงฝรั่ง หรือสมัยมารี อ็องตัวแน็ต ที่ฝรั่งเศส การแต่งตัวของผู้หญิงสมัยนั้นก็จะเปิดหน้าอก ใส่เสื้อเปิดไหล่แล้วก็ดันนมขึ้นมาให้เห็นเนินนมใหญ่ๆ มีเป็นหลายร้อยปีมาแล้วนะ ขณะที่เมืองไทยปิดคอ ปิดโน่นปิดนี่ แปลว่าอะไร แปลว่าฝรั่งไม่ได้มองในเรื่องของความบริสุทธิ์ของร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกมาก เพราะพวกนี้ยินดีที่จะเปิดตัว หรือเสียตัวให้ผู้ชายได้ง่ายๆ แต่พอเป็นผัวเมียกันแล้ว กลับเข้มงวดกันมากๆ เลย ก็หมายความว่า เอาล่ะ ฉันอาจจะง่ายกับเธอก่อน เธอเป็นผัวฉันนะ แต่ตอนนี้ฉันเป็นเมียเธอแล้วนะ เธออย่าเบี้ยวฉันนะ เธออย่าไปมีชู้นะ มีเมื่อไร เขาเรียกว่า infidelity ก็คือกูเอามึงตายแน่นอน จะตายรูปไหนผมไม่รู้นะ
เพราะฉะนั้นแล้ว พอสังคมอีโมจิมันมาถึง เข้าไปถึงสังคมฝรั่ง ฝรั่งมันไม่รู้สึก เพราะการส่งจูบให้มัน ไม่มีความหมาย เพราะทุกวันนี้ขนาดเพิ่งเจอกัน มันก็กอดกันแล้วก็หอมแก้มซ้ายทีขวาที เหมือนผม เวลาผมไปต่างประเทศสมัยก่อน สมัยที่ยังหนุ่มๆ อยู่นะ ไปเจรจาธุรกิจการค้า พอเรารู้จักผู้หญิงคนนี้ปั๊บ พอเราไปครั้งที่สอง เขาก็จะว่า Hi, how are you, Sondhi? เราก็บอกว่า How are you, Cathy? แล้วเราก็กอดเขา แล้วเราก็หอมแก้มเขา
ฝรั่งไม่ถืออะไรเลย แต่เมืองไทยไม่ได้ ถือ เพราะฉะนั้นแล้วเมืองไทย ในขณะซึ่งอีโมจิ หรือสติกเกอร์ต่างๆ เป็นรูปผู้หญิงกอดผู้ชาย เป็นรูปผู้ชายกอดผู้หญิง เป็นรูปผู้หญิงหอมผู้ชาย แล้วก็เขียนว่า Love you มันเท่ากับมันสะท้อนว่า ถ้าคุณมีความรู้สึกแบบนี้ แต่คุณเขิน คุณอาย เพราะความที่คุณเป็นเอเชีย คุณเป็นคนเอเชีย คุณเป็นคนไทย คุณเป็นคนจีน คุณเป็นคนเกาหลี คุณเป็นคนเขมร คุณเป็นคนสิงคโปร์ คุณเป็นคนพม่า ใช้สัญลักษณ์เป็นตัวแทน เมื่อใช้สัญลักษณ์เป็นตัวแทนแล้ว สิ่งที่มันตามมาก็คือว่า มันก็เลยต่อเนื่องไป มีทั้งอีโมจิ มีทั้งสติกเกอร์โกรธ สติกเกอร์ที่งอน สติกเกอร์หัวเราะ สติกเกอร์ที่มีความสุข มีแม้กระทั่งสติกเกอร์ที่ส่งมาว่า “นี่เมียนะ” คล้ายๆ ว่าผู้ชายกำลังทำอะไรผิดกับผู้หญิง ดุว่าผู้หญิง ผู้หญิงก็ส่งสติกเกอร์ตวาดกลับมาว่า “นี่เมียนะ”
ท่านผู้ชมครับ นัยตรงนี้ถามว่ามีผลอย่างไรบ้าง ผล มีแน่นอน ผลมีตรงที่ว่า มาถึงตรงนี้แล้ว เรื่องเซ็กซ์ เรื่องกามารมณ์ในผู้หญิงไทยสมัยนี้กลายเป็นเรื่องปกติสามัญไปแล้ว แต่ทุกอย่างเริ่มจากสติกเกอร์ก่อน เริ่มจากอีโมจิก่อน ไม่เหมือนของฝรั่ง ฝรั่งนี่ไปเจอกันในบาร์ก็ไปพูดคุยกันเลย เบียร์กระป๋องหนึ่ง พอใจก็พากลับไปที่บ้าน ถ้าไม่พอใจก็บอกขอบคุณ หรือผู้ชายบอกว่า Can I send you home? ส่งคุณกลับบ้านได้ไหม ผู้หญิงบอก ไม่เป็นไร Thank for the beer แล้วก็เดินออกไป ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าผู้หญิงไม่ให้ความสนใจ แต่ว่ามาในสมัยนี้ ในประเทศไทย ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ประเทศจีน ประเทศเวียดนาม หลายๆ ประเทศที่เล่นแอปฯ communication app อย่างเช่น ไลน์ หรือจะเป็นวีแชตก็ตาม ลักษณะแบบนี้มันทำให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์เรา จากการที่ห่างเหิน และกว่าจะพัฒนาไปเพื่อให้ความห่างเหินนั้นมันเข้ามาใกล้ชิดทีละนิดๆ มันถูกเร่งโดยน้ำมันเบนซิน ยี่ห้อที่แรงที่สุด ทำให้รถแห่งความใคร่วิ่งเข้าหาซึ่งกันและกันด้วยสติกเกอร์ อีโมจิ และ text ต่างๆ ที่สามารถจะพิมพ์ ทันที real time สวัสดีตอนเช้า ผู้หญิงก็ตอบมา ทำอะไรอยู่คะ ผู้ชายก็ตอบไป กำลังคิดถึงคุณอยู่พอดี แล้วก็ส่งจูบกลับไป ผู้หญิงก็รีรอสักนิด ดูว่าจะเอาอย่างไรดี เพิ่งรู้จักมาเมื่อ 2-3 คืนเอง มาบอกคิดถึงกัน แต่มันก็ใช้ได้นะ หน้าตามันไม่เลวนักนะ เอ้า ลองเสี่ยงดวงโยนหินถามทางหน่อย ผู้หญิงก็ส่งรูปจูบกลับไป มันก็เลยพัฒนาไป
เดี๋ยวนี้คนไทยรักกันง่ายเหลือเกิน ท่านผู้ชมครับ เลิกกันง่าย ผมเชื่อว่าสถิติหย่าร้างของคนไทย ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่ได้ต่างกว่าต่างประเทศเลยนะตอนนี้ ลูกที่มีพ่อแม่เลิกกัน คุณไปเช็กได้ สมัยก่อนพ่อกับแม่เลิกกันเป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวนี้กลายเป็น หนูอยู่กับแม่ค่ะ ผมอยู่กับพ่อครับ อ้าว แล้วพ่อไปไหน พ่อหนูเลิกกับแม่หนูไปนานแล้วค่ะ เลิกอย่างไร เลิกก็เพราะว่า จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ร้อยแปดพันประการ แล้วทำไมคุณพ่อไม่ได้ดูแลหนูเหรอ เขาไม่ได้ดูแลค่ะ เขาให้แม่หนูเลี้ยงหนูตลอดเวลา แล้วเขาไปมีครอบครัวใหม่ ลักษณะแบบนี้มีอยู่เยอะ ผมเชื่อว่าเดี๋ยวนี้ 10 คน ต้องมีอย่างน้อย 5 คน 50 เปอร์เซ็นต์จะต้องอยู่ในครอบครัวที่ไม่อบอุ่น และนี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น และในอนาคต ด้วยสติกเกอร์ ด้วยอีโมจิ ด้วยสังคมก้มหน้าที่ทุกคนไม่สนใจใคร จะสนใจเฉพาะคนที่สื่อสารกับตัวเองโดยผ่านทางมือถือ ตรงนี้จะทำให้สถิติการหย่าร้าง หรือการเลิกกัน มีมากกว่าเก่าอย่างมหาศาล
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมบางท่านคงเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ อยู่กันในบ้าน 4-5 คน ทั้งตัวท่านผู้ชม ทั้งสามี ต่างก็ถือโทรศัพท์มือถือ หรือวางอยู่ใกล้ตัว มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา เป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้ามา ท่านผู้ชมกำลังงง ก็กดเปิดขึ้นมา อ้าวตาย! ลูกสาวไลน์มาจากข้างบนห้องนอนว่า แม่ หนูนอนก่อนนะ เป็นอย่างนี้ไปแล้วนะท่านผู้ชม ในบ้านไม่พูดกัน
ผมยังจำได้นะ มันมีกติกาหนึ่งของฝรั่งที่ผมเคยรู้จัก ผมเคยไปที่บ้านเขาเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เกือบยี่สิบปี ปรากฏว่าเขาเชิญไปทานข้าวที่บ้าน เราสนิทกันมาก พอเราเข้าบ้านไป ลูกเขาซึ่งเป็นระดับวัยรุ่นทั้งผู้ชาย ผู้หญิง สามี ภรรยา สิ่งแรกก่อนเลยที่พ่อทำก็คือ พ่อจะเอาตะกร้าเล็กๆ ใบหนึ่งส่งไปให้ทุกคน ทุกคนทำเหมือนกันหมด ก็คือเอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ในตะกร้า ทุกคนวางหมด พอมาถึงผม ผมก็จะควักของผมบ้าง เขาบอก ไม่เป็นไร สนธิ you เป็นแขก you're my guest แต่นี่เป็นกฎที่บ้าน เนื่องจากว่ามีเวลาเดียวที่เราอยู่ด้วยกันได้ คือเวลากินข้าวตอนเย็น และเมื่อกินข้าวตอนเย็นเป็นเวลาที่เราต้องคุยกัน เราก็เลยมีกติกาซึ่งกันและกันว่า ทุกวันเวลากินข้าวให้ทุกคนเอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ในตะกร้า ให้ปิดให้หมด ไม่ต้องเปิด ไม่ต้องให้มีเสียงดังมาว่าใครโทรเข้ามา และช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงเวลาที่พ่อจะคุยกับลูก แม่จะคุยกับลูก ลูกจะคุยกับพ่อกับแม่ เป็นช่วงเวลาเดียว น่าสงสารไหม วันหนึ่งคุยกันได้เพียงครั้งเดียว ท่านผู้ชมครับ นี่คือสิ่งที่เขาพยายามแก้ไข
ที่เมืองๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี เมืองแห่งนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เขาเรียกว่า ซิลิคอนวัลเลย์ ในแคลิฟอร์เนีย บรรดาพวกคนสตาร์ทอัพทั้งหลาย ซีอีโอที่่ร่ำรวยจากการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เขาจะส่งลูกของเขาไปเรียนหนังสือที่ไหนรู้ไหม มีโรงเรียนอยู่โรงเรียนหนึ่ง ซึ่งโรงเรียนนี้มีกฎกติกาที่ชัดเจน และบังคับอย่างเด็ดขาด ปรากฏว่าพวกซีอีโอที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่โทรศัพท์มือถือเอาไปใช้ ร่ำรวยเป็นหมื่นๆ ล้าน เป็นแสนล้าน กลับนิยมที่จะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนี้ จนกระทั่งมีคิวยาว เทคนิคของโรงเรียนนี้คืออะไร โรงเรียนนี้ไม่ให้มีเทคโนโลยีเลย แปลว่าอะไร แปลว่า หนึ่ง เด็กที่ไปเรียนโรงเรียนนี้ห้ามพกโทรศัพท์มือถือไปโรงเรียน สอง ไม่ให้ใช้พิมพ์ดีด แต่ให้ใช้เขียนด้วยลายมือ ท่านผู้ชมสังเกตไหม เด็กสมัยใหม่นี่ลายมือดูไม่ได้เลย ยิ่งกว่าไก่เขี่ยเลย เพราะอะไร เพราะเด็กไม่ใช้ปากกาแล้วเดี๋ยวนี้ ใช้นิ้วจิ้ม แล้วก็มีศัพท์อะไรที่เพี้ยนๆ อย่างเช่น คิดถึง ก็ส่งมาว่า "คถ" ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ มันก็จะมีศัพท์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา โรงเรียนนั้นเขาชี้แจงให้ฟังว่า เด็กเมื่อโตขึ้นไปแล้วจะต้องเจอเทคโนโลยีอยู่แล้ว เขาไม่ต้องการให้เด็กหมกมุ่นกับเทคโนโลยีต่างๆ พวกนี้ แล้วไม่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใส่ใจกับธรรมชาติรอบตัวเอง ไม่ใส่ใจความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ไม่ใส่ใจกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับครู เพราะมัวไปสนใจในสิ่งซึ่งเขาเรียกว่าสังคมก้มหน้า คือเล่นแต่โทรศัพท์
ท่านผู้ชมครับ ลองคิดเรื่องนี้ดีๆ ตรงนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของสังคม เป็นจุดเปลี่ยนแปลงของบ้านเรา ของครอบครัวเรา และในที่สุดก็จะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของประเทศเช่นกัน ผมกล้าพูดได้ว่า เทคโนโลยีที่เป็นเรียลไทม์นั้น จะเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้คนขาดสติ เพราะบางทีคนมันคุยซึ่งกันและกัน ถ้านั่งต่อหน้าด้วยกัน พอเห็นหน้ากัน มองตากัน ตากำลังโกรธ ตากำลังไม่พอใจ ดูริมฝีปาก ศึกษาการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า body language มันก็สามารจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้ แต่ไม่ใช่สังคมเรียลไทม์แบบนี้ สังคมเรียลไทม์แบบนี้พอใครส่งอะไรขึ้นมา อารมณ์เสียขึ้นมาทันที ไม่มีเวลาคิด ไม่มีเวลาทำอะไรทั้งสิ้น ก็ตอบกลับไปทันที ส่งหน้าบึ้งออกไป ส่งคำพูดอะไรที่ไม่ค่อยดีออกไป หรือว่า อย่างเช่น ตกใจ ส่ง OMG (Oh my god!) แล้วถ้าบอกว่า (ขอโทษนะครับท่านผู้ชม) มึงเป็นห่าอะไรวะ ก็จะส่งคำว่า WTF ซึ่งเป็นคำย่อ แต่ผมไม่พูดก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นคำหยาบคาย เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า สังคมก้มหน้า สังคมอีโมจิ สังคมสติกเกอร์ มันทำลายสัมพันธภาพจริงๆ ระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ระหว่างคนกับคน หลายอย่าง ระหว่างคนกับสังคม ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องที่น่ากลัว
บางคนก็บอกว่า คุณสนธิคุณชอบพูดแบบนี้เพราะคุณอายุมากแล้วใช่ไหม ใช่ ผมอายุมากแล้ว แต่ผมอายุมาก ผมอยู่ในโลกทั้งสองโลก ผมอยู่ในโลกของคนโบราณ และในขณะเดียวกันผมก็เข้าใจคนรุ่นใหม่ ไม่อย่างนั้นผมจะเล่าเรื่องสติกเกอร์อย่างนี้ พวกนี้ ได้อย่างไรให้คุณได้เข้าใจ เพราะของต่างๆ เหล่านี้เป็นของที่เกิดขึ้นจริงและมีจริง ผมก็เลยสรุปว่า บางครั้ง slow life มันมีความสุข ชีวิตที่ช้าลง แล้วผมก็สังเกตเด็กรุ่นใหม่หลายๆ คน เริ่มที่จะหันไปใช้ชีวิตที่มันช้าลง ช้าลงอย่างไร ท่านผู้ชมไม่เคยสังเกตเหรอว่า เดี๋ยวนี้ คนไปเที่ยวสมัยนี้ไม่ใช่รุ่นผมนะ รุ่น 20 กว่า 30 กว่า หรือแม้กระทั่ง 40 เริ่มที่จะชอบไปปีนเขากันมากขึ้น อยู่กับตัวเอง ไปอยู่กับธรรมชาติ ค่อยๆ ปีนเขาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมีอะไรมารบกวน หรือ trekking เดินบุกป่าดง หรือ trail bike ขี่จักรยานไปที่มันทุรกันดาร อยู่กับตัวเองค่อนข้างจะเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น และใช้ชีวิตให้มันช้าลง หรือแม้กระทั่งมีแหล่งท่องเที่ยวหลายแหล่งซึ่งเมื่อคุณเข้าไปแล้ว เขาไม่มีไวไฟให้ บางคนก็จะถาม ที่นี่มีไวไฟไหม ถ้าไม่มีผมไม่เข้าพักนะ ประเด็นอยู่ตรงนี้ เจ้าของที่เขาไม่ต้องการให้มีไวไฟ เพราะเขาไม่ต้องการให้คุณก้มหน้าแล้วก็เล่นกับโทรศัพท์มือถือระหว่างมาท่องเที่ยว เขาต้องการให้คุณมีความสุขกับธรรมชาติรอบตัว ที่จะทำให้พวกคุณเข้าใจตัวคุณเอง
ที่น่าเสียดายอย่างหนึ่ง กลายเป็นว่า คนที่สมควรที่จะให้คนไทยรู้จักสงบ กลับเป็นคนที่เล่นอีโมจิ เล่นสติกเกอร์ นั่นคือพระสงฆ์องค์เจ้า พระสงฆ์เดี๋ยวนี้ส่ง text ไปให้ท่านได้นะ ก่อนจะส่ง text ส่งเป็นรูปไหว้ไปก่อน หลวงพี่ อาทิตย์หน้าว่างไหมคะ ขอนิมนต์มาฉันเพลหน่อย แล้วก็ส่งไหว้ไปอีกทีหนึ่ง หลวงพี่ก็ส่งรูปกลับมาเป็นรูปอีโมจิกลมๆ ยิ้มแฉ่งเลย แล้วก็บอกว่า ได้โยม กี่โมงดีจะให้ไป
ท่านผู้ชมครับ ตรงนี้มันมีผลอย่างไรกับความสัมพันธ์ตรงนี้ แล้วจะดูแลลูกหลานเราอย่างไรในลักษณะแบบนี้ ผมคิดว่าสิ่งแรกที่ท่านผู้ชมน่าจะทำก่อน ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกหลาน แม้กระทั่งคนหนุ่มคนสาวเอง ต้องรู้ว่าต้องมีช่วงเวลาสักช่วงเวลาหนึ่ง ใน 1 วัน ที่คุณต้องเอาโทรศัพท์มือถือวางทิ้งไว้ แล้วก็มานั่งคุยกันว่า เวลานี้เป็นเวลาของครอบครัว เวลานี้เป็นเวลาของพี่น้อง เวลานี้เป็นเวลาของเธอกับฉัน คำว่าเธอกับฉันนี่หมายความว่า โทรศัพท์ปิดเลย ไม่ใช่ว่าเธอกับฉันนั่งคุยกันอยู่ดีๆ สวีตกันอยู่ดีๆ อ้าว มีเสียงกิ๊ง ไลน์เข้ามา หยิบขึ้นมาดู ระหว่างที่ผัวก็นั่งพูดอยู่ เมียก็นั่งดูๆๆ แล้วเมียก็นั่งจิ้ม ส่ง พอผัวพูดจบ เมียก็หันไปพูดกับผัว เอ้า ถึงคราวฉันพูดบ้าง ผัวก็มีโทรศัพท์เข้ามา มันไม่จบไม่สิ้น
สำหรับผมแล้ว อะไรไม่สำคัญเท่ากับความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องมองหน้ากัน ต้องสื่อสารกันด้วยคำพูด หน้าต่อหน้า มือต้องจับกัน อยู่ใกล้กัน ไม่ใช่ว่าตาจ้องกัน มือจับกัน ในช่วงจีบกัน พอข้าวสารเป็นข้าวสุกแล้ว ผัวก็ทิ้งเมีย ไม่สนใจ แกจะว่าอย่างไรก็เรื่องของแก ส่วนเมีย พอฟันผัวเสร็จเรียบร้อย แกเป็นผัวฉันแล้ว ฉันก็เอาตามสบายของฉัน มันไม่ใช่อย่างนั้น
ท่านผู้ชมครับ เรียลไทม์เป็นเรื่องที่ดีและไม่ดี น่ากลัวมาก และถึงจุดๆ หนึ่งผมคิดว่าเรียลไทม์ อีโมจิ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ค่อยๆ ถดถอยลงจนกระทั่งไม่มีแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นของสังคมโรโบติก (Robotic) หรือสังคมหุ่นยนต์ แน่นอนที่สุด ผมยังไม่เข้าใจว่า บางคนซื้อมาทำไม หุ่นยนต์ที่จะมาเดินทำความสะอาดที่บ้าน อ๋อ ดีกว่า มันประหยัด จะได้ไม่ต้องจ้างพม่าเข้ามา แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะมาขโมยของหรือเปล่า ผมคิดว่าถ้าคุณจะไม่ใช้พม่า คุณก็ไม่ควรจะใช้หุ่นยนต์ ผมคิดว่าสองคนผัวเมีย และลูก ช่วยกันทำงานบ้านได้ การทำงานบ้านด้วยกัน การให้ลูกกวาดพื้น การให้ภรรยาเข้าครัวทำอาหาร การให้สามีช่วยจัดบ้าน โน่นนี่นั่น ผมคิดว่ามันเป็นปฏิสัมพันธ์ที่สร้างความสุข ความสนิทสนม และความใกล้ชิดให้ใกล้กัน
ท่านผู้ชมครับ ถ้าเราไม่หยุดตรงนี้ หรือถ้าเราไม่มีสติในเรื่องราวต่อไปนี้ อีกหน่อย ท่านแก่ตัวลง ท่านเข้าโรงพยาบาล ท่านจะสิ้นลมหายใจแล้ว ท่านอาจจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วท่านก็ไลน์บอก ลูกรัก พ่อจะตายแล้วนะ ขอลาลูกรักไปจากนี้ไป แล้วเราค่อยพบกันตามบุญตามกรรมที่เราทำ ถ้าลูกทำกรรมดีลูกคงได้เจอพ่อบนสวรรค์ ถ้าลูกทำไม่ดีไปเจอพ่อในนรก พอลาแล้ว พ่อตายแล้วนะ อย่าทำเป็นเล่นไปนะครับ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่าสังคมก้มหน้า และสังคมอีโมจิ สังคมสติกเกอร์ มันกำลังเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคมไทย หรือสังคมเอเชีย หรือสังคมใดก็ตาม ที่เสพติดการใช้เทคโนโลยีแบบนี้โดยที่ไม่บันยะบันยัง และโดยที่ไม่ใช้สมอง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆ
ผมคิดว่าผมจะใช้เวลาส่วนที่เหลือตอบคำถามของท่านผู้ชม เพราะท่านผู้ชมส่งคำถามมาให้ผมเยอะมาก แล้วเดี๋ยวผมจะค่อยๆ ตอบไป
คำถามแรก ใช่ค่ะ "เมื่อกี้คุยกับคนซักผ้า แต่ว่าแป๊บเดียว เสี้ยวนาที ก็ก้มหน้าดูมือถือ ทั้งที่ยังคุยกันไม่จบ" มันไม่ใช่แค่คนซักผ้านะครับ ลองดูกับลูกตัวเองบ้าง เอาอย่างนี้ ท่านผู้ชมครับ ลองดูสักวันนะ เรียกทุกคนมาที่บ้านเลย ลูก วันนี้เรามาทดลองอะไรบางอย่าง ทำให้แม่หน่อยได้ไหม ทำให้พ่อหน่อยได้ไหม วันนี้เราเอาโทรศัพท์มาวางตรงนี้ และเราจะไม่ใช้กัน เราจะไม่ใช้กันเลย เราจะไป เราจะมีกำหนดการ ลูกไปเรียนหนังสือ พ่อไปทำงาน แม่ไปทำงาน กลับมาอีกทีมาเจอกันที่บ้าน โดยโทรศัพท์มือถือเก็บไว้ที่นี่ ท่านผู้ชมเชื่อผมไหม ลงแดงกันตายทุกคน เพราะการเสพติดโทรศัพท์มือถือนั้นเป็นการเสพติดเทคโนโลยี แล้วยิ่งช่วงหลังพอมีระบบสตรีมมิง (streaming) สตรีมมิงหลายคนยังไม่เข้าใจ คือการใช้ไวไฟ เอาวิดีโอขึ้นมา
สมัยก่อนเรามี 2G พอเรามี 3G เราก็ตื่นเต้น พอเรามี 4G เราก็ตื่นเต้น ตอนนี้ 5G จะมาแล้ว เขาบอกว่า 5G ความเร็วมันมากกว่า 4G ร้อยเท่า ผมก็ถามว่ามันจะบ้าไปทั้งโลกหรืออย่างไร แค่ 4G ก็จะตายกันแล้ว 5G นี่ คนที่เชียร์เทคโนโลยีก็บอกว่า 5G จะทำให้ชีวิตมันดีขึ้น สำหรับผมแล้ว ท่านผู้ชมกลับไปคิดให้ดีๆ ชีวิตที่ดีขึ้นไม่ใช่อยู่ที่เทคโนโลยี ชีวิตที่ดีขึ้นอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขาดีขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพ่อแม่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนเราดีขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อนบ้านดีขึ้น และความสัมพันธ์และความรับผิดชอบที่เรามีอยู่ก็ดีขึ้นเช่นกัน
เดี๋ยวนี้ผู้ชายเลือกผู้หญิง หรือผู้หญิงเลือกผู้ชาย แต่ก่อนกว่าจะคบกันได้ กว่าจะมีการเจอกัน แต่งงาน ใช้เวลาเป็นปี แต่เดี๋ยวนี้การที่จะได้เสียกัน หรือการจะใช้ชีวิตด้วยกัน มันกลายเป็นเรื่องธรรมดา ปกติ เหมือนตอนเช้า ท่านผู้ชมต้องเดินเข้าห้องน้ำ ปวดท้องฉี่ ฉี่เสร็จก็เดินออกมา นั่นล่ะครับ ลักษณะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วคนรุ่นใหม่นะ ให้จำไว้ ข้อที่หนึ่ง จะสังเกตหรือไม่สังเกตก็ตาม ไม่ค่อยเชื่อในสถาบันครอบครัว สมัยก่อนนี้ ครอบครัวต้องมาก่อน ครอบครัวต้องเข้มแข็ง ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นอย่างนี้ทุกภาค คนอีสานก็รักครอบครัวมาก คนทางใต้รักพี่น้อง รักครอบครัวมาก พี่น้องกูจะผิดหรือถูกไม่สำคัญ กูเอาพี่น้องก่อน ถึงแม้พี่จะผิด ก็ถือว่าถูก แต่ว่าสถาบันครอบครัวตอนนี้มันเริ่มกระจายไป กลายเป็นตัวใครตัวมัน ลูกไปส่วนหนึ่ง พ่อไปส่วนหนึ่ง แม่ไปส่วนหนึ่ง
ข้อที่สอง คนรุ่นใหม่ไม่เชื่อเรื่องการแต่งงาน จะมีพิธีแต่งงานอะไร เดี๋ยวนี้สังเกตนะ งานแต่งงานยิ่งวันยิ่งน้อยลง เพราะอะไร เพราะสถาบันพวกนี้สำหรับคนรุ่นใหม่แล้วเขาถือว่าไม่มีความหมาย เพราะในที่สุดแล้วการกินการอยู่กัน ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ เราเคยไปต่อว่า คุณทำได้อย่างไร คุณกินอยู่กันโดยไม่แต่งงาน แล้วบางคนกินอยู่กันประมาณ 1-2 ปี ถึงจะแต่งงาน ฝรั่งหลายคน บางทีคบกันมาเป็นสิบปี แล้วมีลูก พอมีลูกแล้ว ตัดสินใจสองคนผัวเมีย เรามาทำพิธีแต่งงานกันดีกว่า เพราะเราไม่เคยทำเลย ทำไมฝรั่งถึงคิดอย่างนั้น แล้วทำไมคนรุ่นใหม่ถึงคิดอย่างนั้น เพราะบางครั้ง คนที่มีครอบครัวแล้ว ต้องยอมรับ เวลาจีบกัน ความรักมันหวานชื่น ทุกอย่างมันสวีตไปหมด คนนี้ดี คนนั้นดี เธอก็ดี แต่พอกินข้าว นอน สมสู่กัน เข้าห้องน้ำเดียวกัน อยู่ใช้ตู้เสื้อผ้าเดียวกัน สันดานดิบของแต่ละคน ความไม่มีระเบียบ ความไม่มีวินัย มันจะหลุดออกมาแต่ละอย่างๆ
บางทีคุณดูผู้หญิงเป็นคนที่เรียบร้อยมาก แต่พออยู่ด้วยแล้ว หนึ่ง เป็นคนที่สกปรกมาก ฉันใดฉันนั้น บางทีคุณดูผู้ชายคนนี้เป็นคนดี แต่เป็นคนที่ฟุ่มเฟือย เป็นคนที่ถอดเสื้อผ้าแล้วก็ทิ้งระเกะระกะ ส่วนผู้หญิง เมียก็เป็นคนที่เจ้าระเบียบ เพราะพ่อสอนมาแบบนี้ ก็คอยเก็บเสื้อผ้าผู้ชายไปสิ อาจจะนึกในใจว่าทำไมตอนคบกันเป็นแฟน ดูดี๊ ดี นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนรุ่นใหม่ถึงบอกว่า เราลองมาอยู่ด้วยกันสักพักหนึ่ง ถ้าดี ถ้าไปได้ดี ความรักยังหวานชื่น ไม่ใช่ว่าพออยู่กัน 1 ปี 1 ปีครึ่ง ความรักมันเริ่มถดถอยลง ก็แสดงว่าไม่ใช่แล้ว เมื่อไม่ใช่แล้ว ก็เลิกรากันไปได้ แต่ถ้าใช่ อาจจะถึงเวลาที่จะกลับไปบอกพ่อแม่ว่าหนูกับแฟนว่าจะแต่งงานกัน พ่อกับแม่ว่าอย่างไร ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้น อย่าไปว่าเด็กมัน ผมคิดว่าเขาทำถูก เขาทำไม่ผิดหรอก เพราะคนพวกนี้ไม่อยากจะอยู่ไปแล้วในที่สุด แต่งงานกันอย่างยิ่งใหญ่ ผมดูเฉลี่ยนะ งานใหญ่ๆ นะ งานแต่งงาน สมมุติว่ามี 10 คู่ ต้องมี 3 คู่อยู่ได้ไม่ยืด เลิกรากันไป เพราะอะไร เพราะพวกนี้อยู่บนโลกแห่งความฝัน ผู้หญิงก็คิดว่าตัวเองคือเจ้าหญิง ผู้ชายก็คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย แต่ปรากฏว่าพอแต่งงานกันแล้ว กลับไปสู่โลกความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ก็คือมนุษย์กินข้าวแล้วก็ขี้เหม็นเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น ใครผิดพลาดอะไร ก็เก็บเอามาไว้ในใจ สมัยก่อนมันไม่ได้เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่า สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องใจกว้างนิดหนึ่ง เพียงแต่ว่าระวังนิดหนึ่ง สำหรับคนที่มีลูกสาว แต่ถ้าเขาโตแล้ว เขาเรียนจบปริญญาตรีแล้ว เขามีงานมีการทำแล้ว ที่สำคัญเขาเลี้ยงดูตัวเขาเองได้ ปล่อยให้เขาตัดสินใจเอง พ่อกับแม่มีหน้าที่อย่างเดียวคือ ให้คำแนะนำเขาเท่านั้นเอง แต่อย่าไปแทรกแซงชีวิตของเขา นั่นคือชีวิตของเขา บางทีคนบางคนมีลูกชายอยู่คนเดียว รักลูกชายมาก เวลาลูกชายมีแฟน ก็จะมีอคติกับว่าที่ลูกสะใภ้ว่านี่จะมาแย่งสุดที่รักของฉันไปหรืออย่างไร นี่คือปัญหาใหญ่ระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ ฉันใดฉันนั้น ก็เช่นกัน ปัญหาระหว่างผู้ชายกับแม่ยายก็มีเช่นกัน ผมก็คิดว่า ถึงจุดๆ หนึ่ง เราในฐานะคนที่มีอายุแล้ว มีลูกเจริญเติบโตแล้ว เราต้องทำใจ เราต้องทำใจตั้งแต่ลูกเราเป็นหนุ่มเป็นสาว สมัยก่อน ลูกชายผมเพิ่งเรียนจบ จบจากออสเตรเลียมา แล้วก็จะมาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมัยนั้นเขาเพิ่งกลับมา สมัยนั้นผมจำได้ว่าแหล่งท่องเที่ยวที่ดังที่สุดอยู่ซอยอารีย์ ที่สุขุมวิท ชื่อธอรัส ภรรยาผม ที่เสียชีวิตไปแล้ว มาปรึกษาผม ป๋า ทำอย่างไรดี ได้ข่าวว่าเขาเที่ยวถึงเช้า ไม่มีปัญหาอะไร ลูกเราคุยกันรู้เรื่อง แล้วก็คุยกันรู้เรื่องจริงๆ เราก็บอกว่า ลูก ถ้าลูกจะไปเที่ยว ไม่สนใจ ไปเถอะ สนุกสนานไปเลย แต่ขอได้ไหม อย่ากลับเกินตี 3 แล้วก็อย่าได้ไม่กลับ เพราะที่สำคัญคือ เราเป็นห่วง และภรรยาผมเขาจะ make sure ว่า ลูกชายผมเวลาคบใคร เขาอยากจะรู้จักเพื่อนลูกชายผม เหมือนกัน ถ้าท่านมีลูกสาว ถ้ามีเพื่อน หรือลูกชายท่านมีเพื่อน สิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็คือว่า ช่วยพาเพื่อนลูกมาที่บ้านหน่อยได้ไหม แม่จะเลี้ยงข้าว แม่จะทำกับข้าวให้กิน ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ประเด็นคืออยากจะรู้จัก เพราะว่าผู้ใหญ่จะดูนิสัยใจคอของเพื่อนลูกว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะเก็บเอาไว้เป็นข้อมูล แล้วก็สั่งสอนลูก แนะนำลูกให้ไปในทางที่ถูก
ผมเคยแนะคนมาเยอะ คุณมีลูกที่เป็นวัยรุ่น วัยหนุ่ม ลูกคุณเวลาไปโรงเรียน โรงเรียนก็เป็นโรงเรียนชั้นกลาง จู่ๆ แล้วเพื่อนลูกคุณ ซึ่งมันแต่งตัวมอซอ แล้วจู่ๆ มันเกิดมีไอโฟนมาใช้ใหม่เอี่ยม จู่ๆ มีเสื้อผ้าใหม่ๆ มาใช้ ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าพ่อแม่เขาขายของอยู่ที่ตลาด พ่อกับแม่ต้องคิดเป็น คิดอย่างไร ต้องคิดว่าเด็กคนนี้มันทำอะไรเงินทองถึงเข้ามาเยอะขนาดนี้ เพราะลูกเคยเล่าให้ฟัง ว่าไอ้แก้วเพื่อนผม แม่จำได้ใช่ไหม แต่ก่อนมันขอยืมตังค์ ขอให้ลูกเลี้ยงข้าวมัน เดี๋ยวนี้มันมีไอโฟนใช้ มันมีโน่นมีนี่ มันควักออกมาทีมีแบงก์พัน ต้องตั้งข้อสมมติฐานก่อนว่า นายแก้วคนนี้คงจะต้องไปทำอะไรผิดกฎหมาย แล้วสิ่งที่ผิดกฎหมายที่สุด ที่แน่นอนที่สุดคือ เอเยนต์ขายยาบ้า หรือเอเยนต์ขายยาเสพติด ตรงนี้อยู่ที่พ่อแม่แล้ว คุณทำหน้าที่ตรงนี้ดีหรือเปล่า หรือคุณไม่ได้ทำหน้าที่นี้เลย คุณไม่สนใจเลยว่าลูกจะเป็นสังคมก้มหน้าอย่างไร ลูกจะคบใคร ไม่ได้ คุณต้องรู้จักเพื่อนของลูก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากจะเตือนเอาไว้ ญาติพี่น้องกัน บางคนก็เรียกผมว่าลุง บางคนก็เรียกผมว่าอา
จู่ๆ วันหนึ่งมันถามผมว่า ลุง เลือกผู้ชายอย่างไรดี ผมก็บอกว่า เฮ้ย ถามแบบนี้ถ้าลุงพูดตรงๆ แกรับได้ไหม เขาบอก รับได้ลุง ผู้ชายมีอยู่ 3 ประเภทให้จำไว้นะลูก ประเภทแรกคือ หล่อ หน้าตาดี ลุงถามว่าหล่อนี่กินได้ไหม ตอบมาตรงๆ มันตอบว่ากินไม่ได้ สอง รวย มีอยู่ 2 หัวข้อนะ หนึ่ง ตัวมันไม่รวย แต่พ่อแม่มันรวย มันยังขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่ สอง ถ้ามันรวยเอง ถ้ารวยแล้วเห็นแก่ตัว มันมีประโยชน์ไหม ไม่มีประโยชน์ลุง เพราะฉะนั้น พิจารณาผู้ชายลักษณะที่สามให้ดีที่สุด คือ ผู้ชายที่รับผิดชอบ เพราะคำว่ารับผิดชอ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า responsibility มันยิ่งใหญ่มาก รับผิดชอบต่อคำพูดที่พูด มีสัจจะวาจา รับปากเมีย รับปากผู้หญิงซึ่งจะเป็นเมียต่อไปในอนาคตว่าจะทำอย่างนี้ให้ และรับปากว่าจะไม่ทำอย่างนี้ ถ้าเขายืนยันในคำพูดเขา และขณะเดียวกัน เวลาเราทุกข์ เขารับผิดชอบ มาร่วมทุกข์กับเรา เวลาครอบครัวเราทุกข์ เขาก็มาช่วยรับผิดชอบ คนที่เอาเฉพาะผู้หญิงอย่างเดียว แล้วไม่เอาครอบครัวของผู้หญิง อย่าไปเลือกมันเป็นผัว เพราะถ้าคุณเป็นคนที่รักครอบครัว ถ้าครอบครัวของคุณทุกข์ แล้วสามีไม่ยอมมาช่วยเหลืออะไรเลย หรือแม้กระทั่งมารับฟัง หรือช่วยเท่าที่จะช่วยได้นะ คุณก็ยังทุกข์ต่อ แล้วคุณมีความสุขไหม เพราะโดยพื้นฐานแล้วคุณรักพ่อ รักแม่ คุณสงสารพ่อ สงสารแม่ เข้าใจหรือยัง เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบมันกว้างใหญ่ไพศาล อย่าไปเล่นๆ กับมัน
แล้วคนที่มีลูกสาว ให้จำเอาไว้ให้สนิทเลย อย่าไปอายในการพูดเรื่องเพศสัมพันธ์กับลูกสาว ยิ่งถ้าลูกสาวหน้าตาดี ลูกสาวกำลังโตเป็นสาว ต้องสอน ไม่ใช่เรื่องที่น่ารังเกียจ อย่าไปคิดว่าลูกสาวตัวเองจะไม่มีวันสูญเสียพรหมจรรย์ พรหมจรรย์มันสูญเสียได้ในทุกช่วงเวลา ทุกโอกาส ยิ่งสังคมอีโมจิ สังคมสติกเกอร์ เมื่อไรก็เมื่อนั้น มันเกิดขึ้นได้ทันที เพราะฉะนั้นแล้วต้องสอนลูก ลูก ถ้าลูกจะมีอะไรกับใคร ซึ่งแม่ก็ไม่ได้คิดว่าอาจจะมี แต่ก็กันเอาไว้ เผื่อเอาไว้แล้วกัน เพราะบางครั้งอารมณ์มันพาไป ลูกจำคำพูดพ่อกับแม่ไว้ให้ดีๆ นะ ผู้ชาย อะไรก็ตาม ถ้ามันจับมือลูกได้ มันก็จะเริ่มจับขาลูกได้ พอมันเริ่มจับขาลูกได้ มันก็จะเริ่มล้วงลูกได้แล้ว ถึงจุดๆ นั้น สิ่งที่ลูกต้องทำประการแรก ลูกต้องหนีบขาให้แน่น อย่าให้เกิดช่องว่างเลยแม้กระทั่งลมก็ต้องไม่ผ่านได้ แต่ถ้าลูกทำไม่สำเร็จ ลูกต้องเรียกร้องเลยว่า ถ้าไม่ใส่ถุงยาง ห้ามรุกอีก ถ้าอยากรุกให้ไปซื้อถุงยางมาใส่ นี่ผมหมายถึงกรณีสุดท้าย คือด่านปราการป้องกันตัวเองมันพังหมดแล้ว เหลือด่านสุดท้าย ต้องสอนลูกแบบนี้ ท่านผู้ชมอย่าว่าผมทะลึ่ง นี่คือสัจธรรม นี่คือความจริง ต้องหมั่นสอน รู้จักสอน เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว วันหนึ่งข้างหน้า เอ๊ะ ทำไมลูกอาเจียนบ่อย เป็นอะไรลูก แม่ หนูท้องค่ะ อ้าวตายล่ะทีนี้ จะกลายเป็นคุณซึ่งเอาหัวโขกเต้าหู้ตาย คุณไปซื้อก้อนเต้าหู้ใหญ่ๆ มาแล้วคุณก็เอาหัวโขกเต้าหู้ให้ตายไปเลยดีกว่า เพราะคุณพลาด คุณผิด
เพราะฉะนั้นแล้ว การเลี้ยงลูก อย่างเลี้ยงลูกชายที่ผมสอนให้ดูเพื่อน ให้เพื่อนเล่าเรื่องลูกให้ฟัง ถ้าเพื่อนจู่ๆ มีเงินมีทองมาก ให้ตั้งข้อสงสัยก่อนว่ามันคงจะทำอะไรผิดกฎหมาย ถ้าเป็นผู้หญิง ก็ต้องสอนลูกในเรื่องของเพศสัมพันธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ที่คุณ และที่พังพินาศก็เพราะคุณเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าประมาทในตัวคุณ
"ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะมีคนสร้างระบบเพื่อให้คนเข้าไปอยู่ในระบบและให้คนๆ นั้นเป็นคนครอง" ก็ถูกต้อง แน่นอนที่สุด ที่น่าเสียดายอยู่อย่างก็คือว่า ไลน์ เป็นของญี่ปุ่นกับเกาหลี มันก็ส่งตัวแทนมาเปิดสำนักงาน เพื่อที่จะให้คนหมกมุ่นอยู่ในไลน์ของมัน แล้วในที่สุดเมื่อไลน์มีคนใช้ทั่วโลก มันก็เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วมูลค่าหุ้นมันก็สูงขึ้น เจ้าของไลน์ก็รวยขึ้น มันรวยขึ้นเพราะว่ามีคนที่หมกมุ่นและไม่ใช้สติอย่างคุณ ไปใช้มันเยอะๆ เข้า วีแชตก็เช่นกัน บริษัทวีแชต เจ้าของวีแชต บริษัท เทนเซ็นต์ ร่ำรวยติดอภิมหาเศรษฐีในโลกนี้ เป็นคนจีน ก็ฉันใดฉันนั้น "ประชุมก็นั่งดูหน้าจอ นั่งรูดอยู่ที่หน้าจอ ไม่มีมารยาท" แน่นอนครับ อย่าว่าแต่ประชุมเลย สมัยโบราณนะ ป๋าๆ พี่ๆ โทรศัพท์มา เอาๆ บอกเขาหน่อยนะว่าพ่ออยู่ในห้องน้ำ เดี๋ยวออกไปโทร เดี๋ยวนี้เข้าห้องน้ำยังมีโทรศัพท์ นั่งเบ่งขี้ก็นั่งกด text ไป ส่งอีโมจิไปด้วย นึกออกไหมท่านผู้ชม มันไม่มีบันยะบันยังกันเลย
"ถูกต้องค่ะ ส่วนมากจะหาปลั๊กเสียบแล้วนั่งดูแต่โทรศัพท์" แน่นอนครับ
"สังคมก้มหน้ามันมีทั้งข้อดีข้อเสียค่ะ ขึ้นอยู่กับการใช้ให้เป็น" ถูกต้อง คนที่ใช้โทรศัพท์เป็น สังคมก้มหน้าที่ใช้เป็น นั่นคือคนมีสติ แต่ส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ จะไม่มีสติ
"ยังจำตอนหัดส่งแฟกซ์ครั้งแรกได้เลย แถมเคยหัดส่งรหัสโทรเลขในโรงแรมยุคสุดท้ายได้"
"ใช่ค่ะ เรียลไทม์เปลี่ยนโลก โลกย่อส่วนเกินไป"
ท่านผู้ชมสังเกตอะไรอย่างหนึ่งไหม ผมจะแนะให้ฟัง มันมี 4 ข้อ 4 หลักการที่เปลี่ยนโลกไปเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว หลักการข้อแรกคือ Cross Cultural การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม แปลว่าอะไร แปลว่าเดี๋ยวนี้โลกมันแคบลง เทคโนโลยีมันเร็วขึ้น โลกเราไม่ได้อยู่ในตัวของเราเอง เราไม่ได้อยู่ในประเทศไทยคนเดียว สมัยก่อนถนนคอนแวนต์ ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ตั้งอยู่ ผมจำได้ เป็นถนนที่เงียบสงบ หาฝรั่งสักคนยังหาไม่ได้ แขกสักคนยังหาไม่ได้ เดี๋ยวนี้ท่านผู้ชมลองไปเดินถนนคอนแวนต์สิ มีทั้งแขกอินเดีย มีทั้งตุรกี มีทั้งโน่นนี่นั่น คนจีน เหมือนกัน อย่าว่าแต่เขาเลย มีประเทศไหนบ้างที่ท่านผู้ชมไปแล้วไม่เคยเจอคนไทย ไม่ว่าจะเป็นประเทศไอซ์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นประเทศนอร์เวย์ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่นึกไม่ถึงแม้กระทั่งเทือกเขาหิมาลัย เนปาล กาฐมาณฑุ กัลกัตตา มุมไบ มีหมด เจอคนไทยหมด แสดงว่าถ้าคนไทยไปตามที่ต่างๆ ได้ ต่างชาติมันก็มาที่เมืองไทยได้ นี่ล่ะเขาเรียกว่า Cross Cultural
ข้อที่สอง คือ Diversity ความหลากหลาย ความหลากหลายคืออะไร ความหลากหลายแปลได้หลายอย่าง กฎหมายหลากหลายได้ไหม ได้ แต่ถ้ากฎหมายเมืองไทย ซึ่งเป็นกฎหมายแนวดิ่ง ที่เขาเรียกว่า Vertical Law นั่นก็คือว่า ออกกฎหมายชุดหนึ่งออกมา แล้วใช้ให้เหมือนกันหมดทั้งประเทศ โดยไม่ดูถึงข้อแตกต่างของพื้นที่ ข้อแตกต่างของวัฒนธรรม ข้อแตกต่างของสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น กฎหมายป่าชุมชน ถ้าร่างออกมาแล้วใช้ได้ทั่วประเทศ ปรากฏว่าป่าชุมชนทางอีสาน กับป่าชุมชนทางเหนือ ป่าชุมชนทางใต้ มันไม่เหมือนกัน มันจะเหมือนกันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความหลากหลายเป็นกติกาใหม่ของโลก สมัยก่อนผมจำได้ รถยนต์โตโยต้ามีอยู่ไม่กี่รุ่น มีโตโยต้าโคโรน่า โตโยต้าโคโรลล่า แล้วก็โตโยต้าแบบเก๋งคันใหญ่ๆ ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว มีอยู่สามอย่าง เดี๋ยวนี้โตโยต้ามีตั้งกี่โมเดล มิตซูบิชิมีตั้งกี่โมเดล ทุกเจ้ามีหลายโมเดล ความหลากหลายไง ผมจำได้ สมัยผมเด็กๆ คุณแม่เปิดร้านขายกาแฟและร้านขายของชำ ผมจำได้ คนมาซื้อสบู่ สบู่ในร้านมีขายอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ มีสบู่คาเมย์ มีลักซ์ มีสบู่หอมนกแก้ว มีสบู่ซันไลต์ มีสบู่กรด เดี๋ยวนี้คุณลองสั่งหลานไปซื้อสบู่สิ ไปซื้อสบู่ให้ยายหน่อยซิ ให้ป้าหน่อยซิ ให้อาหน่อยซิ มันจะแว้ดกลับมาทันที ป้า สบู่อะไร สบู่กันผิวชื้น สบู่ผิวแห้ง สบู่ดับกลิ่น สบู่ไม่มีกลิ่น เห็นหรือยังครับนี่คือความหลากหลาย ทุกอย่างมีความหลากหลาย อาหารเดี๋ยวนี้มันก็มีอาหารแบบฟิวชัน (fusion) อินเดียก็มีฟิวชัน จีนก็มีฟิวชัน ไทยก็มีฟิวชัน นี่คือความหลากหลาย
สาม Interdependence พึ่งพาซึ่งกันและกัน ทั้ง Cross Cultural ทั้งความหลากหลาย ต้องพึ่งพากันหมด มันเชื่อมโยงประสานไปหมดทุกอย่าง
และสุดท้ายก็คือ Networking ทั้งหมดนี้ก็จะเกิดเครือข่ายกันหมดเลย และนั่นคือที่มาของเทคโนโลยีซึ่งมันเชื่อมโยงตลอดไปหมด
ไลน์ ใช้กันเฉพาะประเทศไทยที่ไหนล่ะ ไลน์ใช้ที่ญี่ปุ่น ใช้ที่เกาหลี เอเชียทั้งหมดใช้ไลน์ ไปจนถึงอเมริกา จีนฉลาด จีนไม่ให้ไลน์เข้า ท่านผู้ชมที่ใช้ไลน์ลองไปจีนสิ ใช้ไม่ได้ เพราะจีนมันบังคับให้ใช้วีแชต จีนไม่ให้กูเกิลเข้า เพราะมันมีไป่ตู้ เพราะฉะนั้นแล้ว จีนเขามีตลาดที่ใหญ่พอ และจีนเขาต้องการพัฒนาสินค้าให้คนของเขาใช้ ในขณะที่ไลน์พอมาถึงเมืองไทย เมืองไทยไม่มีอะไรเลย เมืองไทยนี่เป็นเมืองที่พร้อมที่จะรับใช้ทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ โดยที่ตัวเองไม่มีจุดยืนของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
“ใช่เลย แม้กระทั่งเด็กเล็ก โลกมีแต่เดินหน้าต่อไป ไม่หยุดยั้งเลย เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง สมัยนี้ย่อโลกไว้ในมือคน ไกลเหมือนใกล้”
“ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ แต่อย่าตกเป็นทาสนะคะ” อ๋อ แน่นอนครับ อย่าตกเป็นทาสนะคะ แน่นอนที่สุด
“สมัยก่อนพ่อแม่ส่งธนาณัติไว้ให้ใช้จ่ายตอนเรียนหนังสือ ปัจจุบันโอนเน็ตแบงก์ส่งให้ลูก ง่ายและสะดวกมากค่ะ" ก็เพราะเหตุนี้ลูกถึงหลอกพ่อแม่ได้ตลอดเวลา สมัยก่อนนะ ผมจะเล่าให้ฟัง สมัยผมเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา มีคนๆ หนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเพื่อนรักผม ชื่อพิสิษฐ์ พิสิษฐ์ มีภรรยาคนหนึ่งชื่อคุณแดง เคยอยู่ธนาคารกสิกรไทย เกษียณอายุไปแล้ว มีลูกชายคนหนึ่ง ชื่อหนึ่ง พิสิษฐ์ ต้องการที่จะเอาเงินจากพ่อแม่ เงินพ่อแม่ส่งมาให้ช้า ไม่สำเร็จ สิ้นเทอมที พ่อก็จะโอนเงินมาให้ที เพื่อมาจ่ายค่าเทอม เงินที่เหลือก็เอามาจ่ายค่ากินอยู่ ค่าเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานเลี้ยงเมีย มีอยู่วันหนึ่งมันร้อนเงินมาก เพราะมันอยากจะกินเหล้า ไอ้นี่เป็นคนติดเหล้า แต่มันรอไม่ได้ มันไม่สามารถจะแจ้งไป โทรศัพท์ไป เพื่อจะให้พ่อกับแม่ส่งเงินมา มันต้องมีเหตุมีผล เพราะสมัยก่อน ... พวกคุณที่เคยไปเรียนต่างประเทศในยุคใหม่ๆ นี้ ไม่เหมือนสมัยผมไปเรียน สมัยผมไปเรียนนะ อย่าว่าแต่มือถือ เฟซไทม์เลย เอาแค่โทรศัพท์ซึ่งสามารถโทรตรงจากที่ผมอยู่กลับมาที่เมืองไทย ยังไม่มีเลย ทำไม่ได้ ต้องโทรศัพท์เข้าไปที่ศูนย์ ศูนย์ๆ หนึ่ง รัฐแต่ละรัฐมีศูนย์ แล้วบอกโอเปอเรเตอร์ว่า Operator, I want to call Thailand. The number is 12345678 เขาบอก hang up please, I would call you back. หลังจากนั้น 15 นาที เธอถึงจะโทรกลับมา Please, go ahead. เราถึงพูดได้ พิสิษฐ์ ต้องการที่จะเอาเงินจากพ่อแม่ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็โทรศัพท์ไปแบบนี้ โทรไปที่ศูนย์ แล้วก็โทรกลับไปที่เมืองไทย พ่อแม่รับ มันก็อ้อนบอกว่า แม่ หนูหนาว หนูหนาวมากแม่ หนูไม่สบาย อากาศที่นี่มันหนาวจริงๆ หวังว่าแม่คงจะเห็นใจส่งเงินมาให้มันเพื่อจะซื้อเสื้อผ้า ปรากฏว่าที่เจ็บที่สุดคือ อีก 7 วันต่อมา หรือ 10 วันต่อมา มันมีห่อมาเบ้อเริ่มเลยส่งมาถึงมัน แม่ส่งผ้าห่มและเสื้อหนาวมาให้ ก็เป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ
“สมัยทำงานออฟฟิศแถวสาทร ส่งแฟกซ์แผ่นละ 25 บาทค่ะ โหดมาก เพิ่งมาทราบภายหลังว่า ส่งครั้งละกี่แผ่นก็ได้ เมื่อก่อนร้านคิดเป็นแผ่น แผ่นละ 25”
“จริงค่ะ ตอนไลน์นำมาใช้ในไทยใหม่ๆ ไม่ชอบเลย บางครั้งใช้งานไร้สาระมาก แม้กระทั่งเป็นไลน์ในกลุ่มงาน”
“สมัยก่อนมีแต่จดหมาย สมัยนี้มีไลน์ ไกลเหมือนใกล้ จีบกันง่ายๆ มาก” จริงไหมครับ รักง่าย มันก็เลิกง่ายครับ
“คำถามค่ะ โซเชียลฯ กับโรคซึมเศร้า เดี๋ยวนี้คนเป็นกันเยอะมากเลยค่ะ โซเชียลฯ เกี่ยวข้องด้วยไหม” เกี่ยวข้องสิครับ ไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร ในเมื่อคุณไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ คุณมีปฏิสัมพันธ์กับเครื่องมือถือของคุณ และคุณมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งซึ่งคุณสัมผัสไม่ได้ คุณเพ้อฝัน คุณต้องการจะเห็นอันนั้น คุณชอบดูคลิป คุณชอบดูดารา คุณชอบดูนักร้อง เพราะฉะนั้นแล้วจิตใจคุณจะเริ่มสับสน สับสน แล้วพอคุณเริ่มมีอะไรผิดหวังคุณก็เริ่มกลับมาดูที่มือถือ แล้วคุณเห็นมือถือมันขายความบันเทิง ขายความสุขให้คุณ แต่ตัวคุณมีความทุกข์ มันก็เลยเป็นเหตุผลของการเป็นโรคซึมเศร้า
“สังคมก้มหน้า คุยกันน้อยลง ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเริ่มเหินห่าง -- ถ้าสาวมันยั่ว เลยหลวมตัวไปหน่อย -- ไม่ต้องรุ่นคุณสนธิหรอกครับ ขนาดรุ่นผม 23 ปีที่แล้ว ผมจีบแฟนคนแรกแล้วไปดูหนังกับแฟนคนแรก ตอนไปดูหนัง บังเอิญมือผมกับแฟนวางบนพนักเก้าอี้พร้อมกัน ผมกับแฟนมองหน้ากัน ใจเต้นตูมตามเลย แค่มือแตะกันนิดเดียวเอง ฮ่าๆๆ แตกต่างจากเด็กสมัยนี้แค่จับมือคงเฉยๆ กันไปแล้ว” เด็กสมัยนี้มันไม่จับมือกันหรอกครับ มันจูบกันในโรงหนังเลยนะครับ มันล้วงมันควักกันในโรงหนัง แล้วคนที่นั่งข้างๆ ก็สนุกสนาน แล้วก็แอบถ่ายคลิป พอแอบถ่ายคลิปเสร็จเรียบร้อยแล้วมันก็เอาไปทำ viral ให้ดังขึ้นมา
“ยุค 5G น่าจะเห็นอะไรที่ตื่นเต้นขึ้นไปอีก -- ยุคนี้เด็กท้องง่ายมาก” ก็อย่างที่ผมบอกนะครับ
“คำว่าอายในยุคปัจจุบันนี้ เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักกันแล้วนะคะ -- สมัยไม่มีพวกนี้อยู่ต่างประเทศยังยอมเสียเงินค่าโทร.และเขียนจดหมาย ปัจจุบันมีไลน์ มีอะไร ปรากฏว่าคุยกันน้อยลง ถึงไม่ได้คุยกันเลย”
“คำถามค่ะ เด็กที่ติดจอวันนี้ อนาคตจะเป็นโรคฮ่องเต้ซินโดรม ไหมคะ และส่งผลกับประเทศอย่างไร” เอ๊ะ ผมไม่รู้จักนะ โรคฮ่องเต้ซินโดรม
“สิ่งที่คุณสนธิเล่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ สมัยโบราณกับสมัยนี้ เวลาพูดให้หลานฟัง เขาบอกว่านั่นมันสมัยป้า”
ท่านครับ คนที่เขียนมาบอกว่าเด็กๆ มันบอกว่าสมัยป้า ตอบมันสิ ตอบมันว่า ความสัมพันธ์นั้นถ้าค่อยเพาะสร้างไป พอถึงจุดที่จะลงตัวแล้ว มันเป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้ เพราะมันสั่งสมมาทีละนิดๆๆ เมื่อมันสั่งสมมาทีละนิดๆๆ แล้ว พอมันสำเร็จแล้ว มันมีความชื่นใจ คุณสอนลูกหลานคุณสิว่า ลูกเข้าใจคำว่าชื่นใจไหม เหมือนตื่นขึ้นมาตอนเช้า อากาศมันสดใสมาก มีน้ำค้างอยู่บนใบไม้ต่างๆ อากาศมันดี ชื่นใจ นั่นคือการพัฒนาความสัมพันธ์ไปทีละขั้น ไปทีละตอน ความสัมพันธ์ที่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน งอนใส่กัน โน่นนี่นั่น และจนสุดท้ายมันยืดยาวไปจนถึงที่สุด ในที่สุดมันก็มีจุดจบที่ดี ถึงจะมีจุดจบที่ไม่ดี แต่อย่างน้อยที่สุด ช่วงกระบวนการความสัมพันธ์ตรงนี้มันยังตราตรึงซึ้งใจ ทำให้เราซาบซึ้งได้ คุณสอนลูก สอนหลานคุณสิ เข้าใจหรือเปล่าตรงนี้ มันไม่เหมือนสมัยนี้ แกส่งอีโมจิไป ส่งจูบไป เขาส่งจูบกลับมา อีกไม่เกิน 3 วัน แกเสียตัวให้เขาแล้ว มันคืออะไร มันก็คือ one night stand มันไม่ได้ต่างอะไรกับแกเดินเข้าไปในแมคโดนัลด์ แล้วซื้อแฮมเบอร์เกอร์อันหนึ่ง แล้วก็กัดกร้วมๆๆ พอกัดกินเสร็จแกก็เดินออก ของฉันไม่ ของฉันนี่ค่อยๆ ไปซื้อข่า ซื้อตะไคร้ ซื้อน้ำมัน ซื้อหมู ซื้อไก่ ค่อยๆ ทำกับข้าวมา พอเสร็จเรียบร้อยก็เอามาตั้ง แล้วก็กิน มันอร่อยและมันซาบซึ้ง
“ศัพท์ friend benefit คือมีอะไรกัน ไม่ผูกพัน สังคมเสื่อม” มันไม่ใช่ friend benefit นะครับ มันก็คือว่า เดี๋ยวนี้กามารมณ์ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงกลายเป็นเรื่องที่เหมือนกับเรากินข้าวกันทุกวัน ไม่รู้สึกเสียหาย ไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วก็สังเกตอย่างหนึ่งนะ ผู้ชายเวลาเข้าผับ ผู้ชาย 10 คนที่เข้าผับ เชื่อผมสิ ทั้งสิบนี้อยากจะหิ้วผู้หญิงออกไป แล้วก็ไปหาที่หลับนอนกัน แต่ในสิบคนก็อาจจะหลงเหลือแค่ 5 เพราะตัวเองไม่มีปัญญา อีก 5 คนมีปัญญา ผู้หญิงก็เช่นกัน ผู้หญิงที่ไปเที่ยวเป็นหมู่ ก็ไม่ใช่เพื่ออะไร ต้องการไปเฟลิร์ต ไป show off ไปยั่วสวาทผู้ชาย มีอยู่แค่นี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ให้ตายสิ
“กลับมาใหม่ๆ จะกอดเพื่อน เขาขืนตัว ฮ่าๆๆ -- เพิ่งรู้ความลับครูใหญ่สมัยหนุ่ม -- คิดถึงย่าที่เคยเล่าเรื่องสมัยย่ายังสาวให้เราฟัง -- ถ้าคนเราอยู่ในศีลห้า เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้น -- ชอบสังคมสมัยก่อนมากกว่าค่ะ -- ควรรู้จักความอายและกาลเทศะ แต่คงเป็นยากมากในยุคไฮเทค -- เรื่องส่งรูปทุกเช้ารัวๆ เกือบสิบรูป น่ารำคาญมากค่ะลุง” อ๋อ แน่นอนครับ ปกติธรรมดา เดี๋ยวนี้จะมีคนประเภทหนึ่งซึ่งโรคจิต แล้วมันไม่รู้จะไปหาสติกเกอร์มาจากไหน วันจันทร์สดใสน่าดู ขอให้มีความสุข วันอังคารอย่าลืมโน่นนี่ วันพุธ ... ตลอดเวลาส่งมา ไอ้เราพอรับมาทีไรก็กลุ้มใจ ส่งมาทำไม
“สมัยก่อนยุคคลุมถุงชน สมัยนี้ยุคคลุมถุงยาง” ถูกต้องครับ
“สร้อยหินที่ข้อมือทั้งสองข้างนั้นมีความหมาย?” ตายล่ะ คือวันที่ทำบุญ 7 ตุลาคม รำลึกในการเสียชีวิตของพันธมิตรฯ ที่ตายไป หลวงปู่เจริญ ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์จากจังหวัดราชบุรี ท่านไม่เคยมางานเป็นระยะเวลา 3 ปีที่ผมไม่อยู่ และท่านรู้ว่าผมออกมาแล้ว ท่านก็เลยมา แล้วจู่ๆ ผมไปกราบท่าน ท่านก็เป่ากระหม่อมให้แล้วท่านก็ล้วงเอาสร้อยนี้มาให้ผม แล้วท่านก็ใส่มือให้ผม ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องสิริมงคล และผมก็ไม่รู้ว่าท่านปลุกเสกมาหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไร ผมก็เลยใส่มาตลอด และผมก็ไม่ได้คิดว่าเป็นอะไร ผมถือว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ให้มา ก็เลยใส่
“เด็กนักเรียนในห้อง 30 คนอยู่กับพ่อแม่ สมบูรณ์แค่เพียง 6 คน นอกนั้นผู้ปกครองหย่าร้างกัน เสียชีวิตค่ะ เด็กๆ น่าสงสารมากเลย” ผมพูดไม่ผิดใช่ไหมครับ
“สมัยนี้มีไลน์ครอบครัว แล้วจะคุยกันในไลน์กลุ่ม ในครอบครัวจะไม่เจอหน้ากัน -- พ่อแม่ต้องดูแลลูกตัวเอง คนในครอบครัวตัวเองก่อนปล่อยออกมา เพื่อไม่ให้เกิดเป็นภาระของสังคม -- เราจบแค่ ป.4 แต่ลายมือสวยมากค่ะ เพราะชอบเขียน ชอบอ่าน -- เป็นสิ่งที่น่าปรับปรุงด่วนที่สุด พ่อขุนรามฯ เคือง อุตส่าห์ประดิษฐ์อักษรไทยมาให้ -- ลายมือเด็กสมัยนี้อ่านยากเหมือนผู้เฒ่าบอกเลยค่ะ -- ครูคะ ดิฉันยังแอบถามเพื่อนครูแถวมหาชัยของดิฉันค่ะ ว่านางสอนลูกศิษย์สมัย 5 ปีมาแล้ว เคยทำสถิติไหมว่า มีลูกศิษย์กี่คนที่มีการมีงานทำที่มั่นคง ดิฉันพูดด้วยความสงสารอย่างมาก จริงค่ะ ทั้งที่รู้ว่าอยู่บ้านให้พ่อแม่เลี้ยงไม่น้อยเลยค่ะ”
“ได้แค่ทำใจยอมรับว่าโลกมันเปลี่ยนไป ไม่หยุดยั้ง ไม่แม้แต่จะยั้งคิดก่อนทำตาม -- สมัยนี้เด็กไม่เข้าห้องสมุด เข้าแต่กูเกิล -- ตอนนี้ไม่มีเด็กเล่นหมากเก็บ เล่นกระต่ายขาหัก เล่นรีรีข้าวสาร เล่นกระโดดหนังยางกันแล้ว เด็กสมัยนี้อยู่ในสังคมก้มหน้ากันหมด ไม่เว้นแม้แต่ผู้ใหญ่ อยู่ในสังคมก้มหน้ากันหมดโลกไปแล้ว -- จริงค่ะ คนในครอบครัวไม่คุยกัน กับลูก อยู่บ้าน แต่อยู่กับเพื่อนในโทรศัพท์ -- ร้านกาแฟไง slow life -- พระสงฆ์ตัวดีเลยครับลุง รับเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กหลายคน -- เมื่อกี้มีข่าวว่าพระต่อคิวซื้อไอโฟน 11 ที่ไอคอนสยามอยู่ด้วยค่ะ -- สังคมก้มหน้า คุยกันน้อยลง ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวห่างเหิน น่ากลัวมาก -- ผัวเมียคุยกันผ่านไลน์เยอะ -- เบอร์โทรวัดไม่มีแล้ว ลองเปิดหน้าเฟซบุ๊กแต่ละวัด ติดต่อวัดปัจจุบันยากมากๆ -- เด็กไม่เข้าใจพอจะถามครูในชั้นเรียน ก็โดนด่า หาว่าโง่ โดนล้อบ้าง -- ทะเลาะกันด้วยค่ะ ทางไลน์มันง่าย” อันนี้จริง
ไลน์ มันทำให้คนที่ต้องการจะแสดงออก แต่มีความกลัว หรือมีความอาย สามารถแสดงออกได้ ฉันใดฉันนั้น ในเฟซบุ๊ก ผมสังเกตดู คนบางคนที่เกลียดผม มันดุเดือดเหลือเกิน ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ ยังไม่ตายอีกเหรอ ยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ ไอ้คนพวกนี้ก็คือคนซึ่งเวลาเจอต่อหน้า ไม่กล้าพูด ไม่กล้าเผชิญหน้า แต่พออยู่หลังคีย์บอร์ดแล้ว ไม่มีใครเห็นหน้า โอย เป็นเสือสิงห์ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งที่ตัวเองคือหมาขี้เรื้อนตัวนึงเท่านั้นเอง เป็นปกติธรรมดา
“สงสัยรู้ตัวจะตาย ต้องทำพินัยกรรมออนไลน์แล้วล่ะค่ะ -- ช่วงปี 2553 ดิฉันไปเยี่ยมเพื่อนฝูงพี่น้องดิฉันแถวนิวยอร์กอยู่หลายเดือน มีโอกาสเยี่ยมวัดไทย พบว่าพระสงฆ์ที่นั่นหลายรูปมีไอโฟนรุ่นล่าสุดอยู่แทบทุกรูป และดิฉันพบกับสังคมก้มหน้าครั้งแรกที่นิวยอร์ก ซึ่งอีก 2-3 ปีต่อมาก็เกิดขึ้นที่ไทยเต็มรูปแบบ -- ใช่ค่ะ ลูกอยู่ชั้นบน ไลน์ลงมาคุยกับแม่ชั้นล่าง -- แม่ค้าเอาหลาน 2 ขวบมาเลี้ยงตอนขายของ เขาโยนมือถือให้เล่น เด็กก็จะได้เงียบค่ะลุง บางคนตื่นนอนมามือก็ควานหาโทรศัพท์ นั่งข้างกันยังใช้ไลน์คุยกันเลย แปลกนะคะ คนบ่นเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี แต่แม่ค้าขายกระเป๋าออนไลน์คืนหนึ่งขายดีเป็นร้อยๆ ใบ -- ทุกวันนี้พ่อแม่จับเด็ก 6 เดือน ไลฟ์สดคุยกับญาติๆ แล้วครับ -- เราส่งไลน์สวัสดีกับญาติๆ และเพื่อนบ้านทุกวัน แต่พอเจอตัวจริงเขิน แอบๆ ไม่กล้าคุย เพราะใช้แต่ไลน์เป็นกิจวัตรประจำวัน -- เราส่งไลน์สวัสดีเพื่อนบ้านและเพื่อนทุกวัน -- เห็นด้วยกับคุณลุงสนธิ เทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เห็นด้วยทุกประการในเรื่องนี้ค่ะ ความสัมพันธ์ที่สามารถยุติได้ก็เพราะไอ้สังคมก้มหน้านี่ล่ะค่ะ น่ารำคาญมาก -- ถูกต้องครับ ลูกชายผมเขาเป็นหมอ 2-3 อาทิตย์เขาจะมาหาผมที เล่นแต่โทรศัพท์ คุยกันไม่เกินสิบคำ แก้ไขอย่างไรดีครับ -- คนสมัยนี้เป็นโรคซึมเศร้าเยอะมาก -- ขอบคุณที่เตือนสติ ฟังแล้วเราต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี -- จริงค่ะ ลูกสาวกำลังเรียนปริญญาตรี เขาก็ไม่อยากให้ไปยุ่งกับชีวิตเขามาก เขาบอกเขาคิดเป็น ไม่ต้องห่วง เราเป็นแม่ได้แต่เฝ้าดูลูกห่างๆ -- เห็นด้วยค่ะที่ให้อิสระทางความคิดกับลูกๆ เราดูลูกในระยะที่เหมาะสม”
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็เป็นเวลาที่พูดนานที่สุด แต่พูดเรื่องที่ใกล้ตัว เรื่องครอบครัว เป็นเรื่องที่มีเรื่องให้เราพูดเยอะ เพราะว่าผมอายุ 72 แล้ว ผมผ่านโลกมาเยอะ ผมเห็นอะไรต่ออะไรมามาก ลูกหลานผมก็มีมากมาย หลานผมก็มีมากมาย ผมก็ได้แต่เอาประสบการณ์ในชีวิตมาแนะนำ มามอบให้ เพราะฉะนั้นแล้ว เอาว่าวันนี้ถือว่าเป็นการโหมโรงแล้วกัน แล้วประมาณ 1-2 เดือน สักครั้งหนึ่ง เรามาคุยกันเรื่องส่วนตัว อาจจะมีเรื่องประเด็นอะไรหลายๆ อย่างที่ผมอยากจะพูดให้ฟังในการใช้ชีวิต วันนี้แตะแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ของสิ่งที่อยากพูด เพราะสิ่งที่อยากพูดยังมีอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปในยุคภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ไม่ว่าจะประคองตัวอย่างไร ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร และจะให้การศึกษาลูกแบบไหน ยังมีอีกมากมาย เอาเป็นว่าวันนี้เอาพอหอมปากหอมคอก็แล้วกัน ก็ถือว่านานๆ มากนะครับ ไลฟ์สดวันนี้ ยังไงก็ขอบคุณท่านผู้ชมมากนะครับ และท่านผู้ชมที่อยากจะร่วมทำบุญกับพวกเราก็อย่าลืม ว่าเราจะไปทอดกฐินที่วัดป่าภูแบก จ.เลย ถ้าต้องการที่จะร่วมทำบุญก็เชิญได้ที่หมายเลข 02-629-2948 หรือ 09-5586-4741
วันนี้ก็คงต้องลาไปก่อน แต่ว่าตามที่สัญญาไว้ จะมีเรื่องฮ่องกง เรื่องจีน เรื่องสงครามตะวันออกกลาง อิหร่าน กับซาอุดีอาระเบีย เรื่องสงครามการค้า เรื่องต่างๆ พวกนี้มาแน่นอน จะพยายามทำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร เพราะฉะนั้นอยากจะพูด อยากจะให้ความรู้คน แต่ความรู้มันมีเยอะเหลือเกิน และคำแนะนำ ตลอดจนการวิเคราะห์ ต้องวิเคราะห์ให้ถูก ผมก็จะพยายามออกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ช่วยไลก์กันเยอะๆ ฟอลโลว์มามากๆ แล้วแชร์กันไปเยอะๆ ความรู้ต่างๆ พวกนี้ อย่างไรก็ตาม ถ้ามันเป็นความจริง มันเป็นสัจธรรม มันไม่มีวันตายหรอกครับ สวัสดีครับ”