หลานเอ-บี ยันรับโอนหุ้นบ.วี-ลัคจาก "อาสมพร" หวังฟื้นฟูกิจการ แต่เมื่อไม่เพิ่มเงินลงทุน จึงเลิกกิจการ ย้ำเป็นหลานได้หุ้นหลักล้านไม่แปลก ระบุหลังเรียนจบจนปัจจุบันก็ได้รับการสนับสนุนมาตลอด
วันนี้ (18ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการไต่สวนพยานคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และ ส.ส. บัญชีรายชื่อถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัคมีเดียจำกัด เข้าข่ายทำให้สิ้นสมาชิกภาพส.ส.หรือไม่นั้น นายปิติ จรุงสถิตพงศ์ (หลานเอ) ได้ขึ้นเบิกความว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับหุ้นวี-ลัคมีเดีย โดยในวันที่ 14 ม.ค.62ได้รับการโอนหุ้นจากนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจมารดานายธนาธร และในวันที่ 21 มี.ค. 62ตนได้โอนหุ้นดังกล่าวคืนกลับไปยังนางสมพร เพราะก่อนหน้านั้นวันที่19มี.ค คุยแผนธุรกิจที่ประสงค์ให้นางสมพรลงทุนเพิ่มแต่นางสมพรไม่ตกลง จึงตัดสินใจโอนหุ้นคืนโดยตนและน้องชายไปโอนหุ้นที่บ้านพักของนางสมพร ในวันดังกล่าวมีพนักงานบริษัทไทยซัมมิทและทนายความเป็นพยาน ส่วนเอกสารเกี่ยวกับการโอนหุ้นนั้นไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดทำ แต่คิดว่าทางบ.ไทยซัมมิทเป็นผู้ดำเนินการ โดยในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 19 มี.ค.มีรายละเอียดเรื่องการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น 5 คน ในจำนวนดังกล่าวมี กมลฉัตร จึงรุ่งเรืองกิจ นายทวี จรุงสถิตพงศ์ด้วย ทั้งนี้การโอนรับหุ้นในวันที่ 14 ม.ค. และโอนคืนในวันที่ 21 มี.ค. ไม่มีการชำระเงิน ใดๆ กับหุ้นตัวนี้
ต่อมานายทวี จรุงสถิตพงศ์ (หลานบี) เบิกความว่า ประกอบธุรกิจส่วนตัว กรณี บ.วี-ลัคมีเดียนั้น ตนเข้าไป เกี่ยวข้องเพราะได้รับหุ้นมาจากนางสมพร โดยในวันที่ 14 ม.ค. 62 ทำสัญญาโอนหุ้นที่บ้านนางสมพร ซึ่งตนเดินทางไปพร้อมกับนายปิติ (พี่ชาย) เมื่อไปถึงบ้านของนางสมพรในเวลา 19.00 น. ได้พบกับนางสมพร เจ้าหน้าที่บัญชี 2 คน และทนายความ ซึ่งมีการเตรียมเอกสารไว้พร้อมแล้ว โดยตนรับโอนหุ้นมาเพื่อฟื้นฟูกิจการ เอาธุรกิจมาทำใหม่ เนื่องจากเรียนจบสาขานิเทศศาสตร์ หลังจากได้รับมอบหมายได้ใช้เวลาอยู่ระยะหนึ่งในการ วิเคราะห์แผนธุรกิจมานำเสนอ 2 แนวทาง คือการปรับโครงสร้างจากสื่อสิ่งพิมพ์มาเป็นอีบุ๊ค หรือเพิ่มเป็นผู้พิมพ์ด้วยเนื่องจากมีเทคโนโลยีการพิมพ์แบบใหม่ๆ แต่ทั้ง 2 แนวทาง นางสมพรต้องเพิ่มเงินลงทุน ต่อมาเมื่อนางสมพรตัดสินใจไม่ทำธุรกิจต่อ ตนจึงโอนหุ้นคืนให้ในวันที่ 21 มี.ค. ซึ่งในวันดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่บัญชีกับทนายความร่วมเป็นพยาน โดยในการโอนหุ้นไม่มีการชำระเงินค่าหุ้นแต่อย่างใด
จากนั้นนายทวีได้ตอบข้อซักถามของทนายความโดยอธิบายถึงการโอนหุ้นที่เป็นทรัพย์สินมูลค่าหลายล้านบาทจากนางสมพร ว่า ตนได้รับการสนับสนุนจากนางสมพรตั้งแต่เรียนจบ และมีสถานะเป็นหลานชาย ก่อนหน้านี้เคยได้รับโอกาสให้เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ ซึ่งตนเป็นผู้ลงแรง ส่วนนางสมพรเป็นผู้ลงทุน จนถึงปัจจุบันนางสมพรก็ยังให้การสนับสนุนในหลายๆด้าน นอกจากประกอบธุรกิจส่วนตัวแล้ว ยังมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปสนามไดรฟ์กอล์ฟเบอร์ดีไฟว์ของนางสมพร ซึ่งตนดูแลมานานเกือบ 7 ปี
ต่อมานายพิพัฒน์พงศ์ รุจิตานนท์ ทนายความ เบิกความว่า มีอาชีพเป็นทนายความมานานกว่า 1 ปี ทำคำรับรองเอกสารการโอนหุ้น เอกสารตราสารโอนหุ้น ในวันที่ 14 ม.ค. ได้จัดทำเอกสาร 2 ฉบับ โอนหุ้นจากสมพรไปให้กับนายทวีและนายปิติ และในวันที่ 21 มี.ค.โอนหุ้นจากนายทวีและนายปิติไปยังนางสมพร โดยในการโอนหุ้นทั้ง 2 วัน ทำกันที่บ้านของนางสมพร ระหว่างการโอนหุ้นทั้ง 2 ครั้ง มีนางลาวัลย์และนางกานต์ฐิตาเป็นพยาน และได้นำอากรสแตมป์ไปติดในเอกสารด้วย
หลังเสร็จสิ้นการไต่สวนพยาน 10 ปากตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ศาลได้แจ้งคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายว่า ศาลนัดฟังคำวินิจฉัยคดีนี้ในวันพุธที่ 20 พ.ย.นี้ เวลา 14.00 น. และให้คู่กรณีส่งคำแถลงปิดคดีภายในเวลา 15 วัน นับจากวันนี้