ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ถึง “ลุงตู่”จนได้ ! นายกฯไม่ไหวจะทน ผลงานคมนาคม “ลุยถั่ว”ข้อพิพาททางด่วน ร่อนหนังสือสั่ง 3 รองฯ สมคิด-วิษณุ-อนุทิน หาทางจบ
กรณียุติข้อพิพาททางด่วนยืดเยื้อมาเพราะ คมนาคม ภายใต้ "รมว.ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" แสดงศักดาอำนาจ ดึงเรื่องไว้มานาน... เริ่มจากว่าไปที่ คณะรัฐมนตรีชุดประยุทธ์ 1 “มั่วมาก”ไม่ให้อำนาจแก่กระทรวงคมนาคมในการแก้ปัญหา เรื่องนี้ต้องขอแก้มติครม. ให้อำนาจมาอยู่ที่ “รมว.”ตัวเขาคนเดียวเท่านั้น... เรียกว่า ข้อพิพาทระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ต้องมาว่ากันใหม่
ทั้งๆที่ เรื่องนี้ สมควรยุติลงไปนานแล้วจริงๆ ไม่ใช่ปล่อยให้ดอกเบี้ยค่าชดเชยวิ่งอยู่ทุกวันแบบนี้
ปัญหาข้อพิพาทนี้ ถ้าจำได้ "รัฐบาลประยุทธ์ 1" ไม่ต้องการจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินมูลค่าเป็นแสนล้าน ก็ต่อรองกัน เจรจากันกับเอกชน เพราะจะได้นำเงินงบประมาณไปใช้ประโยชน์แก่ประชาชนในด้านอื่นๆ ที่จำเป็น โดยที่"ลุงตู่" ย้ำไว้ว่า ประชาชนต้องได้ประโยชน์
นี่คือ การเจรจาต่อรอง และมีเงื่อนไขต่างๆ ระหว่าง กทพ. กับ BEM และจะก่อสร้าง “ทางด่วนชั้นสอง””Double Deck”ก็มาตอนนั้น ไม่ได้มาจาก ครม.สั่ง ให้มีทางด่วนชั้นสอง แต่มาจากการเจรจา เพราะครม.สั่งมาให้เจรจาบนผลประโยชน์ประชาชน ซึ่งการที่ประชาชนจะได้ใช้ทางด่วนชั้นสองโดยไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางเพิ่ม ถือว่าประชาชนได้ประโยชน์ และ กทพ.ไม่ต้องลงทุนเอง แถมได้รับส่วนแบ่งรายได้เพิ่มอีกต่างหาก
ที่สำคัญ การเจรจาต่อรอง กทพ.ได้นำเสนอผลและแนวทางต่างๆ ให้ ครม.ตู่ 1 ทราบหมดแล้ว โดยได้ผ่านการพิจารณาของรัฐมนตรี "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" และรัฐมนตรีช่วย"ไพรินทร์ ชูโชติถาวร" คือผ่านมาทั้งกระทรวงคมนาคม รวมทั้งผ่านการพิจารณาจากทั้งรองนายกฯ "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ที่กำกับดูแลงานด้านเศรษฐกิจ และรองนายกฯ ด้านกฎหมาย "วิษณุ เครืองาม" ขณะนั้นมาด้วย
ว่ากันว่า งานที่ผ่านมือทั้งรองฯสมคิด และรองวิษณุ ขณะนั้นต้องจัดว่าสำคัญ เพราะสัญญาทางด่วนเป็นสัญญาร่วมทุน ต้องทำตามพ.ร.บ.ร่วมทุน การเจรจาต้องผ่าน กทพ. กรรมการกำกับดูแล ม.43 และ กรรมการPPP (รองสมคิดเป็นประธานแทนนายกฯ) ดูแลภาพรวม เจรจาจบเสนอ ก.คมนาคม เสนอครม. ไม่ใช่ให้อำนาจ“ศักดิ์สยาม” จะทำอย่างไรก็ได้
ประชาชน เอกชน แม้แต่กทพ. ก็เข้าใจว่า รัฐบาลประยุทธ์ 1 ให้เจรจายุติข้อพิพาททั้งหมด โดยมีข้อเรียกร้องเพิ่มกับเอกชนต้องทำประโยขน์ให้ประชาชนด้วย เจรจาจบผ่านกรรมการร่วมทุน อัยการ สภาฯ ก็รับรองมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงคณะทำงานของคมนาคม ก็เห็นด้วย
ทว่า รมว.ศักดิ์สยาม บอกอยากเปลี่ยน ซื้อเวลา ขอให้ตัด Double Deck ออก ทั้งๆ ที่นายกฯ ร้องขอมา
รมว.ศักดิ์สยาม ว่า ที่ผ่านมา มั่ว สรุปทุกคนมั่วหมด ? ตัวท่าน รมว.ถูกคนเดียว !
ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีหนังสือให้รองนายกรัฐมนตรี 3 คน ได้แก่ นายวิษณุ เครืองาม, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ นายศักดิ์สยาม ในฐานะ รมว.คมนาคม ประชุมหารือกันในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้จบ
งานนี้ ร้อนไปถึงนายกฯจนได้ "ลุงตู่" เลยต้องทำอะไรเด็ดขาด เพราะ รมว.ของท่าน ที่กำลังเมามันในการใช้อำนาจ อหังการ์ ท่ามกลางข้อครหาร่ำลือกันเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ให้เร็ว ไม่งั้นมันจะกลับมาทิ่มแทงรัฐบาล .. ที่ทำมา 5 ปี ก็ไร้ค่า
ความสงบต้องจบที่ ลุงตู่ อีกแล้วครับท่าน.
**จากไฮสปีด มาถึงผลประโยชน์ทับซ้อน-ธุรกิจVSการเมือง และเครดิตประเทศ "เสี่ยหนู" อนุทิน กับกระแส “Conflict of Interest”ไม่พูดเยอะ เจ็บลิ้นไก่ ชีวิตดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอื้อธุรกิจครอบครัว กวักมือเรียก “CPH” กล้าๆ หน่อย ถือปากกามาด้ามเดียวพอ งานนี้วัดใจกัน
กระแสอื้ออึง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” Conflict of Interest ระหว่างพ่อค้า-นักการเมือง “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข โพสต์ระบายในเฟซบุ๊กเมื่อวาน “ไม่พูดเยอะ เจ็บลื้นไก่ “โดยบอกว่า...
"ชีวิตดีแล้ว มั่นคงมาก ไม่จำเป็นต้องเอื้อธุรกิจของครอบครัวหรือของใคร ถ้าไม่เอื้อของตัวเองแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไปเอื้อใคร และจะใช้ความสามารถ และประสบการณ์ทั้งหมดที่มี รักษาผลประโยชน์ให้บ้านเมือง รับมือกันให้อยู่ก็แล้วกัน ใครกันแน่ที่จะเอาเปรียบรัฐ ใครกันแน่ที่พยายามเลี่ยงไม่ทำตามผลของการประมูล ใครกันแน่ที่พยายามขอให้รัฐผ่อนปรนเพิ่มประโยชน์ให้ตัวเอง ไม่ต้องไปบีบสื่อให้ออกข่าว งานนี้ง่ายมาก ทำตามเงื่อนไขที่รัฐประกาศไว้ ไม่ต้องวิ่งเต้น ไม่ต้องจ่าย เอาปากกามาด้ามเดียว แล้วเซ็นสัญญา กล้าๆ หน่อย พร้อมสนับสนุนทุกอย่างให้ทำงานโดยสะดวก ราบรื่น ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่พูดเยอะ เจ็บลิ้นไก่"
"อนุทิน ชาญวีรกูล" และ รมว.ในโควตาพรรคภูมิใจไทย ที่กำกับดูแล คมนาคม "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" จะทราบหรือไม่ว่า วันนี้ เอกชน-ข้าราชการ แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาล เริ่มกังวลกับพฤติการณ์ของท่านแล้ว
เพราะนโยบายที่ขัดแย้ง รัฐบาลชุดก่อน “กวนน้ำให้ขุ่น”ในโครงการใหญ่หลายโปรเจกต์ ทั้งๆ ที่คนนั่งหัวโต๊ะ ทุบโต๊ะให้ความเห็นชอบมาแล้วก็คือ" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" คนเดียวกันนี้เอง เพราะอยากจะเป็น “พระเอก”เสียทุกงาน ความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจของเอกชน ที่จะเข้ามาร่วมลงทุนกับภาครัฐ ชักส่งสัญญาณไม่ดี...
ถ้า"เสี่ยหนู" ทำได้อย่างที่โพสต์ ชีวีตดีแล้ว มั่นคงมาก ไม่จำเป็นต้องเอื้อธุรกิจครอบครัว ย่อมเป็นสิ่งที่ดี มีคนสรรเสริญอยู่แล้ว แต่เรื่องของเรื่อง ความเป็นไป "สมการอำมหิต" ที่เขาว่ากัน ล้มไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน ที่กลุ่ม CPH เป็นผู้ชนะ แล้วแนวทางที่ว่า จะเรียกรายที่สอง กลุ่ม BSR ที่มี “ซิโน-ไทย”ธุรกิจครอบครัวของอนุทิน มาเจรจาแทน หรือมองข้ามช็อตไปเมื่อ “แบล็กลิสต์”คู่แข่งทางธุรกิจอย่าง "ช.การช่าง และ อิตาเลียนไทย" จากงานนี้เพื่อประโยชน์ของการประมูลเมกกะโปรเจกต์อื่นๆ ของคมนาคม จะได้สะดวกโยธิน
สมการนี้มันย้อนแย้งกับที่ท่านว่ามาจริงๆ !!
กรณีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ทุกฝ่ายอยากให้สำเร็จ รู้อยู่แล้วว่าการรถไฟฯ หรือรฟท. มีแต่ปัญหา การส่งมอบพื้นที่ไม่ได้แน่ๆ นักวิชาการ ผู้รู้ต่างๆแม้แต่เอกชนที่ชนะ ทักท้วงมาแล้ว ทำไมไม่เคลียร์ แต่นี่กลับไปเร่ง ไปขู่ ให้เซ็น ขีดเส้นตายวันนั้น วันนี้ ถ้าไม่เซ็นจะ"Blacklist" แล้วบอกว่ามีอะไรให้ช่วย มาบอกหลังเซ็นได้ ใครจะไปกล้า!
สุดท้ายถ้ายอมก็จ่ายแพง สู้กันก็เป็น“ค่าโง่”ก็จะกล่าวหาว่า เอกชนโกงอีก หาว่าข้าราชการทุจริตอีก โดยไม่รู้ตัวว่า ตัวเองนี่แหละอาจจะเป็นคนทำให้เกิด"ค่าโง่" ตัวจริง
"อนุทิน"... จะให้ดีก็ต้องใช้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ ไม่ต้องพูดกันมากให้เจ็บลิ้นไก่ เดดไลน์ วันที่ 25 ตุลาคม นี้ ที่ถูกเลื่อนมาจาก วันที่ 15 ตุลาคม "อนุทิน" ควรจะสนับสนุนทุกอย่างให้ทำงานโดยสะดวก ราบรื่น เหมือนที่โพสต์ไว้หรือไม่
ทำทุกอย่างให้โปร่งใส ความน่าเชื่อถือประเทศ และเครดิตของรัฐบาลลุงตู่ ก็จะเพิ่มขึ้นอีกโข
** แบน 3 สารพิษ เรื่องเครียดของ 2 รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ที่เป็นหนังหน้าไฟ ทำเอา"มนัญญา-เฉลิมชัย" ต้องเข้าโรงพยาบาลกันทั้งคู่
เรื่อง "แบน" 3 สารเคมีเกษตร "คลอร์ไพริฟอส พาราควอต ไกลโฟเซต" มีความคืบหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนภาครัฐ ตัวแทนผู้นำเข้าสารเคมี ตัวแทนเกษตรกร และ ตัวแทนฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภค มาร่วมประชุมเพื่อพิจารณากัน โดยมี "มนัญญา ไทยเศรษฐ์" รมช.เกษตรและสหกรณ์ นั่งหัวโต๊ะ (8ต.ค.)
การประชุมใช้เวลาหลายชั่วโมง บรรยากาศเป็นไปด้วยความเครียด เพราะฝ่ายตัวแทนผู้นำเข้าสารเคมี ย่อมปกป้องผลประโยชน์สุดฤทธิ์ ตัวแทนภาครัฐที่เป็นข้าราชการ ก็ อ้างระเบียบ ข้อกฎหมาย กลัวถูกฟ้องร้อง ติดคุกติดตะราง ตัวแทนฝ่ายเกษตรกรถามว่าถ้าแบน 3 สารเคมีนี้แล้ว จะใช้อะไร จะมีสารตัวไหนมาทดแทน ... ส่วนตัวแทนฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภคเห็นว่า มาตรการ "จำกัดการใช้" สารเคมี 3 ตัวนี้ ที่บอกว่า ใครไปซื้อสารเคมี ต้องมีใบอนุญาตการใช้จากหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ จึงจะซื้อจากร้านค้าได้ ...ซึ่งมันไม่จริง เพราะตอนนี้ใครจะซื้อ ก็เดินเข้าไปซื้อได้เลย แถมเจ้าของร้านยังถามว่า ทำไมไม่ซื้อตุนไว้เลยล่ะ ... เห็นได้ชัดว่ามาตรการจำกัดการใช้นี้มัน "ล้มเหลว"
"รมช.มนัญญา" บอกว่า "ฝ่ายยื้อ" ก็เอาแต่ข้อมูลเก่าๆ มาอ้าง โดยไม่ฟัง "ข้อมูลใหม่" ที่ผลวิจัยชี้ชัดว่า "3สารพิษ" นี้ เป็นอันตรายทั้งตัวเกษตรกรผู้ใช้ ประชาชนผู้บริโภค พืชผัก ผลไม้ กุ้งหอย ปู ปลา ต้องเสี่ยงกับสารพิษตกค้าง ต้องเป็นโรคร้าย "ตายผ่อนส่ง" สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติถูกทำลาย ทั้งดิน ทั้งน้ำ อีกทั้งกระแสสังคมก็ตื่นตัว ออกมาเรียกร้องให้ "แบน 3 สารพิษ" โดยเร็ว ...ในที่สุด "รมช.มนัญญา" ต้องตัดสินใจเล่นบท "ทุบโต๊ะ" ประกาศต่อที่ประชุมว่า จะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ... มติที่ประชุมจึงออกมาเป็น 9-0 ให้ "แบน 3 สารพิษ" ห้ามครอบครอง ห้ามจำหน่าย ห้ามนำเข้า ห้ามผลิต และ ให้มีผลวันที่ 1 ธ.ค.นี้
เมื่อคณะกรรมการ 4 ฝ่าย มีมติให้”แบน” แล้ว ต่อจากนี้ก็จะต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ "คณะกรรมการวัตถุอันตราย" ที่มีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ 29 คน เป็นกรรมการ ว่าจะลงมติ แบน หรือ ไม่แบน ต่อไป ...
นี่แค่เพียงผลสำเร็จขั้นต้นยังทำเอา "รัฐมนตรีหญิงเหล็ก” ถึงกับเครียดจัด มึนหัวหนึบ ต้องเข้า"แอดมิต" ที่โรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ฉีดยาคลายเครียด...
ขณะที่ "เฉลิมชัย ศรีอ่อน" รมว.เกษตรฯ ก็เครียดไม่แพ้กัน... เพราะมีข่าวว่าถูกกดดันอย่างหนัก จากฝ่ายที่ต้องการให้ "ยื้อ" ออกไปก่อน ซึ่งมีทั้งอดีตข้าราชการที่ผันตัวไปเป็นผู้นำเข้า ได้สต๊อก 3 สารเคมีนี้ เป็นมูลค่านับพันล้านบาท ยังมีอดีตข้าราชการ ที่ไปเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทค้าสารเคมีข้ามชาติ คอยเก็บค่าต๋ง นำเข้าสารเคมี ลิตรละ 1 บาท ส่งให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงอีก
และเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (9 ต.ค.) ก็มีตัวแทน”สายยื้อ” จาก "สมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย" พร้อมเกษตรกรกว่า 50 คน เข้ามายื่นเรื่องคัดค้านการยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ขณะเดียวกันก็มี ตัวแทน ”สายแบน” จากมูลนิธิชีววิถี หรือ "ไบโอไทย" ก็ได้เดินทางมายื่นหนังสือสนับสนุนให้มีการยกเลิกการใช้ 3 สารเคมีโดยเร็ว ทำให้บรรยากาศที่กระทรวงเกษตรฯ คุกรุ่น เต็มไปด้วยความขัดแย้งของทั้ง 2 กลุ่ม ...ขณะที่ "รัฐมนตรีเฉลิมชัย" เตรียมจะประชุม พูดคุยกับทั้งสองฝ่าย ก็เกิดอาการหน้ามืด "วูบ" ไป จนต้องนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งต่อมาทราบว่าอาการดีขึ้นแล้ว...
เห็นความรุนแรงของฤทธิ์ "3สารพิษ" หรือยัง... ขนาด 2 รัฐมนตรีที่เปรียบเสมือน"หนังหน้าไฟ" ต้องคอยรับหน้าจากฝ่ายยื้อ และฝ่ายต้าน ยังเจอโรคเครียดลาม ถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลกันทั้งคู่