เมืองไทย 360 องศา
ทำเอาหลายคนต้องแปลกใจ ตกใจระคนกันไป เมื่อได้เห็นภาพแบบเคลื่อนไหวของ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายคนโตของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังจากเข้าให้การต่อศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีสมคบกันฟอกเงินจากกรณีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย โดยการปรากฏตัวดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็ย่อมสังเกตเห็นว่าเขาซูบผอมจนผิดรูปไปจากเดิมมาก อีกทั้งอากัปกิริยาท่วงท่าก็ยังมีลักษณะที่แปลกไปจากเดิม จนมีการสอบถามกันไปว่า “เจ็บป่วย” เป็นโรคอะไรหรือเปล่า
อย่างไรก็ดีจากการสื่อสาร ตอบคำถามทั้งกับฝ่ายที่เป็นแฟนคลับพวกเดียวกัน หรือฝ่ายตรงข้ามที่เข้าไปสอบถามแบบอยากรู้อยากเห็น ก็ได้รับคำตอบกลับมาจากบรรดาคนใกล้ชิด เช่น น้องสาวทั้งสองคน ไม่ว่าจะเป็น “เอม” พิณทองทา “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ต่างก็ยืนยันว่าไม่มีอะไร เป็นเพียงแค่ย้ำว่า “อาจเป็นเพราะตื่นเต้น เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่”ในชีวิต” หรือแม้แต่เจ้าตัวก็ยังออกมาโพสต์ในโชเชียล ยอมรับว่า เป็นเรื่องที่หนักสุดในชีวิต และเครียดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใครไม่โดนกับตัวเอง ไม่รู้หรอก
หรือแม้แต่คำพูดที่บอกว่า “ในยุคนี้ ลูกทักษิณ หาโอกาสที่จะอยู่แบบสบายๆยากมาก” ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับสองข้อความแรกที่ย้ำว่าตัวเองรู้สึกเครียดมาก และเป็นเรื่องที่หนักที่สุดในชีวิต ก็ต้องบอกว่าใช่ แต่สำหรับเรื่องหลังที่ว่า ลูกทักษิณ หากโอกาสอยู่สบายนั้นยากมาก นั้นอาจมีความเห็นแย้งกลับไปบ้างเหมือนกันกับคำว่าการเป็นลูกทักษิณ แล้วหาโอกาสอยู่สบายนั้นยาก ซึ่งก็อยากถามกลับไปเหมือนกันก็แล้วแต่จะเลือกอยู่แบบไหนด้วย
เพราะหากย้อนกลับไปพิจารณากันถึงต้นตอในแทบทุกเรื่องก็ต้องเริ่มจาก “พ่อ” ของเขาคือ ทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นมา ตั้งแต่เริ่มได้รับสัมปทานดาวเทียม ทำธุรกิจสื่อสาร ล้วนแล้วแต่มีข้อติฉินทินทา เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาที่รุนแรง ตั้งแต่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับ “เผด็จการรสช.”ในยุคนั้น มาจนก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ก็มีข้อกล่าวหาในเรื่อง “ซื้อกันยกพรรค” ข้อกล่าวหาในเรื่อง “ซุกหุ้น” กรณีทุจริตซื้อที่ดินธรณีสงฆ์ ทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ สารพัดและนำไปสู่คำสั่งยึดทรัพย์นับหมื่นล้านตามมา และยังมีหลายคดีที่ค้างคาอยู่ในศาล หรือแม้แต่คดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่แม้ว่าศาลจะยกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ก็สามารถโยงต่อเนื่องมาถึง “โอ๊ค” ในคดีสมคบกับฟอกเงินจนใก้ถึงจุดไคลแม็กซ์เต็มที และจนได้เห็น “สภาพ”ของเขาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจนนำไปสู่การพูดจากันไปต่างๆนานาตลอดสัปดาห์ที่แล้วดังกล่าว
คำถามก็คือ แม้เป็นลูกของ ทักษิณ หากเลือกหนทางที่สงบ เรียบง่ายมาตั้งแต่ต้นก็ยังไม่ตกอยู่ในสภาพแบบที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ซึ่งแม้แต่ “ โอ๊ค”พานทองแท้ ก็ยังยอมรับสภาพแล้วว่า “สาหัส”ที่สุดในชีวิต ซึ่งใครไม่เป็นก็คงไม่เข้าใจ ก็ต้องยอมรับว่าใช่จริงๆ เพราะหากพิจารณาจากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 พฤศจิกายน เวลา 10.00 น. มันก็เหมือนกับการ “นับถอยหลัง”แล้ว เพราะงานนี้มันเดิมพันด้วย “คุก”เท่านั้น ว่าจะออกไปในทางบกหรือลบ เป็นใครก็ต้องเครียดอยู่แล้ว
และที่สำคัญสำหรับ พานทองแท้ ชินวัตร นาทีนี้เมื่อศาลนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 25 พฤศจิกายน นั่นก็หมายความว่า ทุกสายตาจะจับจ้องไปที่เขาเป็นจุดเดียว ซึ่งหากเป็นแบบนี้เป็นใครก็ต้องอึดอัด เพราะไม่อาจเคลื่อนไหวได้โดยสะดวก และยิ่งใกล้ถึงกำหนดเมื่อใด ก็ยิ่งถูกจ้องมองเพ่งเล็งยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับตั้งคำถามว่า “จะหนีมั๊ย” แม้ว่าเขาจะย้ำตอบคำถามนักข่าวว่า “จะไป(ศาล)” ก็ตาม แต่ก่อนหน้านี้ ทั้งพ่อและอา(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ก็พุดทำนองนี้มาแล้วหรือกัน แต่ผลออกมาตามที่เห็นกันอยู่ในเวลานี้
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งผลจากกรณีก่อนหน้านี้ นั่นคือกรณีของ พ่อและอา มันก็กลายเป็นแรงกดดันเข้าใส่ พานทองแท้ มากกว่าเดิมหลายเท่า นั่นคือหากสมมุติว่าเขา “จะหนี” จริงๆ แม้ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้การเคลื่อนไหวทำได้ยากลำบากมากกว่าเดิม เพราะเชื่อว่าต้องถูกจับจ้องทุกฝีก้าว ที่สำคัญจากสังคม หากปล่อยให้ลอยนวลไปอีก ฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็จะกลายเป็นฝ่ายต้องตกที่นั่งลำบาก โดนด่าเปิงแน่
ส่วนในมุมของ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ก็แน่นอนว่าต้องเครียดเป็นธรรมดา ความรู้สึกเหมือนกับที่เขาได้ถ่ายทอดออกมาให้เห็นแล้ว โดยเฉพาะการที่โดนคดีอาญาที่กำลังลุ้นเรื่อง “คุก” หรือไม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งในสภาพที่ควบคุมไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะออกทางไหน แบบนี้แหละมันยิ่งเครียด เป็นใครก็ต้องเครียดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าการที่บอกว่า เป็นลูกทักษิณ หาโอกาสอยู่แบบสบายนั้นยากมาก ก็อาจไม่ใช่เสมอไป เพราะหากเริ่มต้นไม่เป็นแบบนี้ มันก็ย่อมสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายได้ รวมทั้งตัวของ ทักษิณ ชินวัตร ด้วย แต่เมื่อทุกอย่างกำลังจะสรุปแล้ว มันก็ต้องเป็นไปตามกรรมนั่นแหละ !!
