xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ SONDHI TALK กับบทบาทใหม่ “ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง” เตรียมไลฟ์สดทอล์กโชว์ร่วม “ชูวิทย์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“สนธิ”ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก SONDHI TALK ย้อนอดีตต่อสู้เผด็จการ “ปลุกประชาชนให้ตื่น”กลายเป็นยี่ห้อ จนผู้มีอำนาจหาทางเอาเข้าคุก เกือบ 3 ปีในเรือนจำได้ทบทวนตัวเอง สรุปบทเรียนไม่ให้ใครหลอกใช้อีก พร้อมเผยบทบาทใหม่เป็น“ผู้เฒ่าเล่าเรือง”ถ่ายทอดองค์ความรู้-ประสบการณ์ชีวิต ไม่พามวลชนลงถนนอีก เตรียมสร้างเซอร์ไพรส์ ทอล์กโชว์ร่วม “ชูวิทย์”



วันนี้(27 ก.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ทำการไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ” โดยได้กล่าวย้อนหลังถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำจากกรณีการนำบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไปค้ำประกันบริษัทในเครือ ซึ่งในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2540 หลายคนก็ทำ ส่วนใหญ่โดนโทษปรับ แต่กรณีของตนกลับไม่ให้แค่ปรับ เนื่องจากในช่วงนั้นได้ออกมาเปิดโปงเรื่อง ปรส.ทำให้นักการเมืองที่ดูแล ก.ล.ต.อยู่สั่งการให้ดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม คดีของตนธนาคารไม่ได้รับความเสียหายอะไร ได้รับชำระหนี้คืนหมด ผู้ถือหุ้นก็ไม่เสียหาย เพราะไม่มีใครมาฟ้อง

นายสนธิ กล่าวว่า ในการเข้าไปอยู่ในเรือนจำก็มีความพยายามที่จะให้ตนอยู่ในนั้นให้นานที่สุด มีการออกระเบียบก่อนที่ตนเองจะเข้าไปไม่กี่วัน ไม่ให้นักโทษที่เข้าไปใหม่ทำชั้นเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งก็กระทบผู้ต้องขังที่เข้าไปใหม่ทุกคนที่จะไม่มีโอกาสทำชั้นเพื่อได้สิทธิในการลดโทษ จึงมีการร้องเรียนและมีการยกเลิกการห้ามทำชั้นในที่สุด นอกจากนี้ มีการเพิ่มความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์เข้าไปในบัญชีแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เพื่อให้ตนได้ลดโทษในอัตราที่น้อยลง แทนที่จะได้ลดครึ่งหนึ่ง กลับได้ลดแค่ 1 ใน 3 อย่างไรก็ตาม มีผู้ต้องขังคนหนึ่งที่ถูกจำคุกในคดีปั่นหุ้น เห็นว่าเขาควรจะได้ลดโทษครึ่งหนึ่ง เพราะความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ตามบัญชีแนบท้าย เจตนารมณ์น่าจะต้องการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐในสาขาการเงิน และสถาบันกการเงิน ส่วนเขาเป็นแค่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้คนไปเล่นหุ้น จึงมีการยื่นร้องไปที่ศาล และศาลก็เห็นด้วย เพราะฉะนั้นเขาจึงเข้าเงื่อนไขได้ลดโทษครึ่งหนึ่ง ตนก็เข้าเข้าเงื่อนไขนี้เช่นกัน ประกอบมีอายุ 70 ปีขึ้นไป จึงได้รับการปล่อยตัวทันที

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่อยู่ในเรือนจำ ทำให้ได้ทบทวนตัวเอง ในการต่อสู้ที่ผ่านๆ มา ตั้งแต่ในยุค รสช. มาถึงการต่อสู้กับนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้รับบทเรียนว่า การออกไปต่อสู้ที่ผ่านมา เหมือนตนเองถูกหลอกใช้ เพราะตนไม่ได้เล่นการเมือง เมื่อต่อสู้จบ นักการเมืองก็เข้ามาเอาประโยชน์ จนในที่สุดต้องตัดสินใจสลายแกนนำพันธมิตรฯ และตั้งปณิธานไว้ว่าต่อจากนี้จะไม่ให้มีใครมาหลอกใช้อีก

อย่างไรก็ตาม นายสนธิกล่าวว่า ไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ทำมาในอดีต ตั้งแต่การต่อสู้กับ รสช.เป็นต้นมา และภูมิใจที่ได้มีส่วนช่วยให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ ตรงนี้เป็นยี่ห้อของตน จึงทำให้รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ใช้อำนาจเผด็จการ พยายามจะเอาตนเข้าคุกให้ได้ ในยุคที่สู้กับนายทักษิณ มีกระทั่งทีมสังหารที่พยายามลอบฆ่า กลั่นแล้งทุกอย่าง ฟ้องด้วยคดี 112 กดดันสร้างมวลชนขึ้นมาต่อสู้ เอามวลชนมาชนมวลชน แต่ยิ่งแกล้ง คนยิ่งเข้ามาเป็นพวกมากเท่านั้น

นายสนธิ กล่าวอีกว่า วันนี้ไม่ได้เข้าข้างพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้เข้าข้างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่พูดจากประสบการณ์ อะไรก็ตามของคนๆ หนึ่ง หรือกลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตามหรือผู้ชื่นชมเขา คือคนรุ่นใหม่ ถ้าเราไปแกล้งเขามากขึ้น หรือเข้าไปบีบเขามากขึ้น ใครจะไปรู้ พรรคอนาคตใหม่ก็อาจจะต้องการที่จะถูกยุบพรรคก็ได้ เพราะถ้ายุบเมื่อไร คนที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคอนาคตใหม่ ก็จะเฮกัน แต่นั่นคือการย้อนประวัติศาสตร์ในยุคที่ตนสู้กับนายทักษิณ ก็จะมีคนอีกมากมายมหาศาลเห็นใจพรรคอนาคตใหม่หรือนายธนาธรขึ้นมาทันที ตรงนี้ต้องขอเตือนเอาไว้ก่อน พูดอย่างผู้ใหญ่ที่ผ่านและมีประสบการณ์มา

นายสนธิกล่าวว่า ช่วง 27 วันหลังได้อิสรภาพ มองชาติบ้านเมือง ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ยกตัวอย่าง กรณีการแบนสารพาราควอตที่เป็นอันตรายต่อประชาชน ก็ยังปล่อยให้คน 29 คนมากำหนดชีวิตคนไทย 65 ล้านคน ทั้งที่ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ รมช.เกษตรและสหกรณ์ประกาศจะให้เลิก หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรีก็เปลี่ยนจุดยืนหันมาสนับสนุนให้มีการแบน แต่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กลับนิ่งเงียบ ถ้ากรรมการ 29 คนมีปัญหานัก ทำไมไม่เสนอ ครม.ให้ยุบแล้วตั้งขึ้นมาใหม่ ปล่อยให้สารพิษพวกนี้มาทำร้ายประชาชนต่อไปได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในช่วง 4-5 ปีกว่าที่ผ่านมา คือข้าราชการกลับมามีอำนาจ จนประเทศไทยวันนี้กลายเป็นรัฐราชการ หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร ดึงออกไปช่วงหนึ่งแต่เป็นการทำเพื่อตัวเองครอบครัวและพวกพ้องตัว และเมื่อ คสช.เข้ามาก็นำข้าราชการกลับเข้ามาอีกครั้ง เพราะนายกฯ และสมาชิก คสช.ล้วนเป้นข้าราชการประจำ

นายสนธิ กล่าวถึงสิ่งที่จะทำต่อไปในอนาคตว่า 72 ปีของคนๆ นี้ ผ่านอะไรในชีวิตมามาก องค์ความรู้ทั้งหมด ประสบการณ์ทั้งหมดที่มี วันนี้ไม่ต้องการเป็นแกนนำมวลชนอีกต่อไป จึงขอทำบทบาทใหม่ โดยจะเป็น “ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง” เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยหรือเหตุการณ์ต่างประเทศ โดยรูปแบบใหม่นี้ อยากให้พันธมิตรฯ พันธุ์แท้ใจเย็นๆ เพราะว่าตนได้ตกผลึกแล้วว่า จริงๆ แล้วไม่มีใครถูก 100 เปอร์เซ็นต์ หรือผิด 100 เปอร์เซ็นต์ เวลามีเรื่องมีราวขึ้นมา สิ่งหนึ่งซึ่งเราขาดอย่างมากๆ คือความเข้าใจของอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้เราต้องพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงคิดอย่างนี้ เพราะอะไรเขาถึงคิดอย่างนี้

ทั้งนี้ อาจจะมีเซอร์ไพรส์ โดยการจัดไลฟ์เฟซบุ๊กในลักษณะทอล์กโชว์ที่โรงละครแห่งหนึ่งมีคนเข้ามาฟังสัก 500 คน ไม่คิดเงิน และสนทนากับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นประจำ ในประเด็นที่ไม่ใช่เฉพาะการเมืองอาจเป็นเรื่องชีวิตครอบครัว การเลี้ยงลูก หรือปัญหาของคนรุ่นใหม่ เป็นต้น

“ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง" จะมาเล่าเรื่องฟังต่างๆ นานา เล่าเรื่องจากประสบการณ์ชีวิตของผม เล่าเรื่องจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วท่านอาจจะรู้ หรืออาจจะไม่รู้เลยก็ได้ ขอให้ทุกท่านมีความสบายใจได้ว่าผมจะใช้ชีวิตส่วนที่เหลือทำหน้าที่ผู้เฒ่าเล่าเรื่องให้ดีที่สุด แต่อย่าหวังว่าผมจะนำท่านลงถนนอีก หมดยุคไปแล้ว”นายสนธิกล่าว

คำต่อคำ SONDHI TALK : 27 กันยายน 2562

สวัสดีครับท่านผู้ชม และพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหลาย ที่กำลังรอดูผม สนธิ ลิ้มทองกุล ไลฟ์สดอยู่ในขณะนี้ ต้องพูดว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมาเปิดใจในทุกๆ เรื่องกับพ่อแม่พี่น้องและท่านผู้ชมทั้งหลาย ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน ที่ผมได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ปล่อยตัวออกมา วันนี้ก็เป็นวันที่ 27 แล้ว ขาดอีก 3 วันก็จะครบ 1 เดือนเต็มที่ผมออกมาข้างนอก

วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวเกี่ยวกับตัวผม เพื่อที่จะให้ทุกๆ ท่านที่ดูรายการนี้อยู่ได้เข้าใจและปราศจากข้อสงสัย

เหตุที่ต้องเข้าเรือนจำ

ผมโดนคดีพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากว่าผมได้เอาบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปค้ำประกันบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ โดยที่ไม่ได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้น เมื่อไม่ได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว รายงานทั้งหลายที่ทำออกไปก็เป็นรายงานเท็จ ข้อมูลก็เป็นข้อมูลเท็จ ไปค้ำประกันบริษัทๆ หนึ่ง ชื่อบริษัทเอ็มกรุ๊ป ซึ่งไปกู้เงินธนาคารกรุงไทยมาประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยที่เอาหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นอาคาร ก็คืออาคาร 15 ชั้น ที่อยู่ริมถนนพหลโยธิน บวกกับหุ้นต่างๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไปค้ำประกัน ซึ่งมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ไปค้ำประกันนั้นสูงกว่ามูลค่าหนี้ที่ไปกู้มา แต่ว่าทางธนาคารกรุงไทยก็ยังต้องการให้ผมเอาบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปค้ำประกันเพิ่มเติม ก็เลยเอาไปค้ำประกัน ยุคนั้นเป็นยุคพุทธศักราช 2540 เป็นยุคที่เศรษฐกิจล่มสลาย ทุกๆ คนที่อยู่ในวงการธุรกิจต่างก็ทำกันเช่นนี้ทุกคน เป็นร้อยๆ คน ที่พูดนี่เพื่ออธิบายสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น แต่ไม่ใช่เป็นข้ออ้างในการที่จะมาลบล้างความผิดที่ผมกระทำลงไป

เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว ก.ล.ต. ก็ดำเนินการที่จะตรวจสอบบริษัทต่างๆ ก็มีหลักการว่า ถ้าใครทำผิดแล้วก็ไปรายงาน ก.ล.ต. ก.ล.ต.จะปรับรายละ 5 แสนบาท แล้วเรื่องก็จบสิ้นไป ผมก็ไปรายงานตัว แต่เผอิญ ก.ล.ต. ได้รับคำสั่งจากนักการเมืองมาไม่ให้ปรับ ให้ดำเนินคดีผม อาจจะเป็นเพราะเหตุผลตอนนั้นผมเป็นผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การที่ตั้งกลุ่ม ปรส.ขึ้นมาเพื่อรับซื้อหนี้สินต่างๆ ของประชาชนคนไทย และมีฝรั่งเข้ามา แล้วก็เอามาขายต่อให้กับคนไทยในราคาแพง ซื้อไปราคาถูก การวิพากษ์วิจารณ์ของผมนั้นค่อนข้างจะรุนแรงมาก ก็เลยทำให้ผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้นสั่ง ก.ล.ต.ว่า กรณีของผมไม่ให้ปรับ ให้ดำเนินคดี นั่นคือที่มาของมัน

หลักการง่ายๆ ที่ผมจำเป็นต้องชี้แจงให้ท่านผู้ชมรับทราบเอาไว้ก็คือว่า ธนาคารฯ ไม่ได้เสียหายอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะธนาคารฯ ได้หนี้สินคืนหมดทุกบาททุกสตางค์ หลักฐานที่มีอยู่ก็คือคำให้การของผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ซึ่งฝ่ายอัยการ ซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์นั้น เขาได้เชิญมาเพื่อให้การ และเมื่อถูกซักถามโดยทนายฝ่ายจำเลย คือผม ว่าธนาคารมีการเสียหายไหม ผู้จัดการธนาคารกรุงไทยก็ให้การอย่างชัดเจนว่า ธนาคารกรุงไทยไม่ได้เป็นผู้เสียหาย เพราะฉะนั้นการที่มีคนมโนว่าผมโกงเงินธนาคารกรุงไทยไปนั้น ก็ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

ย้ำไม่ใช่โกงแบงก์

ส่วนผู้ถือหุ้น มีการเสียหายไหม ไม่มี เพราะว่าไม่มีผู้ถือหุ้นใดมาฟ้องผม เพราะฉะนั้นแล้ว หลักการสองข้อนี้ก็คือว่า ผมไม่ได้โกงเงินธนาคารกรุงไทยเลยแม้แต่บาทเดียว เพราะว่าธนาคารกรุงไทยได้ทรัพย์สินไป แล้วก็ขายออก ปรากฏว่าได้หนี้คืนหมดทุกบาททุกสตางค์ ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจ แต่มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ คนที่เกลียดผม ก็จะบอกว่าคนโกงแบงก์ 1,500 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้โกงเลย ผมเพียงแต่เข้าไปค้ำประกัน และธนาคารได้เข้ามา

ผมจำเป็นที่จะต้องสู้ แต่ว่าในที่สุดแล้วผมก็ได้รับการติดต่อมาจากวงการยุติธรรม ว่า คดีนี้ไม่ใช่คดีร้ายแรง ก็เลยให้ผมสารภาพ ผมก็เลยสารภาพ เมื่อสารภาพแล้ว เผอิญกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับผมนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มคุณทักษิณ ชินวัตร ก็เลยทำให้คดี แทนที่จะจบลงได้ด้วยดี ก็กลับเป็นการต่างกรรมต่างวาระ ผมก็เลยโดนตัดสินจำคุก 85 ปี หลายๆ กรรม หลายๆ วาระ แต่เนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาตให้จำคุกเกิน 20 โทษก็ลดเหลือ 20 ปี ผมก็เดินเข้าเรือนจำคลองเปรม เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

สูญเสียที่สุดในชีวิต

เมื่อเข้าไปไม่นาน วันที่ 3 ตุลาคม ภรรยาของผม คืออาจารย์จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ก็ได้สิ้นใจไป ก็มีการทำศพ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตผม ผมยังจำได้ว่าวันนั้นลูกชายผม เลขาฯ ผม ได้เข้าไปพบผมเป็นพิเศษ เพื่อรายงานว่าภรรยาผมเสียชีวิตแล้ว ผมจำได้ว่าผมร้องไห้ออกมาโฮ เหมือนกับเด็กคนหนึ่งซึ่งถูกห้ามกินขนม ไม่เคยร้องไห้หนักหนาสาหัสขนาดนั้น จนกระทั่งลูกชายต้องมากอดผม แล้วก็บอกว่า ป๋าๆ แม่ไปดีแล้ว ป๋าอย่ากังวลใจอีกต่อไป แน่นอนที่สุด ความชอกช้ำใจของผมตรงที่ว่า ผมไม่ได้อยู่เคียงข้างปุ๊ คือภรรยาผม ในตอนที่เสียชีวิต กับความเสียใจที่ไม่ได้อยู่ในงานศพของเขา แต่ผมจะต้องถือโอกาสในขณะนี้กราบขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน และทุกๆ ท่านที่ไปร่วมงานศพของปุ๊ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ในวันที่เผานั้น เข้าใจว่ามีคนไปเป็นหมื่น ต้องกราบขอบพระคุณในความเมตตาที่ทุกท่านมี

2 ปี 11 เดือน กับ 27 วัน ที่ผมอยู่ในคุก อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเสียใจมากหลังจากที่ภรรยาผมเสียชีวิตไปแล้ว และได้ร้องไห้ไป และผมก็ได้เสียน้ำตาอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 13 ตุลาคม เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระองค์ท่านทรงสิ้นพระชนม์ ผมรู้แต่ว่า เหมือนกับผมโดนฟ้าผ่า 2 ครั้งติดๆ กัน ครั้งแรกอาจจะเป็นการผ่าที่ปานกลาง แต่ครั้งที่ 2 วันที่ 13 ตุลาคมนั้น เป็นการฟ้าผ่าที่ผมเสียใจมากที่สุดในชีวิตของผม เพราะว่าผมเป็นคนที่รักพระเจ้าอยู่หัวอย่างมากๆ และผมก็ลุกขึ้นมาสู้เพื่อพระองค์ท่านในยุคที่ยังไม่มีใครกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาสู้ ผมเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางเพื่อต้องการให้พระองค์ท่านไม่โดนบุคคลต่างๆ ใช้อำนาจทางการเมืองมาจาบจ้วง ตลอดจนคนที่มีเครื่องแบบในขณะนั้นก็ไม่ทำอะไรออกมาปกป้อง ผมจึงต้องออกมาปกป้องและนำพี่น้องประชาชนออกมาปกป้องพระองค์ท่าน ตรงนี้ต้องถือว่าเป็นจุดที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตของผม

อยู่ในคุก ด้วยความสงบ

2 ปี 11 เดือน กับ 27 วัน ที่ผมอยู่ในคุกนั้น ผมอยู่ด้วยความสงบ ทำไมผมถึงอยู่ได้ ไม่มีปัญหา เพราะว่าผมอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันคือ ที่นี่คือคุก เรือนจำ ปัจจุบันผมคือนักโทษ เมื่อผมยอมรับว่ามันเป็นคุก มันเป็นเรือนจำ และผมเป็นนักโทษ ผมก็ต้องยอมรับระเบียบกติกาต่างๆ ที่เขามีอยู่เพื่อควบคุมนักโทษ ผมทำตัวให้ตรงตามระเบียบ แน่นอนที่สุด กางเกงขาสั้น ใส่รองเท้าแตะ ขึ้นห้องประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง เปิดห้องอีกครั้งก็ประมาณ 6 โมงครึ่ง 15 ชั่วโมงที่อยู่ในห้องขัง เป็น 15 ชั่วโมงที่อาทิตย์แรกค่อนข้างจะทรมานกาย ทรมานใจ แต่ว่าเมื่อทำใจได้แล้ว มันก็ค่อยๆ ปรับตัวไป

ท่านผู้ชมครับ ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เจ้าหน้าที่ที่ดูแลผมและดูแลผู้ต้องขัง ก็ดูแลเท่าเทียมกันหมด เจ้าหน้าที่มีทั้งดีและมีเลวอยู่บ้าง แต่คนดีมีมากกว่า เจ้าหน้าที่บ้าอำนาจก็มี อย่างเช่น สั่งห้ามไม่ให้นักโทษที่ต้องเดินข้ามจากเรือนจำคลองเปรมเพื่อไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แล้วสั่งให้ทุกคนต้องถอดรองเท้าและเดินเข้าโรงพยาบาล ผมไม่เคยเข้าใจตรรกะและเหตุผลอันนี้ จะว่านักโทษซ่อนข้าวของในรองเท้าแตะ ก็ทำไม่ได้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของความบ้าอำนาจ และที่น่าเสียใจก็คือ ผู้บัญชาการเรือนจำคลองเปรม ตลอดจนผู้อำนวยการส่วนควบคุม ก็ยังไม่ยอมแก้ไขหลักการนี้ คนบางคนเป็นเบาหวาน คนบางคนเดินไปเหยียบตะปู คนบางคนเหยียบกรวดจนเท้าเป็นแผล เพียงเพราะว่าความบ้าอำนาจของเจ้าหน้าที่บางคนเท่านั้นเอง ตรงนี้ที่ผมอยากให้แก้ไข

ท่านอธิบดีคนปัจจุบัน พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ ท่านเป็นคนที่ดีมาก ท่านพยายามที่จะแก้ไขหลายๆ อย่าง ที่สำคัญที่สุด ท่านสั่งเด็ดขาด ไม่ให้เจ้าหน้าที่ถูกตัวผู้ต้องขังเด็ดขาด เมื่อเร็วๆ นี้ สัก 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ ปรากฏว่ามีผู้ต้องขังคนหนึ่งได้เข้าไปในเรือนจำธัญบุรี เข้าไปแค่วันเดียวแล้วก็ตาย ผู้บัญชาการเรือนจำนั้นถูกย้ายไป เหตุผลที่ถูกย้ายก็เพราะว่า เมื่อเปิดกล้องวงจรปิดแล้วก็ปรากฏว่าผู้ต้องขังคนนี้เป็นคนที่เกเร เข้าห้องน้ำ คนที่อยู่ในห้องน้ำนั้นช้า ทำงานช้า ปฏิบัติตนช้า ก็เลยกระโดดเตะ ก็เลยโดนผู้ต้องขังด้วยกันรุมซ้อมจนตาย แต่ที่โดนย้ายก็เพราะว่าไปปกปิดข้อเท็จจริง ไม่ยอมเล่าความจริงให้ฟังว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหน้าที่ไปซ้อมผู้ต้องขังตาย

“คุก”ไม่มีอะไรให้ประทับใจ

ในเรือนจำ ถามว่าผมมีอะไรประทับใจไหม ไม่มีครับ คนอยู่คุกจะมีอะไรประทับใจ อาหารการกิน ก็อย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบแล้วว่า พอแหลกล่าย ก็คือ มีอะไรมาก็ทานอย่างนั้นไป แต่ที่อำมหิตที่สุด อำมหิตมากๆ และผมไม่รู้ว่าใครเป็นต้นตอเรื่องนี้ ผมอยากให้ทุกคนจำเอาไว้ คือการที่มีคำสั่งมาจากกรมราชทัณฑ์ให้ผู้ต้องขังทุกคนต้องนอนด้วยผ้าห่ม 3 ผืน หนึ่งผืน ก็คือปูพื้น ซึ่งขรุขระและไม่เรียบ อีกหนึ่งผืน ม้วนเพื่อทำเป็นหมอน อีกหนึ่งผืนก็คือเป็นห่ม ห่มกาย ปรากฏว่า กว่าครึ่งของผู้ต้องขังที่อายุมาก ล้วนแล้วแต่เป็นโรคหลังทั้งสิ้น ผมก็ได้โรคหลังเพิ่มขึ้นจากที่ผมเป็นอยู่แล้วจากการที่ไปประท้วงในเวทีพันธมิตรฯ ที่ผมต้องนอนกับดินกินกับทราย ก็ค่อนข้างดีขึ้น แต่พอมาเข้าเรือนจำแล้วมาเจอกติกาที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด ที่ตอบโต้ผู้ต้องขังไม่เหมือนมนุษย์ ผมคิดว่าสิ่งที่ผมจะพยายามต่อสู้ต่อไปเพื่อให้กับผู้ต้องขังก็คือว่า ให้ดูเขาเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ถึงเขาจะเป็นผู้ต้องขัง แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์ เขามีสิทธิที่จะได้รับสิทธิเบื้องต้นหลายๆ อย่างที่เขาควรจะได้รับ

ผมทำอะไรบ้างตอนที่อยู่ในคุก ผมคิดอะไรอยู่ ข่าวสารที่อยู่ในคุกมันหายไปหมด ไม่ได้อ่านหนังสือ ไม่สามารถเข้าอินเทอร์เน็ต ไม่สามารถจะเข้าไปในเว็บไซต์นิวยอร์กไทมส์ วอชิงตันโพสต์ อยู่ท่ามกลางนักโทษฆ่าคนตาย ล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน ยิงคนตาย ยิงเมียกับยิงชู้ตาย ฉ้อโกงประชาชน มีแต่ทีวีที่ผมได้ดูข่าว เพื่อที่จะสะสมประสบการณ์ ข้อมูลเอาไว้ เพื่อจะมาวิเคราะห์ แต่ก็ได้ดูไม่นาน เพราะว่านโยบายของเรือนจำต้องการให้ผู้ต้องขังมีแต่ความบันเทิง ก็เลยบังคับให้ดูช่อโมโน 29 เพราะฉะนั้น ท่านผู้ชมครับ ผู้ต้องขังที่เข้ามาในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง หนึ่ง เข้าไปอย่างสุขภาพที่พอใช้ได้ สอง เมื่อถูกปล่อยตัวออกมาก็จะพิการ หรือกึ่งๆ พิการ โดยที่ได้นอนผ้าห่มสามผืน ซึ่งท่านอธิบดีท่านกำลังแก้ไขอยู่ในขณะนี้ โดยมีการสั่งซื้อที่นอนยางพารา แต่เนื่องจากงบประมาณมีไม่พอ และที่ทราบว่า ที่ซื้อมาแล้วบางเรือนจำ ได้รับของแล้ว ก็ไม่แจกให้ผู้ต้องขังนอน ผมคิดว่าผู้บัญชาการเรือนจำหลายๆ แห่ง เป็นคนที่มีปัญหาในเรื่องความคิด และเป็นคนที่ไม่มีความเมตตาเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้มองผู้ต้องขังเป็นมนุษย์ หลายคนมองผู้ต้องขังเป็นเศษมนุษย์ ผมก็ไม่ได้ประหลาดใจถ้าเขาจะมองผมเป็นเศษมนุษย์อีกคนหนึ่ง ทีวีก็เลยเปลี่ยนจากช่องข่าว กลายเป็นช่องโมโน 29

แต่ทั้งหมดที่พูดมานี้ ท่านผู้ชมต้องเข้าใจว่า นักโทษที่เลวมันก็เลวจริงๆ ไม่หลาบจำ อยู่ในระเบียบ ยังไงก็แหกกฎ แหกระเบียบ แอบขโมยเอาโทรศัพท์มือถือเข้ามา หรือว่ามียาเสพติดเข้ามา เพราะฉะนั้นก็ต้องมีการลงโทษไป แต่คนที่ตั้งใจทำดี และเป็นนักโทษชั้นดี ชั้นดีมาก ชั้นเยี่ยม และปฏิบัติตามกฎระเบียบ ก็ไม่ได้รางวัลอะไร ควรที่จะแยกคนสองกลุ่มนี้ออกมาให้ชัด

เกือบ 3 ปีในคุก ได้ทบทวนตัวเอง

ท่านผู้ชมครับ 2 ปี 11 เดือน 27 วันนั้น ผมได้อยู่กับตัวผมเองอย่างมากมายมหาศาล การได้อยู่กับตัวเองในครั้งนี้ ยิ่งกว่าการที่ได้อยู่กับตัวเองสมัยที่ผมไปบวช ผมไปบวชและจำวัดที่วัดป่าบ้านตาด กับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ คือหลวงตามหาบัว การอยู่กับตัวเองมันมีข้อดี มันทำให้เราคิดอะไรต่ออะไรได้มากมายมหาศาล เรามานั่งทบทวนชีวิตของเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราทบทวนในยุคสมัยก่อนที่เราจะลุกขึ้นมาประท้วงทักษิณ ชินวัตร และในระหว่างที่ประท้วงทักษิณ ชินวัตร เราก็พอมองเหตุการณ์ต่างๆ และเข้าใจดีว่า ในที่สุดแล้ว ประชาชนที่ประท้วงก็คือคนที่ถูกหลอกมานั่นเอง มาหลอกเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แล้วพวกที่หลอกเรา ผู้ที่มีอำนาจทีหลัง ก็เหยียบศพพวกเราขึ้นไปมีอำนาจ ผมถึงพูดไง (ขอประทานโทษในการใช้คำพูด) ว่า กูจะไม่ให้มึงมาหลอกใช้กูอีกต่อไปแล้ว จากนี้ไป

การหลอกใช้แบบนี้ ถ้ามองทบทวนไปดีๆ มองย้อนหลังไปดีๆ ก็จะเห็น ในการประท้วงในช่วงแรกๆ นั้น ท่านผู้ชมทราบใช่ไหมว่า คนที่ขึ้นมาต่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร ที่มีอำนาจล้นฟ้าในเวลานั้น คุมตำรวจ คุมทหาร คุมอัยการ คุมบางส่วนของศาล และมีเงินมีทอง มีอำนาจรัฐ ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาประท้วงเลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมจำเป็นต้องสู้กับคุณทักษิณ ที่ผมต้องสู้กับคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณริดลอนสิทธิเสรีภาพในการรับทราบข่าวสาร ด้วยการยกเลิกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งตอนนั้นประธาน อสมท คือคุณเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ซึ่งปัจจุบันเป็นอดีตอัยการสูงสุดไปแล้ว แต่ก็ยังมีตำแหน่งแห่งที่อยู่ในกรรมการบริษัทบางบริษัทอยู่ ผมขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ และผู้อำนวยการ อสมท ในยุคนั้นคือคุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์

ย้อนอดีตสู้กับเผด็จการ

ผมต้องสู้เพราะผมมีความรู้สึกว่า เมื่อผมเริ่มวิพากษ์วิจารณ์คุณทักษิณ ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ผมก็เริ่มถูกคุกคามในหลายๆ เรื่อง จนกระทั่งรายการถูกถอด วันที่รายการถูกถอดนั้น ผมกลับมานั่งคิดในใจของผมว่า จะทำอย่างไรต่อไป มีคนมากระซิบบอกผมว่า สนธิ ทำไมจะต้องไปต่อต้านทักษิณ ถ้าสนธิไปร่วมมือกับเขา สนธิจะได้อะไรก็ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สนธิต้องการ มันคล้ายๆ กับในยุคที่ รสช. รุ่น 5 เข้ามายึดอำนาจ กลายเป็นผมคนเดียวในวงการสื่อมวลชน ที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล ผมต่อต้านไปทางสื่อมวลชน ผมออกความเห็น ผมเขียนหนังสือ ผมเขียนบทความ จนกระทั่งมีผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือมากคนหนึ่ง นัดผมไปเจอที่ล็อบบี้โรงแรมรีเจ้นท์ แล้วบอกกับผมว่า สนธิ มีแต่คนอยากเป็นเพื่อนกับสนธิ เพราะสนธิเป็นคนไม่กลัวตย และสนธิคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ถ้าสนธิไม่พูดถึงคนๆ นี้หน่อยได้ไหม สนธิจะเอาอะไรเขาก็ให้หมด ผมจำได้ ผมตอบไปว่า พี่ครับ ผมพออยู่ได้ ผมไม่เดือดร้อนอะไรทั้งสิ้น โดยหลักการแล้ว ถ้าเขาทำงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ผมไม่มีอะไรจะไปต่อต้านเขา ไม่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นก็เลยทำให้ผมคิดถึงว่าวันที่ผมสู้กับคุณทักษิณ มีคนมาพูดกับผมเช่นนี้ ก็เหมือนกับมีคนมาพูดกับผมในยุค รสช. เช่นกัน

เมื่อผมออกมา ผมจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจ ผมก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าอยู่แบบนี้ มีชีวิตอยู่ ไม่สู้ตายไปยังจะดีเสียกว่า ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร วันนั้นผมมีเงินมีทอง ผมมีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 2 บริษัท ผมคิดว่าผมจำเป็นต้องใช้เงินทองก้อนนี้เพื่อสู้ต่อไป ในยุคที่ รสช. เข้ามา ยุคนั้นเป็นยุคที่ รสช. ส่งคนมาลอบสังหารผม ที่ทำงานผม ซึ่งอยู่ข้างๆ บ้านพระอาทิตย์ สมัยนั้นยังอยู่ในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง โชคดีที่ผมได้แผ่เมตตาให้ความกรุณา มีบุญคุณกับทหารรับใช้คนหนึ่ง ซึ่งเขามีลูกสาว และเขาเรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ แล้วลูกสาวเขาได้ทุนที่จะไปเรียนต่อที่ LSC : London School Economics แต่เนื่องจากไม่มีเงินค่าใช้จ่าย เขาก็จำเป็นที่จะต้องยกเลิกทุนไป ผมทราบเรื่อง เพราะเขาทำงานอยู่กับผม ผมก็เลยให้ทุนเขาไป ออกค่าใช้จ่ายให้หมดทุกอย่าง จนกระทั่งพ่อเขาซึ่งเป็นทหารรับใช้ชั้นประทวน ยศจ่าสิบเอก มีหน้าที่เสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟกาแฟ เสิร์ฟเครื่องดื่มในที่ประชุม เป็นที่ไว้วางใจ ก็มีการพูดคุยกันในกลุ่มรุ่น 5 บางคน คำพูดมีดังต่อไปนี้ ว่า "ไอ้สนธิมันเป็นคนที่ขอไม่ให้ ซื้อไม่ขาย ต้องฆ่ามัน" เขาก็ตกใจ เพราะว่าผมช่วยลูกสาวเขา เขาก็เลยมารอผมพร้อมภรรยา ที่ทำงานผม รอพบจนกระทั่งเจอแล้วก็เล่าให้ฟัง คืนนั้นผมก็เลยเริ่มออกเดินทางจากประเทศไทย ผมจำได้ มันเป็นความลับที่ผมจำเป็นต้องเปิดเผยในวันนี้ เพราะว่าวันนี้ผมอายุมากแล้ว ประวัติศาสตร์อะไรบางอย่างที่ควรจะรู้ก็จะต้องรู้ ผมก็ไปเจอคนที่มาส่งผม และผมเรียกประชุมที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ คนๆ หนึ่งที่นั่งอยู่ในนั้น คือคุณชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย ผมก็บอกกับทุกคนว่าผมจะไปแล้ว ในขณะนั้นทุกคนรอพึ่งพาอาศัยผมอยู่ อาจจะเป็นเพราะว่า หนึ่ง ผมมีสื่ออยู่ในมือ และสอง ผมมีเงิน ผมก็เลยเซ็นเช็คใบหนึ่งทิ้งเอาไว้ให้คุณชัชวาลย์ ต่อหน้าทุกคน บอกว่า เอาเงินก้อนนี้ไปเบิก โดยไม่ได้ใส่ตัวเลข มาดูแลพี่น้องประชาชนที่ประท้วง ด้วยเช็คใบนั้นก็เลยทำให้การชุมนุมในยุคนั้น ที่ต่อต้าน รสช. ที่พี่จำลอง ศรีเมือง ถูกจับในที่สุดนั้น พี่น้องประชาชนก็ได้ข้าวกินกันจากเงินก้อนนี้

นอกจากนั้นแล้ว ก่อนผมไป ผมยังเรียกประชุมพลพรรค เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงานที่อยู่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ว่าตอนนี้เขาสั่งไม่ให้รายงานอะไรก็ตามที่เป็นอันตรายต่อ รสช. คุ้นๆ ไหม อำนาจเผด็จการแบบนี้ ผมก็บอกว่า ตอนนั้น ในขณะนั้น โทรศัพท์มือถือยังไม่มี ไม่เหมือนสมัยนี้ ที่มีทั้งเฟซบุ๊ก มีโน่นมีนี่ ผมจำได้ด้วย วันนั้น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประชุมอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานี มีคนเข้าไปฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ น.ต.ประสงค์ พูด แต่อีกฟากหนึ่งของเมือง คือแถวๆ สนามหลวง ประชาชนมากันอย่างล้นหลามเพื่อต่อต้านรุ่น 5 รสช. เผด็จการในยุคนั้น ผมก็เลยสั่งให้เขาพิมพ์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันฉบับพิเศษ ไซส์ขนาดแท็บลอยด์ พิมพ์ออกมาเป็นแสนๆ เล่ม แล้วผมก็ให้คนเอาหนังสือนั้นไปแจกทั่วกรุง ทั้งๆ ที่ติดเอาไว้ว่าขายราคา 10 บาท แต่เราไม่ได้ขาย เราให้ประชาชนรู้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังลุกขึ้นมาสู้ แล้วในที่สุดคนที่ชุมนุมกันอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานี ก็รู้ว่าอีกฟากหนึ่งของเมืองนั้นมีคนกำลังชุมนุมอยู่ ก็จากหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ก็เลยเกิดการประท้วงกันอย่างรุนแรง และมีการฆ่าประชาชน และในที่สุดพี่จำลอง ศรีเมือง ก็เข้ามาร่วมด้วย และในที่สุดแล้วพี่จำลองก็โดนจับไป และทั้ง พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ถูกเรียกเข้าเฝ้าฯ ต่อหน้ารัชกาลที่ 9 และพระองค์ท่านก็ทรงดับไฟที่กำลังเกิดขึ้น ในที่สุดเรื่องก็เลยสงบลงไป

อาจจะเป็นเพราะว่าความบ้าเลือดของผมตรงนี้ ความที่ไม่กลัวอะไร ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง มันก็เลยทำให้ทหารรุ่นหลังเกรงกลัวผม เพราะว่ายิงผม 200 นัด ผมก็ไม่ตาย มหัศจรรย์มาก ในที่สุดก็เลยต้องเอามันเข้าคุกไป

มีคนวางแผนให้ติดคุกยาว

พี่น้องครับ บางเรื่องถูกวางแผนมาอย่างดี ก่อนผมเข้าคุกวันที่ 6 กันยายน วันที่ 31 สิงหาคม อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนหนึ่ง ซึ่งเข้ามาเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้แค่ 3 เดือน ชื่อคุณปฏิคม วงษ์สุวรรณ ออกกฎของกรมราชทัณฑ์ว่า นักโทษที่เข้าคุกหลังวันที่ 31 สิงหาคม ผมเข้าวันที่ 6 กันยายน แค่ 6 วัน จะไม่มีสิทธิที่จะทำชั้น ต้องอยู่เฉยๆ เป็นเวลา 5 ปี แล้วค่อยได้ทำชั้น การทำชั้นสำหรับนักโทษนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะว่าถ้าได้ชั้นดี ชั้นดีมาก ชั้นเยี่ยม ถ้าได้ชั้นเยี่ยม เมื่อมีการพระราชทานอภัยโทษครั้งใหญ่ ก็จะได้ลดโทษครึ่งหนึ่ง ถ้าชั้นดีมากก็ลด 1 ใน 3 ชั้นดีเฉยๆ ก็ได้ลด 1 ใน 4 ชั้นกลางก็คือยังไม่ได้ทำชั้น จะได้ลด 1 ใน 5 กะจะกักตัวผมเอาไว้ 5 ปี โดยไม่มีการทำชั้น แต่ว่ามีบิดามารดา ครอบครัวของนักโทษที่ได้รับผลกระทบนี้ ร้องเรียนไปที่กรมราชทัณฑ์ ก็เลยทำให้กรมราชทัณฑ์มีความจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ ก็เลยยกเลิกการกั๊ก 5 ปีนี้ออกไป ก็เลยกลับมาทำชั้นได้

จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันช่วยไม่ได้ที่ทำให้ผมและหลายๆ คนต้องมองว่านี่คือการเพิ่มโซ่ตรวนใส่ผมหลังจากที่ศาลพิพากษาแล้ว ยังไม่พอ กลัวว่าผมจะได้ออกมา จนในที่สุดก็เริ่มมีวิธีการ โดยที่นักโทษที่จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษนั้น จะต้องไม่มีชื่อหรือเรื่องราวอยู่ในพระราชบัญญัติต่างๆ ที่เขาเรียกว่าบัญชีแนบท้าย หมายความว่า ถ้าเป็นนักโทษคดีฆ่าข่มขืน นักโทษคดียาเสพติดเป็นล้านเม็ด คดีฉ้อโกงประชาชน คดีฆ่าคนตาย แล้วโดนโทษประหารชีวิต หรือโดนโทษจำคุกตลอดชีวิต คนต่างๆ พวกนี้เมื่อได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ถ้ามีสิทธิ ถ้าเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม มีสิทธิจะได้ลด 1 ใน 2 แต่ถ้าเป็นนักโทษยาเสพติดได้ลดแค่ 1 ใน 5 ถ้าเป็นนักโทษฉ้อโกงประชาชน จะได้ลด 1 ใน 3 คือแทนที่จะได้ลด 1 ใน 2 ก็เหลือ 1 ใน 3 จู่ๆ พอผมเข้าไปก็มีการยกเลิก 5 ปี ในการห้ามไม่ให้ทำชั้น มันก็เลยมีพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ เข้ามาเสริม ว่าถ้าใครก็ตามโดนคดีหลักทรัพย์ฯ ถ้ามีสิทธิได้รับโทษ 1 ใน 2 ก็จะไม่มีทางได้ 1 ใน 2 ต้องลดลงมาเป็น 1 ใน 3 ทั้งๆ ที่ทั้งเรือนจำมีคนที่โดนคดีหลักทรัพย์อยู่ไม่ถึง 15 คน ผมก็คิดในใจของผม เออ (ขอประทานโทษภาษาของผม) มึงอยากจะแกล้งกูอย่างไร ก็เอาให้เต็มที่ พี่สบายใจอย่างไรที่จะทำกับผม เพื่อไม่ให้ผมออกไปข้างนอก พี่เชิญตามสบาย

ปาฏิหาริย์มีจริง ได้ออกจากคุก

สวรรค์มีจริง วันหนึ่งผมก็ต้องได้ออก หลักอนิจจังชัดเจน มีเข้าก็ต้องมีออก นั่นคือที่มาของมัน เพราะฉะนั้นแล้ว โชคก็ช่วยผม ต้องเตือนความจำกันอีกครั้ง เมื่อมีการพระราชทานอภัยโทษในเดือนพฤษภาคม ในวาระราชาภิเษก เผอิญกติกาของกรมราชทัณฑ์มีว่า คนที่อายุเกิน 70 ถ้าจำคุกอยู่ 1 ใน 3 ของโทษที่เหลืออยู่ ก็มีสิทธิยื่นเรื่องพักโทษได้ หมายความว่า ถ้าไม่มีพระราชทานอภัยโทษ โทษ 20 ปี ผมต้องจำคุกเกือบ 7 ปี ถึงจะมีสิทธิ์ที่จะยื่นเรื่องขอพักโทษได้ ก็ยังมีคนที่เกลียดผม มโนใส่ข้อความส่งมาว่าสนธิที่ยอมเดินเข้าคุก ไม่ใช่เพื่อพี่น้องประชาชนหรอก แต่เพราะตัวเองรอให้ใกล้ 70 เข้าไปเพื่อรอ 1 ใน 3 แล้วจะได้ยื่น ก็หมายความว่าผมต้องอยู่ในคุกตั้ง 6 ปี เกือบ 7 ปี ก็พูดง่ายๆ ว่า ทุกอย่างเรามีทั้งเพื่อน เรามีทั้งศัตรู แต่ศัตรูเราก็อย่าไปสนใจมัน เพราะเป็นผู้ที่รู้ไม่จริง

พอมีกรณีราชาภิเษกมา แทนที่ผมจะได้ออก เพราะว่าถ้าผมได้ลด 1 ใน 2 และผมอายุเกิน 70 ผมก็จะได้ต่อสิทธิ์อีกข้อหนึ่ง เป็นมาตรา 6 ก็คือ อายุเกิน 70 มีโทษเท่าไรก็ปล่อยเลย

ท่านผู้ชมครับ ที่ผมพูดนี่เป็นพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ผมไม่ได้คิดเอง เป็นนโยบายของกรม กระทรวง แล้วส่งไปให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านทรงพระราชวินิจฉัย แล้วพระองค์ท่านทรงลงพระปรมาภิไธย เท่ากับว่านี่คือการพระราชทานอภัยโทษที่มาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ท่านทรงมีพระเมตตามาก

เมื่อผมไม่ได้ออกในตอนนั้น ผมก็เตรียมตัวพักโทษ เพราะโทษผม 20 ปี คดีหลักทรัพย์ อีก 8 เดือนก็คือคดีบุกรุกทำเนียบรัฐบาล แล้วโดนจำคุก ยังไม่ลบล้างออกไป เพราะเขาให้นับโทษต่อจาก 20 ปี เพิ่มอีก 15 วัน คดีที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าผมหมิ่นประมาท พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ตกลงโทษจริงๆ คือ 20 ปี 8 เดือน กับอีก 15 วัน เมื่อผมได้ลด 1 ใน 3 และอายุเกิน 70 ได้ลดอีก 1 ใน 5 โทษผมก็เหลือเพียง 10 ปีกับอีก 8 เดือน เมื่อคำนวณถึงจำนวนปีที่ผมจำแล้ว จะครบ 1 ใน 3 ของโทษที่เหลือ มันก็จะกลายเป็นวันที่ 8 เมษายน ปีหน้า 2563 แต่เผอิญปาฏิหาริย์มีจริง มีนักโทษคนหนึ่งถูกจำคุกคดีปั่นหุ้น โดยที่เขาทำบริษัทอินเทอร์เน็ตให้คนมาเล่นหุ้น เขาก็ให้ทนายความศึกษาข้อบกพร่อง เพราะว่าเขาก็โดน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เช่นกัน แทนที่วาระราชาภิเษกในเดือนพฤษภาคม เขาจะได้ลดครึ่งหนึ่ง เขาได้ลด 1 ใน 3 เขาไม่พอใจ ไม่เหมือนผม คุณลด 1 ใน 3 ก็เรื่องของคุณ ผมก็รับไปก็แล้วกัน คือคุณจะเอาอะไรใส่ผมก็ใส่เข้ามา เหมือนอย่างที่ผมพูด พี่มีปัญญาจะแกล้งอะไรผม พี่แกล้งมาให้สุดๆ เลย ผมไม่กลัวหรอก ก็ปรากฏว่าทนายความไปศึกษาแล้วก็ยื่นเรื่องไปที่ศาลอาญา ท่านรองอธิบดีท่านพิจารณาแล้วท่านก็บอกว่า คดีของนักโทษผู้นี้ ซึ่งโดน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ นั้น เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ไม่ใช่เจตนารมณ์ที่จะไปจำกัดสิทธิเขา เพราะเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐในสาขาการเงิน เขาจะเล่นงานเฉพาะคนที่อยู่ในแบงก์ ในเครดิตฟองซิเอร์ แต่คนนี้ไม่ใช่ คนนี้เขาทำอินเทอร์เน็ตการสื่อสาร เขาควรจะได้รับโทษ 1 ใน 2 ก็คือเลื่อนจากมาตรา 8 ขึ้นมาเป็นมาตรา 7

นี่มันไม่ใช่ส้มหล่นใส่ผมนะ ตึกมันหล่นมาทับผม ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมอยู่ของผมเฉยๆ เมื่อเขาได้เลื่อนเป็นมาตรา 7 ผมก็เป็นกรณีเดียวกัน ผมก็ต้องเลื่อนเป็นมาตรา 7 เมื่อผมเลื่อนเป็นมาตรา 7 ผมลดโทษได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อลดโทษได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ผมอายุเกิน 70 ตามมาตรา 6 โทษเหลือเท่าไร ผมต้องได้ออกหมด และก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครได้เช่นนี้

ในวาระราชาภิเษก มีฝรั่งคนหนึ่งโดนโทษกรณีฉ้อโกงบัตรเครดิต หลายกรรม โทษของเขามีการลงโทษ 44 ปี เขาจำคุกมาแล้ว 4 ปี เหลือ 40 ปี ในวาระราชาภิเษก เนื่องจากว่ากรณีโกงบัตรเครดิตไม่ได้อยู่ในบัญชีแนบท้ายกฤษฎีกา เขาก็เลยได้ลดครึ่งหนึ่ง คืออยู่มาตรา 7 ทันที เมื่อเขาได้ลดครึ่งหนึ่ง เขาก็ได้มาตรา 6 ต่อ เพราะเขาอายุเกิน 70 เขา 74 ปรากฏว่าโทษยังเหลือ 40 ปี กรมราชทัณฑ์ก็ต้องปล่อยเขา ที่ต้องปล่อยเพราะว่าเป็นกฤษฎีกาที่ลงพระปรมาภิไธยโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้น มีตัวอย่างมาแล้ว ผมไม่ได้ไปวิ่งเต้นอะไรทั้งสิ้น ผมอยู่เฉยๆ กรมราชทัณฑ์ก็ต้องดำเนินการให้ความเป็นธรรมกับทุกคนที่โดนพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ มีคนได้ประโยชน์ อานิสงส์อย่างผม 8 คน ปล่อยตัวออกมา 8 คน แต่ว่าสนธิ ลิ้มทองกุล เนื่องจากเป็นสนธิ ลิ้มทองกุล ทุกคนไม่สนใจคนอื่น ก็เลยมาสนใจตัวผม นี่คือเบื้องหลังที่มา

เป็นยี่ห้อ “ปลุกประชาชนลุกฮือ”

ย้อนกลับไปนิดหนึ่ง ในช่วงเหตุการณ์ของการประท้วง รสช.ครั้งนั้น เมื่อ รสช.ล่มสลายต่อมา ผมก็กลับจากประเทศอังกฤษมา และผมไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว ผมภูมิใจที่ผมได้มีส่วนช่วยให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ ตรงนี้ต่างหาก ตรงนี้มันเป็นยี่ห้อผม มันเป็นแบรนด์ของผม มันก็เลยทำให้รัฐบาลทหารทุกรัฐบาลที่ใช้อำนาจเผด็จการ ยึดอำนาจมา กลัวผม กลัวว่าปล่อยสนธิอยู่ข้างนอก มันน่ากลัวมาก เพราะฉะนั้นต้องเอามันเข้าคุกให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เมื่อเข้าแล้วต้องล็อกกุญแจมือใส่โซ่ตรวนเพิ่มเติมด้วยการห้ามทำชั้นใน 5 ปี อ้าว แก้ได้แล้วตรงนี้ ก็เอา พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ใส่เข้าไป แต่เผอิญปาฏิหาริย์มีจริง อย่างที่ผมเล่าให้ฟัง

เอาล่ะ เมื่อผมต่อสู้กับคุณทักษิณไปแล้ว สิ่งที่ผมกำลังเจออยู่ในเวลานั้น พ่อแม่พี่น้องครับ ขอโยงกลับมาในยุคสมัยปัจจุบัน วันที่ผมลุกขึ้นมาสู้ทักษิณวันนั้น ยังไม่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมกับคุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ ออกรายการ หอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ ไปต่อที่สวนลุมพินี จนกระทั่งมีทีมล่าสังหารทีมหนึ่งจะมายิงผมในวันที่ผมเลิกจากการชุมนุม หรือการปราศรัย หรือการออกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่สวนลุมฯ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่ทราบว่าท่านทราบได้อย่างไร ท่านสั่งให้พระอาจารย์ปิ๋วโทรศัพท์มาหาคนสนิทของผม แล้วสั่งเด็ดขาดว่า วันนั้น อย่ากลับบ้านเด็ดขาด ให้รีบนั่งรถไปที่วัดป่าบ้านตาด มาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดแล้วจะปลอดภัย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะด้วยฌานของท่านหรือว่าอะไร แต่คืนนั้นมีคนประหลาดๆ นั่งรถไป 2 คัน แต่งชุดดำ อาวุธครบมือ ไปที่บ้านผม ผมยังจำได้ว่ายุคนั้นเป็นยุคที่ผมถูกคุณทักษิณที่มีอำนาจอยู่ แกล้งผมทุกประการ ฟ้องผมคดี 112 ไปที่ สภ.เมืองยโสธร หลายอย่าง กดดันผม สร้างมวลชนนำโดยจตุพร พรหมพันธุ์ เพื่อมาต่อสู้กับผม เพื่อมาโค่นล้มผม เอามวลชนมาชนมวลชน แต่พี่น้องครับ จำได้ไหม ยิ่งแกล้งผมเท่าไร คนยิ่งเข้ามาเป็นพวกผมมากเท่านั้น ตรงนี้ล่ะครับที่มันต้องโยงมาสู่ปัจจุบัน

เตือนระวังยุบ “อนาคตใหม่”

วันนี้ผมไม่ได้พูดเข้าข้างพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้พูดเข้าข้างคุณธนาธร ไม่ได้พูดเข้าข้างคุณช่อ แต่ผมพูดจากประสบการณ์ของผม อะไรก็ตามของคนๆ หนึ่ง หรือกลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตามหรือผู้ชื่นชมเขา คือคนรุ่นใหม่ ถ้าเราไปแกล้งเขามากขึ้น หรือเข้าไปบีบเขามากขึ้น ใครจะไปรู้ พรรคอนาคตใหม่ก็อาจจะต้องการที่จะถูกยุบพรรคก็ได้ เพราะถ้ายุบพรรคเขาได้เมื่อไร ณ สถานะปัจจุบัน คนที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคอนาคตใหม่ ก็จะเฮกัน แต่หารู้ไม่ นั่นคือการย้อนประวัติศาสตร์ในยุคที่ผมสู้กับทักษิณ ก็จะมีคนอีกเยอะ มากมายมหาศาล เกิดเห็นใจพรรคอนาคตใหม่หรือคุณธนาธร ขึ้นมาทันที ตรงนี้ผมต้องขอเตือนเอาไว้ก่อน พูดอย่างผู้ใหญ่ที่ผ่านและมีประสบการณ์มานะ

27 วันที่ผมออกมา ผมทำอะไรบ้าง ผมปรับตัวเองในเรื่องการนอน ในเรื่องการทานอาหาร และการติดตามข่าวสารต่างๆ และผมจำเป็นต้องดูแลตาผม ตาซ้ายผมเป็นต้อหิน พี่น้องครับ ผมไปตาบอดในคุก เรือนจำคลองเปรม เดิมทีรักษาอยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่คุกระดับสูงมันมีกติกาว่าห้ามเอายาขึ้นไปในห้องขัง ผมต้องหยอดยาตลอดเวลา ทุกๆ 2 หรือ 3 ชั่วโมง ทั้งก่อนนอน ทั้งตื่นเช้า และยาบางประเภทหมอบอกว่าต้องแช่ตู้เย็น อย่าว่าแต่ตู้เย็นเลย น้ำแข็งสักก้อนในห้องยังไม่มีเลย แล้วผมจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นตาซ้ายผมก็เลยเริ่มเลวร้ายขึ้น จนกระทั่งตาซ้ายผม ต้อหิน บอดไปแล้ว ก็เหลือแต่ตาขวา ตาขวาคนอายุมากมันก็เป็นต้อ ผมเป็นต้อกระจก ผมเพิ่งจะได้มีโอกาสไปลอกต้อกระจกวันที่ 14 สิงหาคม ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ผมได้รับความเมตตาจากอาจารย์หมอปริญญ์ ซึ่งท่านจะเกษียณอายุวันที่ 30 ท่านดูแลผม ไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นนักโทษ แต่ท่านดูแลผมว่าผมเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีปัญหาโรคตา ท่านดูแลผมอย่างดี และในที่สุดท่านก็ผ่าตัดตา ลอกตาขวาผมซึ่งเป็นต้อกระจก และทำให้ผมเห็นชัดขึ้นกว่าเก่าเยอะ อาจจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ด้วยซ้ำ เป็นเพียงแต่ว่า ท่านผู้ชมจะเห็นผมใส่แว่นดำในกรณีที่มีแสงเข้ามามากๆ แต่วันนี้ที่ไม่ใส่เพราะเขาจงใจทำแสงให้นุ่มนวลและอ่อน

ทบทวนอดีต โดนยุให้ประท้วงทุกเรื่อง

อะไรบ้างที่ผมได้ทำหลังจากออกมา ผมเริ่มประเมินความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล ระหว่างผมกับคนโน้น ระหว่างผมกับกลุ่มนั้น ระหว่างผมกับกลุ่มนี้ ทบทวนความผิดพลาด เพราะอดีตคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น เพราะคิดว่าตัวเองพูดความจริงแล้วไม่ต้องกลัว แต่จริงๆ แล้วในระหว่างที่เราพูดตรงไปตรงมากับความจริง อีกฝ่ายหนึ่งจะพูดคำโกหก อ้อมค้อม เห็นด้วยกับเรา แต่พอลับหลังแล้วเอามีดแทงข้างหลังเรา ประสบการณ์พวกนี้ผมบาดเจ็บมามาก 3 ปีที่อยู่ในคุกนั้น สอนให้ผมนั่งทบทวนอดีต นั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ เอ๊ะ ทำไมถึงยุยงส่งเสริมให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาประท้วงมันทุกเรื่อง อ๋อ เข้าใจแล้ว เพราะตัวเอง ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่สามารถที่จะเรียกคนได้ และไม่สามารถจะประท้วงได้ ต้องหาคนที่ตายแทน ผมเคยพูดกับพรรคพวกที่สนิทกันหลายคน ว่าพวกเรานี่มันเหมือนสะพานไฟ พอเราชูธง โต้กระแสทวน ประกาศชุมนุมเมื่อไร ก็เท่ากับว่าเราสับสะพานไฟในบ้านเราขึ้นมาปั๊บ ไฟฟ้าได้ใช้กันหมดเลย ก็จะมีคนแอบเอาวิทยุมาเสียบ เอาเครื่องปิ้งขนมปังมาเสียบ เอาไมโครเวฟมาเสียบ เอาปลั๊กต่างๆ มาเสียบ เสียบใช้อุปกรณ์ต่างๆ ก็คือคนซึ่งรอเข้ามาแจม หลายคนเข้ามาแจมก็เพราะว่ามีความบริสุทธิ์ใจที่ต้องเข้ามาแจม แต่หลายคนที่เป็นพรรคการเมืองและมีมวลชนของตัวเอง แต่ตอนนั้นขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าที่จะออกมาสู้ด้วยตัวเอง ก็เลยขอเข้ามาแจม ด้วยการส่งคนในพื้นที่ตัวเองขึ้นมา มาตั้งครัวเพื่อมาร่วมต่อสู้ แล้วก็มาให้กำลังใจตลอดเวลา จนกระทั่งคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับคำสั่งมาที่จะให้ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ผมเห็นว่าไม่ไหวแล้วงานนี้ ผมบอกคุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ว่า ปานเทพ พี่จะขอสลายแกนนำนะ พี่จะลาออก เพราะพี่ไม่อยากถูกหลอกใช้อีก โดนยิงก็โดนยิงมาแล้ว วันที่ 17 เมษายน 2552 สองร้อยนัด พี่ไม่เอาแล้ว ทุกคนตอนแรกเริ่มไม่เห็นด้วย แต่ตอนหลังก็เริ่มเข้าใจ ก็เลยลาออก พอลาออกหมด ไม่มีใครนำประชาชนไปประท้วงนิรโทษกรรมสุดซอย ผมบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง ถ้าใครไม่เห็นด้วย รวมตัวกันออกมา จนในที่สุดก็เลยกลายเป็นลุงสุเทพ เทือกสุบรรณ ส่วนที่เหลือนั้นพัฒนาไปอย่างนั้น ท่านผู้ชมคงจะรับทราบอยู่แล้ว

27 วันกับอิสรภาพ พบชาติบ้านเมืองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แต่ถึงจะเป็นคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ผมก็ยังคงเป็นตัวอันตราย เพราะความที่ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ไม่กลัวคน ผมก็เลยต้องเจ็บหนัก เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อผมมาทบทวนตัวผมเอง 3 ปีทำให้ผมตกผลึกมากขึ้น ตกผลึกจริงๆ ผมถามว่า สนธิ พฤศจิกายนนี้ ก็ 6 รอบ 72 ปีแล้ว จะเอาอย่างไรกับส่วนที่เหลือของชีวิต ผมมามองชาติบ้านเมืองที่ผมออกมา 27 วันนี้ พี่น้องครับ ท่านผู้ชมครับ เชื่อหรือเปล่า สำหรับผมแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว อะไรที่มันเคยเลว มันก็เลวเหมือนเดิม มิหนำซ้ำยังเลวกว่าเก่า อะไรที่มันเคยดี ก็ดีได้ไม่นาน เพราะจะต้องถูกบล็อก เพราะคนดีๆ คนที่สู้เพื่อชาติบ้านเมือง ไม่มีที่ยื่นในสังคมนี้ ไม่มีจริงๆ ดูผมสิ ถ้าผมเป็นอันตรายนัก ก็เอาอำนาจที่ตัวเองมี แล้วกดดันกฎหมาย กดดันผู้ใช้กฎหมาย มาเล่นงานผม แล้วมีอะไรบ้างที่ผมสู้มาในอดีต ผมสู้มาในอดีต ไปดูได้เลย ทุกเรื่องทุกราว ว่าผมสู้เพื่อตัวผมเองเหรอ

วันที่ไล่คุณทักษิณออกไปได้ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญลงมติยุบพรรคของคุณทักษิณ เราถอนตัวออกมาจากสนามบิน ถามว่าผมได้อะไรบ้าง ผมไม่ได้สนใจ ผมกลับไปที่บ้านผมก็บอกว่า เออ จบเสียที แต่คนได้คือพรรคประชาธิปัตย์ และทหาร ซึ่งไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร หลังจากนั้นก็เป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งทุกคนก็ตามดูแล้วก็จะเห็นชัด เพราะฉะนั้นผมเล่นการเมืองไม่ได้ ผมไม่ใช่นักการเมือง แต่ขณะเดียวกัน ผมออกมา เวลาในชีวิตมันน้อยลง 27 วันที่ผ่านมา ผมก็ไปอีสานเหนือ อีสานใต้ ผมไปกราบไหว้พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และที่มรณภาพไปแล้ว ผมไปกราบกุฏิที่หลวงตามหาบัวท่านได้สิ้น มรณะ นิพพานที่นั่น ผมไปกราบหลวงพ่อสุดใจ เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ผมไปกราบหลวงปู่จันทร์เรียน ที่วัดถ้ำสหาย ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว ผมไปกราบอนุสาวรีย์ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมพร ผมไปกราบพิพิธภัณฑ์อนุสาวรีย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าสุทธาวาส และผมไปกราบพระธาตุพนม ซึ่งเป็นพระธาตุคู่เมืองของประเทศไทย แล้วผมก็นั่งคิดของผมง่ายๆ ว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจริงๆ

ปล่อยคน 29 คนขวางแบนสารพิษ

ดูสั้นๆ สารพิษพาราควอตที่มันฆ่าประชาชนคนไทย มีคนอยู่ 29 คน อดีตข้าราชการและข้าราชการปัจจุบัน มากำหนดชีวิตของพวกเรา 65 ล้านคน นักการเมืองวันนี้ คุณมนัญญา ต้องชมเขา คุณมนัญญา ไทยเศรษฐ์ เป็นคนที่ใช้ได้ ถึงแม้คนจะตั้งข้อรังเกียจกับพี่ชายเขา คือคุณธาดา ไทยเศรษฐ์ แต่คุณมนัญญาเป็นคนใช้ได้ พรรคภูมิใจไทยวันนี้ก็ใช้ได้ ต่อสู้หลายเรื่องที่สัมผัสได้ เรื่องประชาชน ที่ผมเสียใจที่สุดก็คือว่า ทำไมคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ถึงนั่งนิ่ง นั่งเงียบ กรรมการ 29 คนนี้ ถ้ามันมีปัญหานัก ก็เสนอ ครม.ยุบไปสิ ตั้งขึ้นมาใหม่ คุณปล่อยให้สารพิษพวกนี้มาทำร้ายประชาชนต่อไปได้อย่างไร แม้กระทั่งท่านนายกฯ ซึ่งถูกอิทธิพลของข้าราชการประจำครอบงำมาก่อนที่จะมาเป็นนายกฯ ในยุคประชาธิปไตยครึ่งค่อนใบ ตรงนี้ วันนี้ท่านก็ปรับจุดยืนเปลี่ยนไปแล้วว่าท่านเห็นด้วยกับการยกเลิกสารพิษ แต่ชีวิตคนทั้งหมดกลับอยู่ภายใต้เงื้อมมือของคน 29 คน นี่ไง เมืองไทย มันเปลี่ยนที่ไหน

4 ปี คสช.ดึงข้าราชการกลับมามีอำนาจ

ถามผมว่า 4 ปีกว่าที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง เปลี่ยนครับ เปลี่ยนอยู่เรื่องเดียว ท่านนายกฯ ก็ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะว่าท่านและ คสช.เป็นคนที่เอาข้าราชการกลับมามีอำนาจมากกว่าเก่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนที่ต่อต้านระบบราชการ เพื่อให้ระบบราชการนั้นเป็นแค่ผู้กำกับและดูแล แต่ไม่ใช่เป็นคนที่คุมเกมเพื่อให้ภาคเอกชนผลักดันไป แต่ทักษิณทำเรื่องนั้นเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัวและพวกพ้องตัว นี่คือความเลวร้าย ความคิดที่ดี เริ่มต้นที่ดี แต่จบลงด้วยความต่ำช้าในความคิดของตัวเอง ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่วิธีการของเขาไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง แต่วิธีการปฏิบัตินั้นกลับก้าวเข้ามาสู่ผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะฉะนั้นผมมองว่ายุค คสช. 4-5 ปีที่ผ่านมา คือยุคที่เอาอำนาจข้าราชการประจำกลับมา เพราะท่านนายกฯ และหลายๆ คนที่อยู่ใน คสช. ก็คือข้าราชการประจำ

วันนี้เมืองไทยกลายเป็นรัฐราชการไปแล้ว เมืองไทยเป็นเมืองเดียวที่มีใบอนุญาตเยอะที่สุดในโลก คุณจะทำอะไร คุณต้องขออนุญาต ขอมันหมด ขอทุกเรื่อง เหตุผลเพราะว่าข้าราชการไม่อยากจะรับผิดชอบ ก็เลยสร้างเงื่อนไข สร้างระเบียบต่างๆ ขึ้นมา นี่ก็คือเฉพาะเรื่องพาราควอตอย่างเดียว

ชม“อนุทิน”กล้าลูบหัวเสือ

เรื่องกัญชา ทำไมผมถึงชมคุณอนุทิน ที่ผมชมอนุทิน เพราะว่าเขากล้า กล้าที่จะไปลูบหัวเสือ เสือคือข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุข และคนอีกหลายคน อีกมากมายที่มองว่ากัญชาคือยาเสพติด แต่ถ้ามองย้อนหลังไปสมัยรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 คัมภีร์โบราณ ตลอดจนตำราแพทย์แผนไทยโบราณ เขาใช้กัญชารักษาโรค คนที่เป็นรุ่นร้อยๆ ปี อยู่กันมาตั้งนาน ถ้าเขาใช้กัญชารักษาโรค แสดงว่ากัญชามีสิทธิ์ที่จะรักษาโรคได้ ทำไมต่างประเทศถึงใช้กัน เพราะว่ามันพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าน้ำมันกัญชาสามารถเอามารักษาโรคได้ กัญชาเอามาแปรรูปสามารถรักษาโรคได้ นี่เรากำลังจะพูดถึงผลประโยชน์ความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน แต่ก็ยังมีอีกสองส่วน สามส่วน หมออยู่ส่วนหนึ่ง ที่ได้รับอิทธิพลจากใครล่ะ จากบริษัทขายยา ถ้าคนเราทานน้ำมัน CBD ผสมเข้าไปในน้ำ นิดเดียว ทานเข้าไป ก็จะหลับสบาย ไม่มีผลข้างเคียง หรือคนที่เป็นไมเกรน ปวดศีรษะ รักษาเท่าไรก็ไม่หาย กินแต่ยาฝรั่งที่หมอมอบให้ แต่ถ้ามีบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งผสมกัญชา แล้วดูดเข้าไป มันมีผลทันที ทำให้ไมเกรนหาย ผมถามว่าเราจะไปปฏิเสธสิทธิตรงนี้ของเขาได้อย่างไร เราปฏิเสธสิทธิตรงนี้ของเขาก็เพราะอิทธิพลของบริษัทยาใช่ไหม ก็เพราะว่าความคิดที่แคบๆ สั้นๆ ของคนที่อยู่ในวงการ มองว่านี่คือยาเสพติด ถ้ามันเป็นยาเสพติดจริงๆ ทำไมต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา หรือไม่ว่าจะเป็นแคนาดา หรือไม่ว่าจะเป็นบางประเทศในอเมริกาใต้ เขาถึงบอกว่ายกเลิกโทษในเรื่องยาเสพติด

นี่เพียงแต่ยกตัวอย่างอย่างเดียวในหลายๆ เรื่องที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ คุณอนุทินถูกคณะกรรมการ อย. เลขาฯ อย.คนเก่าวางยา จนในที่สุดก็ต้องย้ายทั้งยวง เขากล้าหาญนะ เขาย้ายทั้งยวงเลย

ผมมามองคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน บ้าง นักการเมืองเหมือนกัน คนหนึ่งพรรคภูมิใจไทย คนหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ทำไมคุณไม่กล้าที่จะย้ายหรือยุบคณะกรรมการพิจารณาเรื่องสารพิษ 29 คน แล้วตั้งเสียใหม่ นี่คือข้อแตกต่าง และนี่คือทำไม คือคำตอบว่าพรรคประชาธิปัตย์จึงตกต่ำเอาๆๆ และจะไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้อีกต่อไป ขอโทษที ผมรู้จักพวกเราหลายคน แต่สนธิ ก็คือสนธิ ลิ้มทองกุล คิดอะไรก็ต้องพูดอย่างนั้น

บทบาทใหม่ “ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง”

พี่น้องครับ มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ แล้วผมจะทำอะไรต่อไป ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า 72 ปีของคนๆ นี้ ผ่านอะไรในชีวิตมามาก แทบจะหาไม่ได้เลยสักคนที่ผ่านมาเหมือนผม ต่อสู้มาในทุกรูปแบบ ถูกลอบยิง ไม่ใช่ลอบยิงด้วย ยิงเผาขน 200 นัด เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 โดนคดีหมิ่นประมาทเป็นร้อยๆ คดี คุกตารางก็ติดมาแล้ว ประสบการณ์ชีวิตของคนอายุ 72 นี้ มีมากพอไหม องค์ความรู้ที่อยู่ในสมอง ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนหลายคนและเพื่อนๆ และท่านผู้ชม ฟังผมวันนี้แล้ว ก็จะบอกว่าไอ้สนธิมันไม่เปลี่ยนเลยนะ มันก็ยังกล้าพูดกล้าโน่นกล้านี่

ท่านผู้ชมครับ องค์ความรู้ทั้งหมดของผม ประสบการณ์ทั้งหมดของผม ใจของผม มันคือห้องสมุดเคลื่อนที่ได้ ที่สักวันหนึ่งเมื่อผมขึ้นเชิงตะกอนและเผาไป มันก็จะหายไปกับตัวผม วันนี้ผมไม่ต้องการเป็นแกนนำมวลชนอีกต่อไป ผมไม่ต้องการพาพี่น้งประชาชนลงถนน มันหมดยุคหมดสมัยแล้ว ขออนุญาต บทบาทใหม่ของผม ให้จำไว้ ผมจะเป็น "ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง" ทำไมต้องเป็นผู้เฒ่าเล่าเรื่อง เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่ว่าจะในประเทศไทย หรือในตะวันออกกลาง สงครามระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน โดยมีเยเมนเป็นตัวจุดชนวน เป็นสงครามตัวแทนระหว่างจีน รัสเซีย ซึ่งอยู่ข้างหลังอิหร่าน และเผลอๆ รวมตุรกีเข้าไปด้วย กับซาอุดีอาระเบียซึ่งมีอเมริกาอยู่เบื้องหลัง สงครามโลกเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

เกาหลีเหนือ คิม จอง-อึน ก็สามารถที่จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้ ฮ่องกงล่ะ พี่น้องรู้ไหม ดูให้ดีๆ คนหนุ่มคนสาวในฮ่องกง กับคนหนุ่มคนสาวในประเทศไทย มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายๆ กัน มีความเหมือนอยู่ และในขณะเดียวกันก็มีความแตกต่างในความเหมือนเช่นกัน พวกนี้ผมจำเป็นต้องพูด และผมจะเอาองค์ความรู้นั้นมาใส่ในจิตวิญญาณของผู้เฒ่าเล่าเรื่อง แล้วเราให้พ่อแม่พี่น้องฟัง เป็นระยะๆ บางครั้งถ้ามีเหตุการณ์อะไรที่ผมอยากจะสะท้อนความคิดเห็นหรือความรู้สึกของผม ผมก็จะโพสต์ลงไป อย่างเช่นกรณีที่ผมบอกว่า ผู้ใหญ่อย่ารังแกเด็ก ในเรื่องของหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล ที่ไปรังแกเด็กหญิงอายุ 16 ปี ชาวสวีเดน ชื่อเกรตา ธันเบิร์ก แต่ว่าในรูปแบบใหม่นี้ ท่านผู้ชมที่หัวร้อน ที่เป็นพันธมิตรฯ พันธุ์แท้ ต้องใจเย็นๆ เพราะว่าผมตกผลึกมากว่า จริงๆ แล้วไม่มีใครถูก 100 เปอร์เซ็นต์ หรือผิด 100 เปอร์เซ็นต์ เวลาเรามีเรื่องมีราวขึ้นมา เราดูเรื่องดูราว สิ่งหนึ่งซึ่งเราขาด ขาดอย่างมากๆ คือความเข้าใจของอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้เราต้องพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงคิดอย่างนี้ เพราะอะไรเขาถึงคิดอย่างนี้ ด้วยเหตุผลนี้ก็เลยมีคนเข้าใจผิดหาว่าผมไปเข้าข้างคุณช่อ พรรณิการ์ วานิช ไม่ใช่ ผมพยายามอธิบายให้ฟังว่า คุณช่อ ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอะไร ให้จำเอาไว้นะครับ ไม่มีใครถูก 100 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีใครผิด 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเราเข้าใจสภาวะสิ่งแวดล้อม แล้วก็เหตุผลต่างๆ ที่ทำให้คนๆ หนึ่งต้องทำอย่างนี้ อีกคนๆ หนึ่งต้องมาต่อต้านอย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ได้ ชีวิตเราจะมีความสุขมากขึ้น และเป้าหมายเราก็จะทำงานได้ชัดเจนขึ้น และนี่คือหน้าที่ผม กลายเป็นผู้เฒ่าเล่าเรื่อง นี่คือบทบาทใหม่ที่ผมกำลังทำอยู่

เปิดทอล์กโชว์ ร่วม “ชูวิทย์”

และไม่ต้องตกใจ ผมอาจจะมีเซอร์ไพรส์ให้กับท่านผู้ชม ใครจะไปรู้ ผมอาจจะจัดไลฟ์เฟซบุ๊กในลักษณะทอล์กโชว์ที่โรงละครแห่งหนึ่งมีคนเข้ามาฟังสัก 500 คน ไม่คิดเงิน ท่านผู้ชมอยากจะฟังผมสนทนากับคนเช่นชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ไหมครับ ชูวิทย์เป็นคนดี เช่นเดียวกับผม ชูวิทย์กับผม มีคนเข้าใจเขาผิดอยู่หลายประการ ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าผมสนทนากับชูวิทย์เป็นประจำ ไม่ได้พูดเฉพาะการเมือง พูดถึงเรื่องชีวิตครอบครัว พูดถึงเลี้ยงลูกอย่างไร ชูวิทย์เป็นอดีตเจ้าพ่ออาบอบนวด ลูกสาวเก่งมาก สวย เขาเลี้ยงลูกอย่างไร ผมมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง สี่สิบกว่าแล้ว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ผมเลี้ยงลูกอย่างไร แล้วมองปัญหาของประเทศไทยว่าปัญหาประเทศไทยแบบนี้ มันพัฒนาต่อไปอีกหลายแบบ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร เราจะให้ลูกเราอยู่กันอย่างไร เราจะให้คนหนุ่มคนสาวซึ่งทุกวันนี้ไม่อยากจะทำงานประจำ 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น แล้วเริ่มมีคนปฏิเสธที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่า ผมออกมาครั้งนี้ ผมสังเกตอย่างหนึ่งว่าร้านกาแฟมันเยอะจริงๆ เดี๋ยวนี้ แล้วปรากฏว่าพอเข้าไปกินกาแฟ อ้าว เจ้าของร้านเป็นคนหนุ่มคนสาว มีการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติ ในกระบวนทัศน์ ของคนรุ่นใหม่ที่เขาเริ่มใช้ชีวิตของเขา และเขามีความรู้สึกว่าเขาไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนพ่อกับแม่ของเขา เปิดร้านกาแฟ ขอเงินไป พ่อแม่ให้ทำ เจ๊งก็มี สำเร็จก็มี ที่สำเร็จเขาอาจจะได้กำไร หักค่าใช้จ่ายแล้ว เดือนละ 2-3 หมื่น ท่านผู้ชมครับ เขามีความสุข เพราะฉะนั้นปัญหาของคนรุ่นใหม่ รุ่นที่จะเป็นรุ่นที่แบกรับภาระประเทศชาติต่อจากพวกเราหรือผม เป็นปัญหาใหญ่ที่ผมคิดว่ารัฐบาลยังมองไม่เห็น พวกเรายังมองไม่เห็น ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเชียร์พรรคอนาคตใหม่ ผมอยากให้ผู้มีอำนาจได้คิดบ้าง แล้วทำไมคนรุ่นใหม่ในพรรคการเมือง อย่างเช่นพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีคนรุ่นใหม่ แต่ทำไมไม่มีใครสนใจ ก็เพราะว่าคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาเชียร์พรรคอนาคตใหม่ เขาไม่เห็นอนาคตของพวกเขา เผอิญคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พูดจา แสดงอาการ ตลอดจนมีทิศทางที่โดนใจเขา โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าคุณธนาธร แต่ก่อนนี้เป็นคนให้เงินให้ทองนิตยสารฟ้าเดียวกัน ซึ่งเป็นนิตยสารที่จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์มากที่สุด เขาไม่รู้ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าคุณธนาธร ซึ่งตระกูลเขาเป็นเจ้าของบริษัท ซัมมิท อินดัสตรี เคยมีปัญหาแรงงานกับคนงาน ปิดโรงงาน ไล่คนงานออก เขาไม่รู้ แต่เขารู้ว่าคุณธนาธรนั้น เป็นแสงสว่างที่เขาจะพึ่งพาได้ ที่พูดแล้วโดนใจเขา 4-5 ปีที่ผ่านมาเขาถูกดดันด้วยระบบทหารมาตลอด ด้วยเหตุนี้ พรรคอนาคตใหม่ถึงได้มีคนที่สนใจและให้ความชื่นชม อย่าว่าอย่างโน้นอย่านี้เลย แม้กระทั่งพวกพันธมิตรฯ เอง ก็มีหลายคนที่เข้ามาเชียร์พรรคอนาคตใหม่

ผมคิดว่าวันนี้ไลฟ์สด 1 ชั่วโมง ผ่านไปแล้ว ผมคิดว่าหลายท่านก็คงจะเชื่อว่าผมก็ยังเหมือนเดิม ปากกล้า ขาไม่สั่น แต่บทบาทใหม่ของผม ท่านผู้ชมครับ อย่าลืม คือ "ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง" ผมจะมาเล่าเรื่องฟังต่างๆ นานา เล่าเรื่องจากประสบการณ์ชีวิตของผม เล่าเรื่องจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วท่านอาจจะรู้ หรืออาจจะไม่รู้เลยก็ได้ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนดีไหม ถ้าอย่างไรแล้ว ขอให้ทุกท่านมีความสบายใจได้ว่าผมจะใช้ชีวิตส่วนที่เหลือทำหน้าที่ผู้เฒ่าเล่าเรื่องให้ดีที่สุด แต่อย่าหวังว่าผมจะนำท่านลงถนนอีก หมดยุคไปแล้ว แล้วถ้าตั้งใจจะฟังเรื่องราวที่ผมเล่า ผมก็ยินดีจะกลับมาเล่า เล่าให้ฟังหลายๆ เรื่อง และงวดนี้ผมอาจจะเอาหลายๆ คนมาร่วมกันเล่าเรื่อง หลายๆ คนที่ท่านอาจจะคิดไม่ถึง เหมือนอย่างคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งผมโทรคุยกับชูวิทย์มาแล้ว ชูวิทย์บอก พี่สนธิ สำหรับพี่สนธิ ผมยินดีออกกับพี่สนธิ ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นรอฟังข่าวสารจากเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" สวัสดีครับ





กำลังโหลดความคิดเห็น