เมืองไทย 360 องศา
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมาถือว่า แทบจะได้เวลาปิดการพิจารณาคดีฟอกเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พานทองแท้ หรือ โอ๊ค ชินวัตร อายุ 40 ปี บุตรชายคนโตของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2558 โดยอัยการได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา จากกรณีที่ พานทองแท้ รับโอนเงินเป็นเช็กจำนวน 10 ล้านบาท จากรัชฎา กฤษดาธานนท์ เข้าบัญชี ซึ่งมีการกล่าวหาว่าเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำทุจริตจากการปล่อยกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทยกับเอกชนกลุ่มกฤษดามหานคร
โดยคดีนี้ที่ผ่านมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาถึงที่สุดจำคุกอดีตผู้บริหารของกลุ่มกฤษดามหานคร คนละ 12 ปี เช่น วิชัย กฤษดาธานนท์ และ รัชฎา กฤษดาธานนท์ พร้อมกับพวก อย่างไรก็ดีสำหรับ วิชัย และ รัชฎา ยังถูกอัยการยื่นฟ้องความผิดฟอกเงินจากการทุจริตปล่อยกู้ดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเช่นเดียวกันด้วย
โดยเมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมาเป็นการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยเพียงปากเดียว และถือเป็นนัดสุดท้าย โดยเขาอ้างว่าเงินจำนวน 10 ล้านบาทดังกล่าวเป็นการโอนเงินเพื่อร่วมกันทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์หรูจากต่างประเทศ โดยศาลได้ซักถามเกี่ยวกับ ธุรกิจของครอบครัวจำเลยและเกี่ยวโยงไปถึงบุคคลใกล้ชิดในครอบครัว เช่น ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมไปถึงรายได้ของจำเลย เป็นต้น หลังจากนั้นศาลเห็นว่าได้ไต่สวนพยานครบถ้วนเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว จึงนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ตามกำหนดเดิมคือ วันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.00 น.โดยให้คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน
เมื่อเป็นแบบนี้ในความหมายมันก็ไม่ต่างจากการ “นับถอยหลัง” สำหรับ พานทองแท้ ชินวัตร เพราะเมื่อมีการกำหนดวันและเวลาสำหรับการ “พิพากษา” ออกมาแล้ว ทุกอย่างก็ต้องถือว่าลุ้นระทึก เพราะงานนี้มีทางเลือกอยู่สองทางคือ “คุกหรือไม่คุก” เท่านั้น
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาตามรูปการแล้วก็ต้องบอกว่า น่าหวาดเสียวยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบทางด้านคดี รวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องที่ถูกฟ้องในคดีที่เชื่อมโยงกัน เช่นคดี ทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่ “โดน”กันระนาว ถูกจำคุกกันคนละหลายปี
แม้ว่าในกรณีของ พานทองแท้ ชินวัตร ที่ถูกฟ้องในคดีร่วมกันฟอกเงินครั้งนี้อาจเป็นการแยกย่อยต่อเนื่องกันออกมา แต่เมื่อเชื่อมโยงกัน ตัวจำเลยก็สัมพันธ์กับคดีก่อนหน้านี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นใครก็ต้องเสียว เพราะในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดหลังจากที่เขาได้ให้การต่อศาลออกมาแล้วยังยอมรับว่า “รู้สึกตื่นเต้น” ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะไม่ว่าใครเมื่อตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกันก็คงมีความรู้สึกไม่ได้แตกต่างกันนัก หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ดีสำหรับ พานทองแท้ ชินวัตร นาทีนี้ย่อมต้องมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่านั่นคือจะถูกตั้งคำถามและถูกจับตามองว่า เขา “จะหนี”หรือไม่ หรือจะซ้ำรอยเดียวกันหรือไม่กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นบิดาที่หนีคดีก่อนวันพิพากษาให้จำคุก 2 ปีในคดีจัดซื้อที่ดินบริเวณถนนรัชดาภิเษก และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาของเขาที่หนีคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว มาจนถึงบัดนี้
แม้ว่าในการให้สัมภาษณ์ล่าสุด พานทองแท้ ชินวัตร จะยืนยันว่า “เดินทางไปฟังคำพิพากษา”ในวันที่ 25 พฤศจิกายนก็ตาม ซึ่งที่ผ่านมาทั้งบิดาและอาของเขาก็เคยยืนยันแบบนี้มาแล้วทั้งสิ้น ที่ย้ำว่าจะสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่หนีไปไหน ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง จากแรงกดดันจับจ้องจากสังคมมันก็ทำให้เขาต้องเคลื่อนไหวลำบากกว่าเดิมอีกหลายเท่า เหมือนกับการตามประกบเขาทุกฝีก้าว
และแม้ว่านาทีนี้ยังไม่รู้ว่าคดีจะออกหัวหรือออกก้อย ยังไม่แน่ว่าจะออกมาทางลบหรือไม่ แต่สำหรับ พานทองแท้ ชินวัตร ย่อมต้องเครียดหนักเป็นธรรมดา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของเขา บิดาของเขา ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยรับรู้จากคำพูดที่ออกมาว่าจะไม่ยอมให้คนในตระชินวัตรติดคุกแม้แต่คนเดียวนั้นจะต้องลุ้นหนักแค่ไหน เพราะมาถึงขั้นนี้แล้วมันเหมือนกับว่า “เหนือการควบคุม”แล้ว ทำได้อย่างเดียวก็คือต้องปล่อยไปตามยถากรรม หรือทุกอย่างเป็นไปตามกรรมเท่านั้น !!