xs
xsm
sm
md
lg

“มาตรฐานสูงส่ง”หรือแค่ “สร้างภาพ”!! “ปิยบุตร” สวมบท “เนติบริกรน้อย”แถน้ำขุ่นๆ เหตุ “ธนาธร”ไม่ได้ทำ “Blind Trust” **ผวาซ้ำรอย กี้ร์ !! คดีนปช.บุกบ้าน "ป๋าเปรม" 4 แกนนำ "วีระกานต์-ณัฐวุฒิ-วิภูแถลง-เหวง" กลับลำ ยอมรับสารภาพในชั้นฎีกา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ข่าวปนคน คนปนข่าว




** “มาตรฐานสูงส่ง”หรือแค่ “สร้างภาพ”!! “ปิยบุตร” สวมบท “เนติบริกรน้อย”แถน้ำขุ่นๆ เหตุ “ธนาธร”ไม่ได้ทำ “Blind Trust”อ้างยังไม่เป็น ส.ส.เต็มตัว โถๆๆ ก็ กกต.รับรอง-ผ่านพิธีปฏิญาณตนไปหมดแล้ว แถมยังเคยโผล่ไปใช้สิทธิ์ในห้องประชุมสภาฯ สร้างดรามาอีกต่างหาก แบบนี้ถือว่ามี สถานะ ส.ส. อย่างเป็นทางการ ตรงตาม“เอ็มโอยู”ตั้งนานแล้ว แค่ “ศาลรัฐธรรมนูญ”สั่งเว้นวรรคไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วย “คดีหุ้นสื่อ”เท่านั้น... จะว่าไปถึง“พ่อฟ้า”ได้ทำหน้าที่ ส.ส.ขึ้นมาจริง เพาเวอร์ คงไม่เท่าเป็น “เจ้าหนี้”พรรคอนาคตใหม่ ที่มี ส.ส.ตั้ง 80 คนหรอก

ควันหลงเปิดขุมทรัพย์ ส.ส. ... คนหนึ่งที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ก็ “พ่อของฟ้า”ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่รวยแบบไม่น่าแปลกใจ ด้วยทรัพย์สินกว่า 5.6 พันล้านบาท ...ที่ว่าไม่แปลกก็พอร์ตลงทุนของ “เครือไทยซัมมิท” ที่ “อาตี๋เอก”เคยดูแลมันมหาศาลมากกว่านี้หลายเท่าตัว ... ประเด็นหนึ่งที่ต้องตามต่อ ก็เรื่อง “เงินให้กู้ยืม” ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ และปรากฏว่าในบัญชีทรัพย์สินของ “เสี่ยเอก”ว่าปล่อยกู้แก่พรรคอนาคตใหม่ 2 ครั้ง รวมกว่า 191 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยอ้างว่ามีอุปสรรคในการระดมทุนเพื่อการหาเสียง ...

ที่ต้องตามคือ หนึ่ง เจ้าตัวเคยพูดไว้ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ว่า พรรคอนาคตใหม่เป็นหนี้ตัวเองอยู่ประมาณ 110 ล้านบาท เนื่องจากระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคไม่สามารถระดมทุนหาเงินได้ทันเวลาสำหรับการหาเสียง ซึ่งไม่ตรงกับที่แจ้งไว้กับ กกต. เข้าใจว่าอาจเป็นเพราะความหลงลืมตามประสา “คนรวย” ที่จำยอดหนี้ไม่ได้ ก็เป็นได้ หาได้ไปกล่าวหาว่าแจ้งบัญชีไม่ตรงความจริงแต่อย่างใด ... อีกเรื่องที่ต้อง “ลุ้นหนัก”อยู่ในระหว่างการพิจารณาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ประเด็นที่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 66 กำหนดไว้ว่า ไม่สามารถบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่พรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาทต่อปี และ กฎหมายฉบับเดียวกัน มาตรา 87 กำหนดให้การดำเนินกิจการของพรรค ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งของพรรค และสมาชิก และค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรค ให้ใช้จ่ายเงินที่มาจากรายได้ ที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ... อันเป็นเนื้อหาของ “กฎหมายใหม่”ที่ไม่อนุญาตให้พรรคการเมืองใช้ “เงินกู้”เพื่อป้องกันการถูก “นายทุน”ครอบงำพรรค อันเป็นจุดที่แตกต่างจาก “กฎหมายเก่า”ซึ่ง “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค และมือกฎหมายของพรรคพยายามอ้างว่า “ใครๆก็ทำกัน” มาตลอด ...
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ที่ “โป๊ะแตก”ที่สุดเห็นจะเป็นการที่ “สำนักข่าวอิศราฯ”ตั้งข้อสังเกตว่า “ธนาธร”แจ้ง ป.ป.ช. ถึงทรัพย์สินในส่วนของเงินลงทุนรวมของภรรยา กว่า 3.2 พันล้านบาท แต่ไม่ยักจะมี “หมายเหตุ”ถึงการทำบันทึกตกลง “Blind Trust”ที่ “ท่านธนาธร”เคยแถลงข่าวใหญ่โตว่า ให้สถาบันการเงินมีชื่อเสียงเข้ามาจัดการทรัพย์สินของตัวเองกว่า 5 พันล้านบาท ในช่วงที่ตัวเองดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วยังคุยเขื่องว่าเป็นการวาง “มาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง”เนื่องจากกฎหมายไม่ได้บังคับ ...

แต่จากการขุดคุ้ยของ“สำนักข่าวอิศราฯ”พบว่ามีหนังสือรับรองจากบริษัทหลักทรัพย์ในส่วนของ “มาดามวิ”รวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยาของธนาธร แค่จิ๊บๆ 24 ล้านบาทเท่านั้น หาใช่ 4-5 พันล้านบาท อย่างที่ “เสี่ยเอก”เคยเคลมเอาไว้ .. ก็เลยมีคนร้องทักว่า “แหกตา”กันหรือเปล่า หรือ หากเปลี่ยนใจไม่ทำ “Blind Trust”ก็น่าจะแจ้งให้สาธารณชนทราบเหมือนตอนที่แถลงข่าวใหญ่โต ไม่ใช่ปล่อยให้ “ติ่งอนาคตใหม่”เข้าใจว่า “เสี่ยเอก” ยังคง “มาตรฐานสูงส่ง”เหนือกว่าใคร เพราะเอาจริงๆ คงไม่มีใครว่ากระไรดอก ก็รู้กันอยู่ว่ากฎหมายเขาไม่ได้บังคับ ...

เมื่อถูกทักขึ้นมา คู่หูอย่าง “ปิยบุตร”ก็ออกมาสวมบท “เนติบริกรน้อย”ทันที ย้ำว่า การทำ “Blind Trust”เป็นความประสงค์ของ “ธนาธร”หัวหน้าพรรคของตัวเอง ไม่มีข้อกฎหมายใดกำหนด เพื่อสร้างมาตราฐานความโปร่งใส “เพียงแต่ว่าตอนนี้ นายธนาธรได้เป็น ส.ส. ที่ยังไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ของ ส.ส. เนื่องจากถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ถ้าวันใดศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้อง และให้นายธนาธร ปฏิบัติหน้าที่ส.ส. ตอนนั้นก็จะมีอำนาจในการเป็นส.ส. และทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อนั้นนายธนาธร ก็โอนทรัพย์สินให้กับ Blind Trust” ...
ปิยบุตร แสงกนกกุล
สิ่งที่“จารย์ป๊อก”พูดก็จริง แต่ก็จริงแค่ครึ่งเดียว วันนี้ “ธนาธร”ถือเป็น ส.ส. เป็นผู้แทนราษฎรแล้ว เพราะผ่านการรับรองของกกต. แล้วก็ยังได้ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง ใช้ห้องประชุมสภาฯ "สร้างดรามา" มาแล้วด้วย สำคัญที่ใน“เอ็มโอยู” ที่ “ธนาธร”เซ็นแล้วเอามาตีปี๊บก็ระบุชัดว่า “ขณะที่ลูกค้าดํารงสมาชิกภาพเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”บริษัทหลักทรัพย์ไม่สามารถทำอะไรได้บ้าง สถานะในตอนนี้ของ “ตี๋เอก”ก็เข้าเงื่อนไขอยู่แล้ว ... สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็สถานะของ “ธนาธร”วันนี้ไม่ใช่แค่ ส.ส.หัวเดียวกระเทียมลีบ ถึงไม่ได้เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส.ในสภาฯ แต่“เพาเวอร์”ก็คงไม่ได้ต่างจากสถานะในตอนนี้ ที่เป็นทั้ง“หัวหน้าพรรค”และยังเป็น “เจ้าหนี้”ของพรรคอนาคตใหม่ ที่มี ส.ส.ในมือตั้ง 80 ชีวิต เรียกว่า “ใหญ่คับประเทศ”กันเลยทีเดียว หากคิดจะใช้อำนาจเพื่อไขว่คว้าหาประโยชน์ ก็คงไม่เกี่ยวกับว่า “ธนาธร”จะเป็น หรือไม่ได้เป็น ส.ส.ด้วยซ้ำ ...

อารมณ์ “ลักปิดลักเปิด”จะทำ หรือไม่ทำ Blind Trust ก็น่าจะมีความชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยออกมา“ตีกิน”สร้างภาพให้ดู “สูงส่ง”กว่าเพื่อน ส.ส. หรือนักการเมืองคนอื่น แต่สุดท้ายตัวเองก็ไม่ได้ทำอย่างปากว่า ... แบบนี้ชะรอยจะเข้าสำนวน ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็น “พ่อของฟ้า”...
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
** ผวาซ้ำรอย กี้ร์ !! คดีนปช.บุกบ้าน "ป๋าเปรม" 4 แกนนำ "วีระกานต์-ณัฐวุฒิ-วิภูแถลง-เหวง" กลับลำ ยอมรับสารภาพในชั้นฎีกา หวังได้รับความเมตตาจากศาลลงโทษสถานเบา

คดี "กลุ่มนปช." นำคนเสื้อแดงบุกปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" อดีตประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 เพื่อกดดัน เรียกร้องให้ "ป๋าเปรม" ลาออกจากตำแหน่ง จนมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปรักษาความสงบเรียบร้อย บาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย ... และแกนนำนปช. ถูกดำเนินคดี ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ และ เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานฯ ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

ในเหตุการณ์ครั้งนั้น มีแกนนำ นปช. ตกเป็นจำเลย 7 คน ด้วยกัน คือ 1. นายนพรุจ หรือ นพรุฒ วรชิตวุฒิกุล 2. นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน 3. นายวันชัย นาพุทธา 4. นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ 5. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 6. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ 7. นพ.เหวง โตจิราการ ...

แน่นอนว่า ทุกคนให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี เพราะถือว่า "มีปลอกคอ" เนื่องจากช่วงนั้น "ระบอบทักษิณ" เบ่งบารมี คับประเทศ ...

หลังจากต่อสู้คดีมาเป็นเวลา 8 ปี กระทั่งวันที่ 16 ก.ย.58 ศาลชั้นต้น ก็มีคำพิพากษาออกมา ...ให้จำคุก นายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ฯ ส่วน นายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 จำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน และให้ยกฟ้อง นายวีระศักดิ์ และ นายวันชัย จำเลยที่ 2 และ 3 ... จำเลย ที่ถูกพิพากษาให้จำคุก ยื่นอุทธรณ์

ในชั้นอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 10 ม.ค.60 ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็นว่า พวกจำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ตาม มาตรา 138 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวาย โดยเป็นหัวหน้าสั่งการ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก แม้จะเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี 8 เดือน ส่วน นายนพรุจ จำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3 ... จำเลยยื่นฎีกา

ในชั้นฎีกา ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวานนี้ (23ก.ย.) โดยจำเลยที่ยืนฎีกา คือ นายนพรุจ นายวีระกานต์ นายณัฐวุฒิ นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง ไปศาลกันครบ ...และเมื่อถึงเวลานัด ศาลได้แจ้งว่า ก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลย 4 คน คือ นายวีระกานต์ นายณัฐวุฒิ นายวิภูเเถลง และ นพ.เหวง ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำ ให้การเดิม ที่เคยปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี เปลี่ยนเป็น รับสารภาพ ไม่ต่อสู้คดีแล้ว ... มีเพียง นายนพรุจ คนเดียว ที่ยังคงไม่กลับคำให้การ ขอสู้คดีต่อไป ... ศาลฎีกา จึงงดอ่านคำพิพากษา และนำคดีกลับไปพิจารณาใหม่ แล้วจะนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง...

"เต้น" ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ บอกว่า ได้ไปยื่นคำร้องกลับคำให้การจาก "ปฏิเสธ" เป็น "รับสารภาพ" เมื่อ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยได้กราบเรียนต่อศาล ว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ กลุ่มนปช. ตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย ต่อต้านการรัฐประหาร เพื่อให้ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่เคยประสงค์ให้เกิดความรุนแรงเสียหายกับ บุคคล องค์กร สถานที่ หรือ สถาบันใดๆ ...

ในวันเกิดเหตุ ก็เพียงต้องการเดินทางไปชุมนุมปราศรัย ที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ แล้วก็จะเดินทางกลับตามเวลาที่ได้ตกลงกันไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ เมื่อเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกัน นำมาสู่การบาดเจ็บทั้งประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็รู้สึกเสียใจ และได้สำนึกในความผิดที่ได้กระทำไปแล้ว ... อีกทั้งไม่ได้มีความขัดแย้งเป็นการส่วนตัว กับ "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" แต่อย่างใด...จึงขอความเมตตาจากศาลได้โปรดพิจารณาลงโทษสถานเบา ... หากโทษนั้นยังคงเป็นการตัดสินจำคุกอยู่ ก็ขอศาลได้โปรดพิจารณารอการลงโทษให้กับจำเลยด้วย...

"เต้น" คงนึกถึง "กี้ร์" อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช.อีกคน ที่เพิ่งถูกศาลฎีกา ตัดสินจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากกรณีพามวลชน "คนเสื้อแดง" ไปปิดล้อม และ บุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่พัทยา ซึ่งลักษณะคดีคล้ายคลึงกัน และจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า "กี้ร์" หนีกระเซอะกระเซิง ไปอยู่ที่ไหน ... จึงยอมกลับคำมารับสารภาพ ด้วยหวังว่า ศาลจะเมตตา ลดหย่อนผ่อนโทษให้บ้าง.



กำลังโหลดความคิดเห็น