“สนธิ” เปิดใจออกจากคุกได้เพราะพระมหากรุณาธิคุณ ย้ำเข้าไปตามกติกา ออกมาตามกติกา ในเรือนจำไร้สิทธิพิเศษ อยู่ได้เพราะยึดหลักธรรมพระพุทธเจ้า ทุกอย่างเป็นอนิจจัง พร้อมเรียกหา “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ตอนนี้อยู่ที่ไหน คุกไม่ได้เลวร้าย ชี้การเมืองไม่เคยเปลี่ยน ไม่ปลื้มทหารยึดอำนาจ แต่เปรียบเหมือนลูกสาวในบ้านท้องไม่มีพ่อ จะเฆี่ยนตีไปก็ไร้ประโยชน์ หวังเพียงว่า “ประยุทธ์” จะทำงานให้ดี เอาประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่เล่นพวกเล่นพ้อง ยืนยันไม่ลงถนนอีก หมดยุคแล้ว ขอทำหน้าที่ให้ความรู้ประชาชน
วันนี้ (12 ก.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวเปิดใจต่อสาธารณะครั้งแรก หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยบอกว่าสิ่งแรกขอกราบขอบพระคุณทุกกำลังใจที่มอบให้ ช่วงเวลาที่อยู่ในเรือนจำ 2 ปี 11 เดือน 27 วัน อยู่อย่างสงบเรียบร้อย ไม่มีใครรังแก และตนเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว อยู่ได้เพราะใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่บอกให้เราอยู่กับปัจจุบัน เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นห้องขัง ต้องรู้ว่ามันเป็นคุก แล้วเลิกฟุ้งซ่าน และต้องปฏิบัติตนตามคนคุก ไม่ไปอวดดี อวดเก่ง เขามีอะไรให้ทำก็ทำไป
นายสนธิกล่าวว่า ที่ตนไม่หนีก็เพราะว่าพ่อแม่พี่น้อง เพื่อน คนที่ทำงานด้วย จะได้เดินเชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผย อยู่ในเรือนจำได้เรียนรู้เยอะมาก โดยเฉพาะหลักอนิจจัง ทุกเรื่องเป็นสิ่งสมมติหมด ตอนไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้เจอ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ โดยบังเอิญ เมื่อมองย้อนหลังแล้วก็พบว่าความใหญ่ความโตเป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น
นายสนธิได้กล่าวถึงการเมืองไทยว่า ตั้งแต่ตนเป็นหนุ่มมาจนอายุ 72 การเมืองไม่เคยเปลี่ยน ก็เป็นอย่างนี้ของมัน ตนไม่ได้ปลื้มที่ทหารยึดอำนาจ แต่อุปมาอุปไมยเหมือนบ้านเรามีลูกสาวแล้วท้องไม่มีพ่อ จะเอามันขึงพืดทุบตีเฆี่ยนมันหรือ เราต้องยอมรับมัน และก็หวังว่ามันจะเลี้ยงลูกให้ดี ปกครองให้ดี ทำให้เป็นคนดี
“วันนี้จะดีจะชั่ว พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แล้ว หวังว่าท่านจะทำงานให้ดี หวังว่าท่านจะเอาประเทศเป็นตัวตั้ง เป็นส่วนรวม และหวังว่าท่านจะไม่เล่นพวกเล่นพ้อง ผมคิดว่าความหวังตรงนี้ต่างหากที่ผมคิดว่าถ้าหวังกันแบบนี้ทุกคน มันก็น่าจะมีอนาคต” นายสนธิกล่าว
นายสนธิกล่าวอีกว่า ในกรมราชทัณฑ์มีหลายอย่างที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข แต่ในยุคของ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ ทำได้ดีมาก ต้องขอแสดงความดีใจที่มีอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่ชื่อว่า พ.ต.อ.ณรัชต์ ถ้ากรมราชทัณฑ์ยังเอาคนลูกหม้อขึ้นมา กรมราชทัณฑ์มีแต่จะตกต่ำไปเรื่อยๆ ต้องเอาคนข้างนอกที่ไม่เคยสัมผัสเข้ามาสัมผัสบ้าง
นายสนธิกล่าวด้วยว่า ในช่วงนี้ยังไม่มีอะไรจะพูดเพราะเพิ่งออกมา แต่จะมีความเห็นออกไปข้างนอกโดยผ่านเฟซบุ๊ก ส่วนเรื่องคดีนั้นยังเหลือคดีแพ่งที่ถูกฟ้องเรียก 500 ล้าน เรื่องสนามบิน แต่สิ่งหนึ่งไม่เคยเปลี่ยนคือความจริงใจ และความต้องการจะทำให้บ้านเมืองมันดีขึ้น และหวังว่าการเมืองจะมีวิวัฒนาการและพัฒนาไปในรูปแบบที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
“อย่างน้อยที่สุดถึงผมไม่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านๆ เหมือนพวกกระทิงแดง แต่ผมชดใช้กรรมของผมทุกเม็ด ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที ทุกวินาที คุณบอลตอนนี้อยู่ที่ไหน คุณทักษิณอยู่ที่ไหน คุณยิ่งลักษณ์อยู่ที่ไหน อยากจะบอกว่าการติดคุกไม่น่ากลัว ถ้าทำใจได้ อาหารในคุกไม่เลวนัก เพราะฉะนั้นแล้วอย่าไปกังวล”
นายสนธิกล่าวย้ำว่า ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจ คงจะสักพักหนึ่ง ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหวหรือความเห็นบางอย่างจะออกเฟซบุ๊ก สนธิ ลิ้มทองกุล เข้าไปดูได้ และเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้
เมื่อถามถึงอนาคตการเคลื่อนไหวทางการเมือง นายสนธิกล่าวว่า จะให้ความรู้คนมากกว่า การออกถนนคงไม่ออก คิดว่าหมดยุคของการออกถนนแล้ว ขณะที่องค์ความรู้สำคัญมาก ตนให้องค์ความรู้คนมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ปี 2548 ชีวิตผ่านมาจนกระทั่งขมขื่นจนไม่รู้จะพูดอย่างไร หลังจากถูกจำคุก ภรรยาเสียชีวิต ถัดจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต ก็ไม่มีโอกาสออกมากราบพระบรมศพ ได้ดูแต่ข่าวในทีวี 3 ปี จึงมีแต่ความขมขื่น แต่ก็ผ่านไปได้ เพราะถือปรัชญาว่าอะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตเราต้องทำใจว่า “มันก็เป็นของมันอย่างนี้” และจบลงด้วยคำว่า “แล้วมันจะผ่านไป” ให้จำเอาไว้
คำต่อคำ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เปิดใจ 12 ก.ย. 2562
“ผมต้องขอประทานโทษนะครับที่ต้องใส่แว่นดำ เพราะว่าเข้าไปอยู่ในคุก 3 ปีเนี่ย ตาซ้ายบอดไปแล้ว เป็นต้อหิน มองไม่เห็นแล้ว ตาขวาเป็นต้อกระจก เพิ่งไปลอกต้อกระจกมาเมื่อวันที่ 14 ส.ค. ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ลอกมายังไม่ถึงเดือน เพราะฉะนั้นแล้วหมอกำชับว่าต้องใส่แว่นดำ
สิ่งแรกขอกราบขอบพระคุณกำลังใจทุกกำลังใจที่มอบให้ ก็อยากจะเรียนให้ทราบว่า 2 ปี 11 เดือน 27 วัน อยู่อย่างสงบเรียบร้อย ไม่มีใครรังแกผม และผมก็เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะว่าสิ่งหนึ่งซึ่งเราอยู่ได้ เราใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านบอกให้เราอยู่กับปัจจุบันวันนี้ การอยู่กับปัจจุบันก็คือว่า เมื่อคุณลืมตาขึ้นมา คุณเห็นห้องขัง คุณก็บอกว่านี่คือคุก พอคุณรู้ว่ามันเป็นคุก คุณก็เลิกฟุ้งซ่าน คุณก็ต้องปฏิบัติตนตามคนคุก อย่าไปอวดดี อวดซ่า อวดเก่ง นะฮะ เขามีอะไรให้ทำก็ทำไป เผอิญคนอายุ 70 แล้วเขาไม่ได้ใช้งานอะไรมากมายนัก แต่ไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไร ข่าวคราวที่พรรคพวกเราอย่างเช่นคุณสุริยะใสพูด เรื่องมีงานจัดล้งจัดเลี้ยงนั้น อย่าไปจริงจังกับมัน เจ้าหน้าที่มีทั้งดีและมีทั้งเลว แต่คนดีมีมากกว่า
มีคนเลวถ่ายคลิปของนักโทษที่เป็นดาราชื่อเก่ง แล้วก็ส่งไปให้ภรรยา แล้วก็แชร์กัน นี่คือเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็เลยกลายเป็นว่านักโทษมีอภิสิทธิ์ ไม่มีครับ เหมือนอย่างชูวิทย์พูดล่ะ มีแต่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ
ปัญหาใหญ่ทุกวันนี้ของผมเลย ยังไม่ชินกับกางเกงขายาว และใส่ถุงเท้า อย่างที่คุณทราบ คืนแรกที่กลับไป นอนไม่หลับ เพราะนอนในคุก ไฟมันต้องเปิดทั้งคืน พอเข้าไปนอนในห้องนอนตัวเอง ไฟมันมืดสนิท และไม่เคยเจอแอร์ พอเจอแอร์เข้าไปเป็นไข้ ก็เลยนอนไม่หลับไป 1-2 วัน พี่น้องอยู่ข้างนอก เดือนเมษายนที่มีคลื่นความร้อน พี่น้องบอกร้อนเหรอ ในคุกนี่มันร้อนนรก ร้อนนรกก็ต้องทนเอา ที่ผมออกมาได้ก็เพราะปาฏิหาริย์ และเพราะพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด
ผมเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม การพระราชทานอภัยโทษครั้งที่แล้ว เดือนพฤษภาคม ผมอยู่มาตรา 8 - มาตรา 8 แปลว่าอะไร แปลว่าถูกกั๊ก 1 ขั้น ถ้าอยู่มาตรา 7 นักโทษชั้นเยี่ยม วาระพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะได้ลดโทษครึ่งหนึ่ง โทษ 20 ก็เหลือ 10 ปี แต่อยู่มาตรา 8 เนื่องจากมี พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ซึ่งเขาตั้งมาเพื่อเอาไว้กั๊กผมโดยเฉพาะ คือเป็นเรื่องทางการเมือง ไม่ใช่เกี่ยวกับกรมราชทัณฑ์ ให้สนธิมันออกยากหน่อย ผมเข้าคุกวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559
31 สิงหาคม อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ชื่อ คุณปฏิคม วงษ์สุวรรณ ออกระเบียบมาว่า คนที่เข้าคุกตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ไม่มีสิทธิทำชั้นเป็นเวลา 5 ปี คือจะเอาผมติดคุก 5 ปี แล้วค่อยทำชั้น แต่เผอิญเวรกรรมนี้มันทำให้นักโทษที่เพิ่งเข้าใหม่ทุกคนเดือดร้อนหมด ก็เลยมีการร้องเรียนทางกรมฯ หลังจากที่คุณปฏิคมออกไปแล้ว อธิบดีคนใหม่มา เขาก็ดำเนินการเปลี่ยนแปลงว่าไม่ต้องกั๊ก 5 ปี ให้เหมือนเดิม สอบทำชั้น เป็นคนดี มีวินัย ก็เข้าไป
ตั้งแต่ผมอยู่คุกมา 2 ปี 11 เดือน กับ 27 วัน ผมต้องขอแสดงความดีใจว่าเรามีอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่ชื่อว่า พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ เป็นคนดี กรมราชทัณฑ์ถ้ายังเอาคนลูกหม้อกรมราชทัณฑ์ขึ้นมา กรมราชทัณฑ์มีแต่ตกต่ำไปเรื่อยๆ ต้องเอาคนข้างนอกที่ไม่เคยสัมผัส แล้วเข้ามาสัมผัส อย่าไปเชื่อ เขาจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พวกคุณใครเคยนอนผ้าห่มสามผืนบ้าง ผ้าห่มสามผืนก็คือ หนึ่งผืนเป็นที่นอน หนึ่งผืนพับเพื่อทำเป็นหมอน หนึ่งผืนเพื่อที่จะห่ม เป็นความคิดที่อำมหิตมาก นักโทษที่เข้าเรือนจำ เข้าอย่างสุขภาพสมบูรณ์ พ้นโทษไปเป็นคนกึ่งพิการ ปวดหลัง หมอตาไม่มี มีอยู่คนหนึ่งก็ลาออกไปแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดในกรมราชทัณฑ์ คือ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่นั่นเขามองนักโทษเป็นคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้มองเป็นนักโทษ แต่ข้าราชการกรมราชทัณฑ์บางคนในอดีตมองนักโทษเป็นเศษมนุษย์ มันก็มีเหมือนกันนักโทษที่เป็นเศษมนุษย์ เพราะมันเลวบัดซบมาก แต่เขาก็มีวิธีปราบปรามนักโทษที่เป็นเศษมนุษย์อยู่
ผมมีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟัง ผมอยู่แดน 7 มีคนอยู่ประมาณนร้อยกว่าคน ผมนอนห้อง 6 ห้องเล็กๆ นอนกันประมาณ 8 คน 8 คนนี่เรียกว่านอนแล้วขยับพลิกซ้ายไม่ได้ พลิกขวาไม่ได้ เพราะมันติดกันหมด ตอนเช้าเราก็ออกมาเดินรอบสนามข้างในแดน ออกกำลังกาย มีคนเดินกับผมอีก 3 คน เป็น 4 คน ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น ระหว่างเดินไปถึงสุดสนาม เดินไป-เดินกลับ เดินไปสุดสนาม เดินกลับ ผมเกิดนึกขึ้นมาว่า เฮ้ย ตลกเว้ย มันอนิจจังจริงๆ คุณจบที่ไหน คนหนึ่งจบปริญญาโท มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อีกคนจบยูนิเวอร์ซิตีออฟวิสคอนซิน อีกคนจบยูนิเวอร์ซิตีออฟเพนซิลเวเนีย และผมจบ UCLA ผมบอก พวกเรานี่จบท็อปเทนของโลกนะ 4 คน แล้วมาติดคุกกันหมดเลยนี่นะ ผมบอกว่าไอ้เรื่องพวกนี้มันเรื่องอนิจจัง เห็นหรือยัง เมื่อผิดก็ผิด
สิ่งหนึ่งซึ่งผมพูดตลอดเวลาว่า ผมเข้าตามกติกา และก็ออกตามกติกา ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพราะว่ามีผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เขาติดคุกข้อหาปั่นหุ้น แล้วเขาทำธุรกิจทางด้านอินเทอร์เน็ต เขาก็โดนกั๊กด้วย พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ปรากฏว่าพออภัยโทษมา เขาได้ลด 1 ใน 3 เหมือนผม ได้ลด 1 ใน 3 เขาไม่พอใจ เขาบอกไม่เป็นธรรม ก็เลยให้ทนายไปศึกษาข้อกฎหมาย ทนายเขาไปศึกษาเสร็จเรียบร้อยก็ยื่นเรื่องผ่านเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ส่งไปที่ศาล ศาลท่านพิจารณาแล้วท่านก็บอกว่า คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น เขากำลังบอกว่า พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ นั้นมันกั๊ก ด้วยเหตุผลที่ว่าคนที่อยู่ในวงการเงินธนาคาร เครดิตฟองซิเอร์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โน่นนี่นั่น ถึงจะโดนกั๊ก แต่คนที่ทำธุรกิจอาชีพอื่น อย่างเช่น อาชีพสื่อสารฯ อินเทอร์เน็ต ไม่เข้าข่าย ซึ่งเมื่อเขาสั่งให้เปลี่ยนผู้ต้องขังคนนั้นจากมาตรา 8 ซึ่งลด 1 ใน 3 มาเป็นมาตรา 7 ลด 1 ใน 2 ผมนั่งเฉยๆ ขนมเปี๊ยะหล่นมาจากฟ้า เดินผ่านตึก มันล้มทับผมมา ผมไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเมื่อเขาปรับแก้ของนักโทษคนนั้น ผมก็อยู่ในกรณีเดียวกัน เขาก็ปรับแก้ผมจากมาตรา 8 ขึ้นเป็นมาตรา 7 แต่ผมโชคดีและโชคร้าย ผมโชคดีที่ผมอายุเกิน 70 ผมก็ได้อานิสงส์จากมาตรา 6 ที่บอกว่าถ้าใครเกิน 70 ปี ให้ปล่อยเลย ตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษคราวที่แล้ว ส่วนโชคร้ายก็คือว่า ตั้ง 70 แก่แล้ว
ทีนี้ ที่เรือนจำก็มีฝรั่งอยู่คนหนึ่ง อายุ 74 ทำผิดข้อหาโกงบัตรเครดิต โทษ 44 ปี จำคุกมา 4 ปี พอมาวาระราชาภิเษก คดีเขาก็คือโกงบัตรเครดิต ไม่ได้อยู่ในแนบท้ายกฤษฎีกา เมื่อไม่อยู่แล้ว เขาเกิน 70 คุณเชื่อไหม เหลือ 40 ปี ต้องปล่อย เพราะกฎหมายกฤษฎีกาบอกชัดเจนว่าถ้า 60 ขึ้นไป โทษต่ำกว่า 3 ปล่อย แต่ถ้า 70 โทษเหลือเท่าไรก็ปล่อย เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่อยู่ข้างนอกไม่เข้าใจและมโน ผมขอกราบเรียนพี่น้องทุกคนว่าผมเข้าตามกติกา และออกตามกติกา นั่งเฉยๆ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น และผมไม่เสียใจอะไรทั้งสิ้น เพราะวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559 เมื่อศาลฎีกาพิพากษาว่าผมผิดที่ผมไม่ได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นที่จะเอาบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปค้ำประกันอีกบริษัทหนึ่ง ผิดโน่นผิดนี่ เขาก็ลงโทษผม ต่างกรรมต่างวาระ 85 ปี แต่เนื่องจากกฎหมายระบุว่าห้ามจำคุกเกิน 20 ปี เขาก็ลดเหลือ 20 ปี
ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ วันแรกที่เข้า นอนข้างๆ ผมก็คือคนค้ายาเสพติด โทษ 20 ปีเหมือนกัน โทษของผมคือไม่ได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้น เราต้องทำใจ แล้วผมมามองย้อนหลัง ถ้าใครที่ใกล้ชิดผม สนิทสนมกับผม คุณสนธิทำไมไม่หนี วันนี้ผมมามองย้อนหลังว่าที่ผมไม่หนี เหตุผลเพราะอะไร ก็ไม่ใช่เพราะว่าที่ยืนกันหน้าสลอนมาให้กำลังใจผมนี่เหรอ ลูกผม ภรรยาผม ลูกน้องผมที่อยู่ทำงานด้านสื่อมวลชน ถ้าผมหนี เขาเดินบนถนนต้องเอาปี๊บคลุมหัว แล้วเขาก็จะบอกว่า เอ้า ไหน นายมึงแน่นักเหรอ แน่แล้วทำไมต้องหนี ที่ผมไม่หนีก็เพราะว่าพ่อแม่พี่น้อง เพราะเพื่อนผม เพราะคนที่อยู่ทำงานกับผม เขาจะได้เดินแล้วเชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผย ศาลฎีกาพิพากษาผมไป พร้อม ผมยังเสียใจที่คุณอริสมันต์ไม่ยอมไป เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือเหตุผลที่ผมไม่หนี
ถามว่าผมเรียนรู้อะไรในนั้น ผมเรียนรู้เยอะมาก เรียนรู้หลักอนิจจัง เรียนรู้ว่าทุกเรื่องมันสมมติหมด ผม เวลาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งอยู่ติดกับเรือนจำคลองเปรม ผมเจอคนที่ผมไม่ควรจะเจอ แต่ก็เจอ คือ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ เมื่อเรามามองแล้ว เรามาคิดแล้ว เรามองย้อนหลังแล้ว ความใหญ่ความโตพวกนี้มันเป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น
ปีนี้ ผม 72 หกรอบ ผมดูทีวี ดูการเมือง ผมรู้ว่าผู้สื่อข่าวอยากจะถามผมเรื่องนี้ ผมตอบสั้นๆ จากที่ผมเป็นหนุ่ม มาจนถึงผมอายุ 72 การเมืองไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคย มันก็ระยำตำบอนอย่างนี้ของมัน
แต่หลายคนถามผมว่า นายกฯ ผิดรัฐธรรมนูญเพราะว่าไม่ถวายสัตย์ฯ เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ผมก็นึกในใจ พวกมึงกินข้าวอิ่มไม่มีอะไรทำกันแล้วเหรอ มาทะเลาะกันในเรื่องนายกฯ ไม่ได้ถวายสัตย์ เรื่องใหญ่ของชาติบ้านเมืองทำไมไม่ตั้งใจทำงานกัน
ทุกคนก็บอกว่านายกฯ ไม่ได้มาตามระบอบประชาธิปไตย ผมบอกว่า ระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญบ้านเรานี่ มันเป็นเพียงลมปาก ในความเป็นจริงแม้กระทั่งในระบอบประชาธิปไตย มันก็มีความเป็นเผด็จการอยู่ เหมือนสมัยก่อนมีเผด็จการรัฐสภา
ผมไม่ได้ปลื้มนะที่ทหารมายึดอำนาจ แต่ผมยอมรับ อุปมาอุปไมยเรามีบ้านเรามีลูกสาว แล้วลูกเราท้องไม่มีพ่อ คุณจะเอามันขึงพืดทุบตีมัน เฆี่ยนมันเหรอ ต้องยอมรับมันไป และก็หวังว่ามันจะเลี้ยงลูกให้ดี ปกครองให้ดี ทำให้เป็นคนดี วันนี้จะดีจะชั่ว พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แล้ว หวังว่าท่านจะทำงานให้ดี หวังว่าท่านจะเอาประเทศเป็นตัวตั้ง เป็นส่วนรวม และหวังว่าท่านจะไม่เล่นพวกเล่นพ้อง ผมคิดว่าความหวังตรงนี้ต่างหากที่ผมคิดว่าถ้าหวังกันแบบนี้ทุกคน มันก็น่าจะมีอนาคต
และผมก็ไม่ต้องการให้คนทะเลาะกัน แต่ว่าความคิดเห็นต่างกัน เราต้องยอมรับ ผมดูทีวีแล้ว ผมก็สงสารคุณช่อ อย่าเพิ่งหัวเราะ คุณช่อนี่ทำอะไรผิดไปหมด เห็นใจเขา อาจจะเป็นบุคลิกเขาเป็นคนอย่างนั้น แต่ในความปรารถนาดีของเขาก็ยังมีอะไรที่ควรชมเชย เพียงแต่ความปรารถนาดีของเขาและพวกเขานั้นมันไม่ทันต่อเหตุการณ์ในบ้านเมือง มันก้าวล้ำไปอีกไกล หลายคนยังยอมรับไม่ได้
ผมเจอหลายคน เจอผมที่ศาล พี่ สบายดีนะ ผมตวาดแว้ด คนติดคุกมีใครสบายวะ แต่พี่ดูดี มึงลองเข้ามาติดบ้างสิ ผมก็บอกว่า ถ้าถามคนติดคุก ต้องถามคำเดียวพออยู่ได้ไหม เท่านั้นเอง และพี่น้องผมไม่เคยอาย ผมไปที่ร้านอาหารร้านหนึ่งเร็วๆ นี้ เมื่อ 2-3 วันนี้เอง ไปกินข้าว อ้าว พี่สนธิ พี่เป็นไงบ้าง เออพี่เพิ่งออกจากคุกว่ะ ติดมา 2 ปี 11 เดือน พูดลั่นร้านเลย คนหันกันขวับๆ ไม่เห็นจะต้องมีอะไรอาย
สิ่งหนึ่งซึ่งผมชำนาญมาก พวกคุณไม่มีใครรู้ ผมนี่บอกได้หมดเลยนะว่า ช่องทีวีช่องไหนเป็นช่องใครๆ ใครปิดไปบ้าง ใครบ้างที่เป็นพิธีกรของช่องโน้นช่องนี้ เพราะดูจนจำแม่น แต่พอตอนหลังกรมราชทัณฑ์ท่านมีความรู้สึกว่าให้ดูข่าวมากเกินไปไม่ดี เดี๋ยวฟุ้งซ่าน ท่านก็เลยให้หลงละเมอกับความบันเทิง ท่านบังคับให้เปิดเฉพาะช่องโมโน 29 ก็ดูมันทุกวันนะหนังเก่าๆ เวียนแล้วเวียนอีก จนกระทั่งจำได้ว่าฉากนี้เดี๋ยวมันต้องต่อยกันแล้ว มันมีหลายอย่างที่กรมราชทัณฑ์อาจจะต้องปรับปรุงแก้ไข แต่ในยุคของ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ ทำได้ดีมาก
ผมไม่มีอะไรจะพูด เพิ่งออกมา มีอยู่อย่างเดียว ไม่ต้องกังวล ผมยังมีความเห็นที่จะออกไปข้างนอก แต่ผ่านเฟซบุ๊กของผม วันนี้ผมออกมาอย่างคนหมดตูด คดีแพ่ง 500 ล้าน เรื่องสนามบิน ทรัพย์สินผมโดนอายัดหมดตอนนี้ ทุกวันนี้ได้ความเมตตาจากลูกชายให้เงินใช้ แต่ก็ยังโอเคอยู่
แต่สิ่งหนึ่งไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว ความจริงใจและความต้องการจะทำให้บ้านเมืองมันดีขึ้น แน่นอนที่สุด นี่คือสิ่งที่ต้องการทำ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวลครับ ผมเพียงแต่หวังว่าการเมืองมันจะมีวิวัฒนาการและพัฒนาไปในรูปแบบที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นปกติธรรมดา เราเกลียดใคร เราก็ไม่ชอบขี้หน้ามัน เรารักใคร เราก็เทิดทูนบูชา
ผมคิดว่ามองทุกอย่างบนพื้นฐานของความเป็นจริง ตื่นมาตอนเช้าผมลืมตา ผมถามตัวผมเองว่า กูยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม ใช่ ผมก็บอกว่า เออดี เสร็จแล้วพอลุกขึ้นมาตอนตี 4 ผมปฏิบัติธรรมทุกคืนก่อนนอน 1 ชั่วโมง ตอนเช้าตื่นมาตี 4 ปฏิบัติธรรมต่อไปจนถึงเกือบ 6 โมงเช้า ปฏิบัติธรรมนี่คือนั่งวิปัสสนา ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์เท่าครั้งที่ติดคุก ผมเห็นฝนตกในคุก เย็นสบายดี ทุกคนเขาเรียกผมคุณอา อาคืนนี้หลับสบายนะ เย็น แต่ใจเราอดคิดไม่ได้ ไอ้คนข้างนอกมันจะตายเอา แต่คนอยู่ในคุกมันสบาย ต่างสถานการณ์ ต่างสิ่งแวดล้อม ความคิดก็ต่างกันไป ไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าไปยึดถือ สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการติดคุก คือ ผมเห็นประชาชนคนไทยที่แท้จริงมันอยู่ในคุก คนจนมันจนจริงๆ 30 เปอร์เซ็นต์ของคนติดคุก ติดเพราะไม่มีทนายที่เก่ง เขาพูดว่าคนรวยไม่ติดคุก จริง 70 เปอร์เซ็นต์ ไม่จริง 30 เปอร์เซ็นต์
แต่อย่างน้อยที่สุด ถึงผมไม่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านๆ เหมือนพวกกระทิงแดง แต่ผมชดใช้กรรมของผมทุกเม็ด ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที ทุกวินาที คุณบอลตอนนี้อยู่ที่ไหน คุณทักษิณอยู่ที่ไหน คุณยิ่งลักษณ์อยู่ที่ไหน อยากจะบอกว่าการติดคุกไม่น่ากลัว ถ้าทำใจได้ อาหารในคุกไม่เลวนัก พอรับประทานได้ เพราะฉะนั้นแล้วอย่าไปกังวล มีอยู่อย่างเดียวที่เลวที่สุดก็คือผ้าห่มสามผืน แต่ท่านอธิบดีท่านสั่งแก้ไขแล้ว ท่านให้ใช้ที่นอนยางพารา แต่เนื่องจากงบประมาณยังมีไม่พอ ก็เลยรอไปนิดหนึ่ง
ผมขอบพระคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจผม ก็คงจะสักพักหนึ่ง ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหวหรือความเห็นบางอย่าง ผมจะออกเฟซบุ๊กสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าไปดูได้ และเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้
แล้วที่สำคัญก็คือว่า ซาบซึ้งในความรัก ความคิดถึง ความปรารถนาดี ความห่วงใยที่พ่อแม่พี่น้องมีต่อผม หลายคนได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมผม แค่เห็นหน้าผม เขาต้องการเข้ามาให้กำลังใจผม เห็นหน้าผมก็ร้องไห้โฮ ถือโทรศัพท์ร้องไห้โฮ ร้องอยู่นั่นล่ะ จนกระทั่งผมซึ่งควรจะถูกได้รับกำลังใจกลับต้องให้กำลังใจมัน ปลอบขวัญมันให้มันหยุดร้องไห้ ผมก็บอกเลขาฯ ของผมทีหลังเธอไม่ต้องพาใครมาอีกนะ ฉันขมขื่นเหลือเกินชีวิตฉัน เธออย่าคิดว่าคนคุกอย่างฉันมีความสุขนะ ขอให้ผ่านวันๆ ไปได้ก็ดี
มีหลายอย่างที่อยากจะเล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟัง แต่ขอให้จำเอาไว้อย่างหนึ่ง ให้เชื่อผม คุกไม่ได้เลวร้าย ถ้าเรายอมรับว่าเราคือนักโทษ และเรายอมรับว่านี่คือคุก ปฏิบัติตามระเบียบเขา ปัญหาไม่มี ผู้คุมที่เฮงซวย ไถเงินผู้ต้องขัง มีไหม มี แต่จำนวนน้อยมาก ผู้คุมดีๆ มีอีกเยอะ เพราะฉะนั้นให้จำเอาไว้
ผมไม่มีอะไรจะพูด ผมเพียงแต่หวังว่า พวกเราต้องผ่านชีวิตในช่วงนี้ไปให้ได้ ยากลำบากอย่างไรต้องกัดฟันทน ใครที่คิดว่าจะให้ผมออกถนนอีก ไม่ต้องแล้ว ผมไม่ออกแล้ว เห็นใจเถอะ ผม 72 แล้วปีนี้ พฤศจิกายนนี้ก็ 72 แล้ว ก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อไป กราบขอบพระคุณมาก มีแต่นักข่าวจะถามอะไรผมหรือเปล่า ถ้าถามก็ถือโอกาสถามตอนนี้ ไม่อย่างนั้นผมก็จะขอจบ
ถาม - สถานะตอนนี้คือเป็นพักโทษหรือเปล่า
ตอบ - ผมได้รับพระราชทานอภัยโทษ ไม่ได้พัก โทษหมดแล้ว ไม่มีเหลือเลย มีอยู่อย่างเดียวคือ เคยเป็นคนที่เคยต้องโทษมาก่อน ถ้ามีพระราชบัญญัติล้างมลทิน ก็จบ
ถาม - หลังจากนี้มีคดีต้องต่อสู้อีก?
ตอบ - ผมมีเหลืออยู่คดีเดียว คดีสนามบิน ซึ่งก็ยังสู้กันอยู่ตอนนี้ คดีอื่นๆ คดีบุกทำเนียบฯ รับโทษไปแล้ว 8 เดือน คดีบุกรัฐสภา ศาลท่านยกฟ้อง คดีกบฏ ศาลท่านบอกว่าฟ้องซ้ำ ท่านยก ศาลอุทธรณ์ก็ยก เพราะฉะนั้นผมไม่มีคดีเหลือเลย ผมเหลือคดีสนามบินเพียงคดีเดียว
ถาม - จะกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไรบ้าง
ตอบ - ผมคิดว่าผมให้ความรู้คนมากกว่า การออกถนน ผมคงไม่ออก แล้วผมคิดว่ามันหมดยุคของการออกถนนแล้ว มันหมดยุคจริงๆ องค์ความรู้สำคัญมาก ผมให้องค์ความรู้คนมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ปี 2548 ชีวิตผมผ่านมาจนกระทั่ง มันขมขื่นจนไม่รู้จะพูดอย่างไร 17 เมษายน 2552 โดนยิง 200 นัด แผลอยู่ที่นี่ หมอทำซีทีสแกนที่โรงพยาบาลตำรวจ บอกว่าท่านยังมีเศษกระสุนเหลืออยู่ 2 ชิ้นในหัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว เข้าไปในคุกวันที่ 6 กันยายน 2559 วันที่ 3 ตุลาคม 2559 ภรรยาผมเสียชีวิต ลูกชายผมกับเลขาฯ เข้าไปแจ้งให้ผมทราบข้างใน เป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่ผมร้องไห้เหมือนเด็ก ร้องไห้โฮ เหมือนเด็กถูกห้ามกินขนม อย่างนั้นเลย จนกระทั่งลูกชายต้องมากอดผม บอก ป๋าๆ ทำใจให้ได้ 13 ตุลาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ท่านสิ้นพระชนม์ ก็ร้องไห้อีก น้ำตาซึม ชีวิตนี้ไม่มีโอกาสที่จะได้ออกมาไปกราบพระศพพระองค์ท่าน ดูแต่ทีวี คุณนึกดูก็แล้วกัน สามปีผมมีแต่ความขมขื่น แต่ผมก็ผ่านไปได้
สุดท้ายนี้ ผมให้ข้อคิด มีคนถามผมว่า คุณสนธิมีปรัชญาอะไรบ้างที่ใช้ ถึงผ่านไปได้ ผมบอกมีอยู่สองข้อ ข้อแรก ผมบอกว่า “มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ” อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ถ้าเกิดแล้วมันน่าประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ ต้องทำใจไปว่า “มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ” อันที่สอง จบลงด้วยคำว่า “แล้วมันจะผ่านไป” ให้จำเอาไว้ “แล้วมันก็จะผ่านไป”
ผมเห็นคนมุสลิม ชื่อ ยูซุป โดนคดีล่วงละเมิดทางเพศ อยู่ในคุก มีที่ดินอยู่แถวมีนบุรี มูลค่า 200 กว่าล้าน ลูกมาเยี่ยมเพื่อให้พ่อเซ็นมอบอำนาจให้ขายที่ดิน พ่อไม่ยอมเซ็น ลูกก็เลยไม่มาเยี่ยมเลย เป็นเวลา 3 ปี ไม่มีข้าวกิน นวดนักโทษด้วยกันเพื่อแลกอาหาร 1 มื้อ คนมีเงิน 200 กว่าล้าน ขมขื่นไหม คนที่แต่งงาน มีเมีย โดนต้องโทษคดีฆ่าคนเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เมียแต่งงานมา 27 ปี มีลูก 4 คน ปรากฏว่า ภาษาคุกเขาเรียกว่าเมียเลี้ยว เมียทิ้งไปเลย อยู่คนเดียวไม่รู้จะทำอย่างไร ภาษาคุกเขาเรียกว่ารั่วไปเลย “รั่ว” รั่วไปเลย เหมือนคนบ้า ผมเห็นมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้น รักษาสภาพจิตสภาพใจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ถาม - มีข้อแนะนำอะไร เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ตอบ - ผมไม่มี ยังไม่มีอะไร อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งล้วงลึกเข้าไปถึงการบริหารราชการแผ่นดิน เอาเป็นว่าผมคิดว่าอย่าไปรังเกียจรังงอน พล.อ.ประยุทธ์ ผมอธิบายแล้วว่าเหมือนลูกที่ท้องมาแล้ว ตั้งมาแล้ว ผลักดันมาแล้ว และผมก็ไม่เคยตื่นเต้นนะว่าคนนั้นจะออกจากพรรคนู้นพรรคนี้ คุณเชื่อผม ในระบบการเมืองเขาหาทางแก้ไว้เรียบร้อยแล้ว สมัยก่อนเป็นอย่างนี้ สมัยนี้ก็เป็นอย่างนี้ และสมัยหน้าก็จะเป็นอย่างนี้ ใครจะไปรู้ล่ะ ผมเชื่อว่าในพรรคเพื่อไทยก็คงมีอยู่อย่างน้อย 20-30 คน ที่เขาซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะนี่คือการเมืองเมืองไทย คุณไปตัดสินมันด้วยเหตุการณ์อันนี้ แล้วคุณเอาศีลธรรม จริยธรรม มาตัดสินการเมือง การเมืองเมืองไทยไม่เคยมีจริยธรรมเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วผมถามคุณคำหนึ่ง มีรัฐบาลชุดไหนบ้างที่พอเป็นรัฐบาลแล้วไม่ต่อยอด คุณจำที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ได้ไหม ทันทีเลย ก็ต้องการต่อยอดให้เป็นรัฐบาลต่อไป ทุกรัฐบาลเหมือนกันหมด เมื่อเหมือนกันหมดแล้ว มันก็ต้องมีการต่อสู้กัน
กราบขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องทุกคน แล้วก็ขอให้คิดให้เป็นว่า มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ และมันก็จะผ่านไป ขอบพระคุณมากครับ”