xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.กินปูนร้อนท้อง? สั่งสำนักงานกฎหมายร่อนสารขู่สื่อ ห้ามขยี้แผล “คดีปาล์มอินโดฯ” **หลังรัฐบาลลุงตู่ รับพระราชทานพระราชดำรัสฯ เชื่อว่าจะเป็นพลังฟันฝ่าอุปสรรค ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ให้ลุล่วงไปได้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ข่าวปนคน คนปนข่าว




** ปตท.กินปูนร้อนท้อง? สั่งสำนักงานกฎหมายร่อนสารขู่สื่อ ห้ามขยี้แผล “คดีปาล์มอินโดฯ”อ้างอยู่ในกระบวนการปฏิบัติการ “ฝ่ามือเดียวปิดฟ้า”สวนทางคำพูดองค์กรโปร่งใส!

จาก“คดีปาล์มอินโดนีเซีย”ที่กลับมาเป็นกระแสแรงอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคนคิดถึง “ปตท.”...เพราะจุดเริ่มต้นเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย ของบริษัท พีทีที เอ็นเนอร์ยี่ พีอีที ลิมิเต็ด (PTTGE)บริษัทลูกของปตท.

ขึ้นชื่อว่าเป็น“คดี”ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว แรกเริ่มที่มีข่าวในตอนนู้นก็ว่าช็อกข้ามประเทศกันแล้ว ตอนนี้ถูกบี้ผลการตรวจสอบเผลอๆ ยิ่งจะช็อกกันใหญ่...ใครเลยจะคิดว่า ระดับปตท. ที่เป็นบริษัทใหญ่เหมือนตัวแทนประเทศ จะมีเรื่องราวการทุจริต คอร์รัปชันที่ทำเอาขายขี้หน้าข้ามชาติ ถึงกับเป็นอีก“คดี”ที่วงการธุรกิจพูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้ ... ถามคนในปตท.เอง ทุกคนวันนี้ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดกับบาดแผลนี้เสมอ อยากจะลืมๆไป อยากจะให้เรื่องราวไม่ต้องย้อนมาพูดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก

ด้วยเหตุนี้หรือไม่ ไม่อาจจะทราบได้ จู่ๆ ก็มีหนังสือจากสำนักงานกฎหมายยักษ์ใหญ่ “เบเกอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่”ที่ ปตท.ว่าจ้าง ส่งมาถึง "กองบก.ผู้จัดการ" ว่าด้วยเรื่อง“การเผยแพร่ข่าว”ที่เกี่ยวกับ PTTGE เนื้อหาในหนังสือ แม้จะใช้ถ้อยคำให้ดูดีว่า “ขอความร่วมมือ”แต่ประสบการณ์ของคนทำสื่อ นี่คือเจตนาไม่ต่างกับการ“ขู่”จะเล่นงานด้วยกฎหมายกับสื่อว่า จะเสนอข่าวอะไร ให้ระวัง อ้างว่าเรื่องอยู่ระหว่างกระบวนการยุติธรรม...

คำถาม คือ ปตท.กำลังกลัวอะไรกับการนำเสนอข่าวเรื่องนี้ หรือกำลัง "กินปูนร้อนท้อง?" ด้วยมีอดีตผู้บริหารของปตท. เข้าไปพัวพันกับการโกง หรือได้ประโยชน์จากสินบน อะไร อย่างไร ? ... วิธีปิดปากสื่อด้วยการใช้สำนักกฎหมายแทนการชี้แจงด้วยข้อเท็จจริง มองข้ามมาตรฐานวิชาชีพของสื่อ ไม่น่าจะเกิดขึ้นแล้วในพ.ศ.นี้
ชาญศิลป์ ตรีนุชกร
อดคิดไม่ได้ว่า หลายๆ ครั้งที่ “ชาญศิลป์ ตรีนุชกร”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปตท. เคยว่าออกสื่อ ปตท.ยุคนี้พยายามจะลดคดีฟ้องร้องความขัดแย้งกับคู่กรณี ด้วยความเข้าใจแทน... การกระทำนี้มันสวนทางกับคำพูดหรือเปล่า คงไตร่ตรองได้ !

ย้อนกลับไปดูความเป็นมาของโครงการนี้กันนิด โครงการนี้เริ่มต้นขึ้นช่วงเดือนพ.ย.49 โดยใช้ชื่อว่า โครงการพัฒนาธุรกิจน้ำมันปาล์ม โดยบอร์ด ปตท. อนุมัติหลักการลงทุนในธุรกิจปลูกปาล์ม ในประเทศอินโดนีเซีย ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ม.ย. 50 บอร์ด ปตท. ดึง "นิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา" มาปฏิบัติงาน Secondment PTT ตำแหน่งผู้ช่วยสังกัดกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตามคำสั่ง ปตท. ที่ 60/2550 ที่ต่อมาเป็นตัวละครสำคัญของคดีที่ว่ากันว่า กลายเป็น "แพะรับปาบ" แทน "ไอ้โม่ง" ตัวจริง

วันที่ 20 เม.ย.50 บอร์ด ปตท. เห็นชอบให้จัดตั้ง Holding Companyและสอบทานข้อมูลบริษัทเป้าหมายทั้ง 5 แห่ง โครงการ PT.Az Zhara PT.MAR Pontianak PT.MAR Banyausin PT.FBP และ PT.KPI พร้อมเจรจาราคา และเงื่อนไข

หลังจากนั้นได้เริ่มต้น โครงการ PT.MAR Pontianak และ PT.Az Zhara โดยเมื่อวันที่ 25 พ.ย.50 บอร์ดปตท. ให้ความเห็นชอบดำเนินการลงทุนใน PT.Az Zhara และ PT.MAR Pontianak ทั้งนี้ บอร์ด ปตท.ได้อ้างข้อมูลที่ JP Morgan ที่บริษัทประเมินหลักทรัพย์และธุรกิจระดับโลก วิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นของทั้งสองโครงการ สูงกว่าราคาที่ ปตท.จะซื้อ

ต่อมา วันที่ 11 มิ.ย.50 ปตท. มีคำสั่งตั้งโครงการพัฒนาธุรกิจปาล์มน้ำมัน โดยแต่งตั้ง "นิพิฐ" เป็น ผอ.โครงการ สังกัดรองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงินและบัญชีองค์กร ... เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.50 บอร์ด ปตท. เห็นชอบการตั้ง Holding Companyโดยมี ปตท. ถือหุ้น 100% ที่ประเทศสิงคโปร์ ... วันที่ 14 ก.ย.50 จดทะเบียนบริษัท PTT.GE Singapore เป็น Holding Company โดย ปตท.ถือหุ้น 100%

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.50 เริ่มต้นโครงการ PT.MAR Bonyuasin โดยบอร์ด ปตท. อนุมัติกรอบลงทุนในพื้นที่ไม่เกิน 500,000 เฮกตาร์ในเวลา 5 ปี กำหนดราคาการใช้สิทธิบนที่ดินเปล่า (Greenfield)ไม่เกิน 600 เหรียญสหรัฐฯ/เฮกตาร์ และ อนุมัติซื้อหุ้น PT.SHS (คือ PT.MAR Banyuasin) วงเงิน 21.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

พอมาปี 2551 เมื่อวันที่ 21 มี.ค.51 บอร์ด ปตท. อนุมัติซื้อสินทรัพย์ PT.SHS คือ PT.MAR Banyuasin และอนุมัติเงินพัฒนาโครงการ 44 MUSD ในระยะเวลา 7 ปี และอนุมัติหลักเกณฑ์การลงทุน และเงินลงทุนจำนวน 315 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับซื้อสิทธิบนที่ดินเปล่า อีก 3-3.5 แสนเฮกตาร์ ที่ราคาไม่เกิน 900 เหรียญสหรัฐฯ/เฮกตาร์

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 พ.ย.51 บอร์ด ปตท. เห็นชอบเข้าลงทุนในโครงการ PT.MAR Banyuasin 70% วงเงิน 86.94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ...ปี 2555 เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 55 บอร์ด ปตท. อนุมัติกรอบการขยายบริเวณเพาะปลูกและพัฒนาโครงการส่วนขยายของ PT.Az Zhara ต่อมาคือ โครงการ PT.KPI และโครงการอื่น ๆ ในอินโดนีเซีย อีกไม่เกิน 2 แสนเฮกตาร์

นี่คือ...ลำดับเหตุการณ์กรณีปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนที่ปมปัญหา "ค่านายหน้าซื้อขายที่ดิน" ที่พบว่า มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องถูกปูดออกมา...
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ
"บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด" ที่เป็นบริษัทลูกของ Deloitte Touche Tohmatsu ผู้สอบบัญชีระดับโลก ตรวจสอบพบความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินโครงการนี้หลายประการ และนำเรื่องเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงใน ปตท. เมื่อเดือน มิ.ย.60

เฉพาะ ประเด็น ‘ค่านายหน้า’การซื้อขายที่ดิน ในโครงการ PT.Az Zhara มี Mr.Agustiar เป็นเจ้าของและ PT.KPI มี Mr.Burhan เป็นเจ้าของ ที่ทำสัญญากับ KSL เอกชนที่ปรึกษาจดทะเบียนในประเทศโดมินิกัน และพบว่า มี 2 คนไทย เกี่ยวข้องในการลงนาม โดยได้รับเงินอย่างน้อย 32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,024 ล้านบาท !

ว่ากันว่า เส้นทางการเงินยังไหลไปยังคนไทยรายอื่น และเอกชนต่างประเทศ ผ่านธนาคารในฮ่องกง รวมถึงรายละเอียดเช็คบางส่วน ที่แฟกซ์ถึงร้านค้าใจกลางเมือง กทม. อีกจำนวนหลายล้านเหรียญสหรัฐฯอีกด้วย ... เรียกได้ว่า ขบวนการนี้ไม่ธรรมดา มีความรู้ การเตรียมการกันอย่างดี จากเส้นทางเงินที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก !!

โครงการปลูกปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียของ ปตท. ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตลอดปีสองปีที่ผ่านมานี้ "น.ส.สุภา ปิยะจิตติ" กรรมการ ป.ป.ช. พร้อมคณะทำงาน เคยเดินทางไปสอบปากคำ Mr.Burhan เจ้าของโครงการ PT.KPI และพยานรายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยตัวเอง ... ล่าสุด "พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ" ประธานป.ป.ช. บอกว่าป.ป.ช. ทำคดีเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ใช้พยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงโดยรอบคอบ เพราะ ถ้าพลาดเมื่อไหร่ ป.ป.ช. อาจถูกเล่นงานได้...

แว่วว่า พอเรื่องเดินทางมาถึงจุดที่กำลังไคลแม็ก ก็มีขบวนการปั้นเรื่อง "ดิสเครดิต" ป.ป.ช. ด้วยข้อกล่าวหาที่รุนแรง ป.ป.ช.ก็ร่วมงาบสินบนกะเขาด้วย จนป.ป.ช.ต้องออกโรงปฏิเสธหนักแน่น เรื่องนี้หากเจ้าหน้าที่ของป.ป.ช. ทำผิดเสียเอง จะมีโทษเป็น 2 เท่า ! คงไม่มีใครอยากทำ... ความคืบหน้าคดีนี้ถึงขั้นตอนใด เนื่องจากก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. บอกว่า จะทำให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2562 "พล.ต.อ.วัชรพล" ยืนยัน คดีนี้อยู่ระหว่างการไต่สวน และจะเร่งรัดให้เสร็จสิ้น โดยเร็ว

ตอนนี้มีทั้ง ถูกฟ้อง ขออุทธรณ์ ขอชี้แจง ขอความเป็นธรรม เข้ามาก็พิจารณาทุกเรื่อง โดยน่าจะพูดได้แล้วว่า ถึง 80% มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปบ้างแล้ว ... ส่วนป.ป.ช.จะเงื้อดาบฟาดฟันใครบ้าง ผู้บริหารปตท. นักการเมืองเบอร์ใหญ่ และคนใกล้ชิด หรือไม่ โปรดอดใจรอ คงอีกไม่นานได้รู้กัน...

หากปตท. คิดว่า ปฏิบัติการห้ามสื่อแบบนี้แล้วได้ผล ก็ต้องรอดูกันต่อไป... คดีนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ขบวนการทำอะไร ใครจะโดนแจ้งข้อหา ด้วยมาตรฐานวิชาชีพสื่อ ย่อมไม่อาจไม่นำเสนอ

วันนี้ปูพื้นกันก่อนพอหอมปากหอมคอ

ปตท.เอา"ฝ่ามือเดียวปิดฟ้า”ยังไงก็ไม่มิด เกรงว่าจะไม่ใช่แค่เรื่องคดีปาล์มอินโดฯ เท่านั้น สินบนโรลสรอยซ์ ที่ทำท่าจะหายไปสายลมเอย ... เบื้องหลังการจัดการก๊าซเอ็นจีวี ที่บิดเบี้ยวจนคนในวงการถามกันอึ่งมี่ "ใครฆ่า NGV"

เรื่องของปตท.คงได้ว่ากันยาวๆ ติดตามเป็นซีรีส์ ได้เลยงานนี้ .

** หลังรัฐบาลลุงตู่ รับพระราชทานพระราชดำรัสฯ เชื่อว่าจะเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจ สร้างพลัง ในการฟันฝ่ามรสุม และอุปสรรค ทั้งจากภายใน และภายนอกประเทศ ให้ลุล่วงไปได้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นับเป็นสิริมงคล สำหรับ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำรัส พร้อมลายพระราชหัตถ์ ในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญานก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.62 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน... ซึ่งพระราชดำรัสฯ มีใจความว่า

"ขอถือโอกาสนี้ ให้พรให้ท่านมีกำลังใจ ความมั่นใจ และความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้ได้ตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สุขและความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชน งานใดๆ ก็ต้องมีอุปสรรค งานใดๆ ก็ต้องมีปัญหา เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องแก้ปัญหา และเข้าหางาน เพื่อให้การบริหารประเทศ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามสถานการณ์ โดยแก้ไขให้ตรงเป้าตรงจุด และมีความเข้มแข็งอดทน ก็ขอให้คณะรัฐมนตรี และรัฐบาลมีกำลังใจ มีพลังที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ด้วยความถูกต้องต่อไป"

แม้พระราชดำรัสฯ ดังกล่าว จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ตามที่ฝ่ายค้านกำลังยกเป็นประเด็น กดดัน"ลุงตู่" อยู่ก็ตาม ... แต่ในมุมของรัฐบาลแล้ว ถือว่าเป็นเครื่องกำกับสติ เตือนใจ เป็นกำลังใจ และเป็น "สิริมงคล" แก่คณะรัฐมนตรีเป็นอย่างยิ่ง...ที่สำคัญคือ หลังจากนี้ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ไม่ควรวิพากษ์ วิจารณ์ต่อกรณี"การถวายสัตย์ฯ" อีก...

ซึ่ง"ลุงตู่" ได้ให้สัมภาษณ์ หลังพิธีรับพระราชดำรัสฯ จะมีผลทำให้ปัญหาที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่จบลงหรือไม่ว่า... "ผมไม่อาจจะกล่าวได้ว่าจะสามารถไปจบเรื่องอื่นได้หรือไม่ แต่ก็เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีทุกคน ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นเรื่องที่ผมทำเรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตไป ท่านก็ทรงโปรดเกล้าฯลงมา เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นสิ่งที่คณะรัฐมนตรี จะน้อมนำไปสู่การปฏิบัติ...ส่วนเรื่องอื่น ก็ให้เป็นเรื่องอื่นต่อไป"

ในเวลาไล่เลี่ยกันกับพิธีรับพระราชทานพระราชดำรัสฯ "นายรักษเกชา แฉ่ฉาย" เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็ออกมาแถลงว่า ที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน "มีมติเอกฉันท์" ให้ส่งเรื่องที่นายกฯ กล่าวคำถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วนไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความ ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่...ส่วนศาลฯ จะรับเรื่องไว้พิจารณา หรือไม่ ...หรือถ้ารับเรื่องไว้พิจารณาแล้วจะสั่งให้ คณะรัฐมนตรี หยุดการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว จนกว่าการพิจาณาจะแล้วเสร็จหรือไม่ ... ขึ้นอยู่กับศาลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป

ขณะเดียวกัน บรรดาแกนนำฝ่ายค้านก็ได้หารือกันว่า เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้ศาลรธน. ตีความแล้ว ญัตติขอเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรีโดยไม่ลงมติ ที่ฝ่ายค้านยื่นต่อสภาฯไปนั้น จะเดินหน้าต่อ หรือจะถอนญัตติ ... โดย "สุทิน คลังแสง" ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า หากศาลฯ รับเรื่องไว้พิจารณา ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ในสภาฯก็ต้องมีการอภิปรายตามที่ได้ยื่นญัตติเอาไว้ ถือว่าเป็นการทำงานควบคู่กันไป จะได้ข้อสรุปทั้ง 2 ด้าน ... สอดคล้องกับความเห็นของ " ปิยบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่เห็นว่าการเข้ารับพระราชทานพระราชดำรัสฯ ไม่ใช่เป็นการถวายสัตย์ฯใหม่ และไม่ได้ทำให้การถวายสัตย์ฯ ที่ไม่ครบถ้วนนั้นสมบูรณ์ขึ้น ดังนั้นการอภิปรายในสภาฯ ต้องดำเนินต่อไป...

และในวันเดียวกันนี้ ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้พิจารณา เรื่องที่ "ชวน หลีกภัย" ประธานสภาฯ ส่งคำร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรธน. หรือไม่ จากกรณี "หัวหน้าคสช.ถือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือไม่" ซึ่งจะมีการอ่านคำวินิจฉัยชี้ขาด ในวันพุธที่ 18 ก.ย.นี้...

เป็นอันว่า "ลุงตู่" และคณะรัฐมนตรี ก็ยังคงต้องเผชิญกับ "มรสุมทางการเมือง" ต่อไป ทั้งจากศาลรัฐธรรมนูญ และสภาฯ ...นี่ยังไม่ได้นับรวม "มรสุมลูกใหญ่" จากปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง และปัจจัยภายนอก เรื่อง "สงครามการค้า" ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่กำลังลุกลามไปทั้งภูมิภาค ...

แต่ไม่ว่า"ลุงตู่"และคณะรัฐมนตรี จะเจอปัญหาหนักหนาปานใด ก็ขอให้ย้อนกลับไปอ่านพระราชดำรัสฯ ที่ได้พระราชทานไว้ เชื่อว่าจะเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจ ที่จะฟันฝ่าอุปสรรคให้ลุล่วงไปได้...


กำลังโหลดความคิดเห็น