สรุปมติกมธ.ศึกษาสัมปทานทางด่วน-รถไฟฟ้า ส่วนใหญ่เห็นด้วยขยายสัมปทานทางด่วน ชี้จำเป็นแก้ปัญหาจราจร แต่ค้านรถไฟฟ้าสายสีเขียว ควรปรับลดค่าโดยสาร เตรียมเปิดเผยรายชื่อคนโหวต และชี้แจ้งเหตุผล
เมื่อเวลา 14.40 น. วันที่ 22 ส.ค. ที่อาคารรัฐสภา นายคริส โปตระนันทน์ และนายปรเมศวร์ กุมารบุญ ในฐานะกรรมาธิการ แถลงมติข้อสรุปคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส)
โดยนายปรเมศวร์ กล่าวว่า วันนี้เราจะแถลงใน 2 ประเด็น คือ ความเห็นของคณะกรรมาธิการในกรณีของการสัมปทานทางด่วน และความเห็นของกรรมาธิการในกรณีการสัมปทานบีทีเอส
ผลการศึกษาความเห็นของคณะกรรมาธิการในกรณีของการสัมปทานทางด่วนออกมาว่า กรรมาธิการจำนวนทั้งหมด 39 คน กรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ เห็นด้วยการยายสัมปทานทางด่วน 21 คน ไม่เห็นด้วย 12 คน งดออกเสียง 5 คน ลาการประชุม 1 คน ในส่วนของการสรุปความคิดเห็นของกรรมาธิการทั้งหมดนั้น กรรมาธิการที่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทานทางด่วน เห็นควรว่าสัมปทานจะแบ่งเป็น 15 ปีแรก กับ 15 ปีหลัง 15 ปีแรกนั้นบางท่านเห็นว่าเอกชนมีประสิทธิภาพในการบริหารมากกว่ารัฐ และการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการต่อสัญญาจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐ นอกจากนี้ยังเห็นว่าควรต่อสัญญา 15 ปีหลัง โดยเฉพาะทางด่วนช่วงที่ 2 เพราะมีความจำเป็นในระยะยาว ทั้งการแก้ไขปัญหาจราจร และเป็นการยุติข้อพิพาทกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และเอกชน ซึ่งได้มีคำวินิจฉัยของศาลศาลปกครองสูงสุดมาแล้วว่าให้การทางพิเศษแพ้คดีไปแล้วหนึ่งคดี
บางท่านให้ข้อเสนอแนะว่าจะมีการแก้ไขอนุญาโตตุลาการให้เรื่องสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน โดยให้เสนอข้อพิพาทต่อศาลปกครองโดยตรงเพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาสัญญาทุกสัญญา
ส่วนกรรมาธิการที่ไม่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทานทางด่วนสรุปความเห็นได้ว่า กรณีบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพจำกัดมหาชนไม่ได้ต่อสัญญาสัมปทานเดิมนั้น รัฐอาจจะนำมาประมูลใหม่และกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนชำระหนี้ก็ยังได้ หากรัฐต้องการขยายโครงการทางด่วนช่วงที่ 2 ก็อาจจะกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว โดยการประมูลได้โดยบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพก็ยังสามารถเข้าร่วมประมูลได้เช่นกัน บางท่านเห็นว่ายังมีประเด็นเรื่องกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจนอีกมากมายมีความสุ่มเสี่ยงด้านกฎหมายเป็นอย่างยิ่ง
นายคริสกล่าวว่า ในส่วนของสัมปทานบีทีเอสนั้น มีกรรมาธิการจำนวน 39 คนเช่นกันกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะให้กรุงเทพมหานครขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอส จำนวน 19 คน เห็นด้วยที่จะขยายสัมปทานจำนวน 12 คน มีกรรมาธิการงดออกเสียง 6 คน ไม่ส่งความเห็น 1 คน และลาการประชุม 1 คน
ผลสรุปความเห็นของคณะกรรมาธิการฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย คือ หลักการในการร่วมลงทุนในกิจการของการทำบริการสาธารณะรัฐต้องพยายามทำให้ทรัพย์สินของเอกชนร่วมลงทุนโอนกลับมาเป็นของรัฐให้มากที่สุด เพื่อจะได้มีอำนาจต่อรองในการกำหนดอัตราค่าจ้างโดยสารที่เป็นธรรมให้กับประชาชน หากสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเส้นหลักสิ้นสุดในปี 2572 ทรัพย์สินของโครงการดังกล่าวก็จะกลับมาเป็นของรัฐและสามารถดำเนินการกำหนดอัตราค่าโดยสารได้เป็นการแก้ไขปัญหาได้ทั้งระบบ
นอกจากนี้เมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 10 ปี การจัดการหาผู้เดินรถไฟฟ้ารายใหม่ก็สามารถปฏิบัติได้ตามขั้นตอนโดยเป็นการทำเพื่อคนกรุงเทพ ทางกทม.ควรเข้ามาดูแลรับผิดชอบในส่วนที่อยู่ในเขตของกทม.เพื่อให้ได้ค่าโดยสารที่ถูกลง เมื่อค่าโดยสารถูกลงประชาชนที่มีรายได้น้อยก็จะมาใช้บริการมากขึ้น การจราจรจะเบาบางลง ส่วนพื้นที่นอกกทม.รัฐบาลควรให้การอุดหนุน
นายคริส กล่าว่า ในเหตุผลถัดไปคือ เรื่องการจัดการภาระหนี้ที่รฟม.จะโอนมาให้ กรรมาธิการบางส่วนเห็นว่ารัฐควรจะหาวิธีการอื่นในเรื่องของเงินลงทุน ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งระบบ นอกจากนี้เหตุผลถัดไปคือมีความเห็นว่าควรจะทำสัญญาจ้างการเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ออกไปก่อนรอจนปี 2572 จึงค่อยนำระบบทั้งหมดเรารวมกันเพื่อหาการบริหารจัดการที่เหมาะสม เช่น การเปิดประมูลการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวได้ทั้งระบบ หากกระทำการเช่นนี้ก็จะเป็นการแสดงความโปร่งใส ไม่ใช่บีทีเอสมาผูกขาดแต่เพียงเจ้าเดียว และรัฐจะได้ผลประโยชน์สูงสุดจากการแข่งขันในการประมูลอีกด้วย
ในระหว่างนี้ก่อนถึงปี 2572 เราสามารถจ้างบีทีเอสให้เดินรถในส่วนที่ 1 และ 2 แต่ควรจะต้องเจรจาสัมปทานการจ้างเดินรถให้มีราคาที่ถูกกว่านี้ อาจจะต้องมีการต่อรองในส่วนที่ค่าจ้างสูงเกินไป
นายคริส กล่าว่า ทั้งนี้ยังมีปัญหาของค่าโดยสารที่มีราคาแพง ขณะนี้เกิดจากการที่รัฐอุดหนุนไม่เพียงพอ เพราะการลงทุนแบบไม่พอเพียงกล่าวคือรัฐจะเอาแต่สร้างโครงการขนาดใหญ่จนเกินไป ทำให้การลงทุนไม่คุ้มค่าทางการเงินและทางเศรษฐกิจโดยหลายเส้นทางที่ยาวออกไป เกินปริมาณของผู้โดยสารแถมยังขาดวิสัยทัศน์การวางแผนเชื่อมโยงต่อกันทั้งระบบ
ในส่วนของตั๋วร่วม ก็มีความคิดเห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ผู้ประกอบการรายเดียวคือสามารถมีผู้ประกอบการหลายรายในการบริหารจัดการได้เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
ในส่วนของกรรมาธิการที่เห็นด้วยให้กรุงเทพมหานครขยายสัมปทานรถไฟฟ้านั้นสรุปว่า การใช้มาตรา 44 ลงวันที่ 11 เม.ย. 2562 ทดแทนพระราชบัญญัติร่วมทุนนั้นถูกต้องตามกฎหมายแล้วสามารถทำได้สามารถเสนอต่อสัญญาสัมปทานได้ นอกจากนี้เรื่องของการที่กทม.จะรับหนี้ ก็เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และยังเห็นว่าบีทีเอสมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ ทั้งในเรื่องของความปลอดภัยและความตรงต่อเวลารวมถึงการซ่อมบำรุง และราคาค่าบริการตลอดสาย 65 บาท
ความคิดเห็นฉบับนี้จะต้องผ่านคณะกรรมาธิการอีกหนึ่งรอบ วันนี้มีจะมีการเปิดเผยรายชื่อของกรรมาธิการที่โหวตให้ต่อสัมปทานและไม่ให้ต่อสัมปทานรวมไปถึงเหตุผลด้วย