xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.วาดฝันกวาด 155 เขต ปรับกลยุทธ์กู้ศรัทธา ขอเป็นหนึ่งเดียวอย่าให้เป็นสถาบันแค่ตัวหนังสือ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สัมมนาปชป.ตั้งเป้าเลือกตั้งใหม่กวาด 155 เขต ปรับกลยุทธ์ใช้สูตร3ประสานรบ.-สภา-พรรค กู้ศรัทธา "จุติ" ยกอนค.สำเร็จศึกษาล่วงหน้า-ปลุกสู้ออนไลน์ ชี้สภาดีขึ้นหลัง "ชวน"คุม "เฉลิมชัย" ขอเป็นหนึ่งใจเดียวอย่าให้พรรคเป็นสถาบันแค่ตัวหนังสือ

วันนี้ (18ส.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดสัมมนาภาคเหนือ หัวข้อ”รวมพลังประชาธิปัตย์ ภาคเหนือ “โดยมีแกนนำพรรคหลายคนเข้าร่วม อาทิ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค กล่าวถึง “กลยุทธ์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค” ว่า 3 กลไกที่จะทำงานขับเคลื่อนของพรรคคือ รัฐบาล สภา และพรรค เป็นกลไกที่จะเคลื่อนไปด้วยกัน ไม่มีสะเปะสะปะ เพื่อเป้าหมายให้สำเร็จ การจะทำให้20 เขตในภาคเหนือ ต้องมีเป้าหมายหัวใจก็คือชัยชนะของประชาชน การทำงานต้องเปลี่ยนแนวคิดต้องเพื่อประชาชนไม่ใช่เพื่อตัวเอง การลงพื้นที่ไม่ใช่เพื่อการหาเสียง ความศัทธาที่เกิดขึ้นจะคืนกลับมาสนุนให้พรรคกลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีต

นายอลงกรณ์กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงแนวทางทำงานแนวใหม่ สู่โลกonlineและoffline ต้องมีการสร้างนักรบในการทำงานในพื้นที่เขตละ5 คน โดยมีเวลาทำให้แล้วเสร็จ350 เขตภายใน4 เดือน วันนี้พรรคต้องรวมใจเป็นหนึ่งมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือเป็นหนึ่งในใจประชาชนเพื่อการเลือกตั้งที่ยั่งยืน คนที่จะต้องดูแลมากสุดคือเกษตรกร ทั้งชาวประมงชาวนา สวนยาง สวนปาล์ม ต้องทุ่มเทเต็มที่ ส่วนกลยุทธการขับเคลื่อนต่อยอดจากความยิ่งใหญ่ในอดีตมาสู่ยุคนี้ได้อย่างไร ซึ่งต้องใช้กลยุทธ์ หรือคาถา คือ”ติดอาวุธความคิด ใกล้ชิดมวลชน เปิดพรรคกว้าง สร้างเครือข่าย ขยายฐานพรรค ประจักษ์ผลงาน สื่อสารฉับไว อุดมการณ์ทันสมัย สร้างภาพลักษณ์ใหม่ ชนะใจประชาชน “

ส่วนโครงสร้างการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค ต่อไปนี้ทุกคนต้องรู้เท่าหัวหน้าพรรค จะไม่มีรู้แค่ไม่กี่คน และเป้าหมายของพรรคคือ 155 เขต คือ เหนือ 20 เขต กทม. 30 เขต อีสาน 25 เขต กลาง 30 เขต และใต้ 50 เขต รวมถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นต้องลงทุกพื้นที่ ปชป.ต้องกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม ด้วย3 กลไก คือ รัฐบาล สภา และพรรค ทุกกลไกขับเคลื่อนภายใต้ Action Plan เดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน โดยมีระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน

ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในหัวข้อ “สามประสานสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง”ว่า ผลการเลือกตั้งครั้งที่แล้วตนคิดว่าต้องจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับประชาธิปัตย์ ถ้าจะสู้เลือกตั้งครั้งหน้าคงต้องทิ้งกรอบความคิดเดิม ๆ ไปให้หมด เพราะปัจจุบันเป็นโลกของการสื่อสาร เราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ต้องสู้บนเวทีของการสื่อสาร ที่ผ่านมาคู่ต่อสู้ทำลึกกว่า เร็วกว่า รุนแรงมากกว่า เช่นพรรคอนาคตใหม่เตรียมการล่วงหน้าถึง2 ปีจึงชนะ เพราะใช้เทคโนโลยี มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและที่ได้ตามเป้าเพราะมีการยุบพรรคไทยรักษาชาติแล้วไปเทคะแนนให้ สิ่งที่ชัดเจนของอนาคตใหม่คือกลุ่มเป้าหมายคนลงคะแนนครั้งแรก และคนพิการซึ่งพรรคเคยทำมาก่อน แต่อนาคตใหม่เอาผู้สมัครที่เป็นคนพิการมาสมัคร พิสูจน์ว่าให้โอกาสด้วยไม่ใช่แค่พูด

“ผมได้ไปคุยกับนักโฆษณาเขาบอกว่าจุดขายอนาคตใหม่เหมือนประชาธิปัตย์ในปี 38 ที่มีดรีมทีมเศรษฐกิจ มีความใหม่ที่คนต้องการ ดังนั้นพรรคจะต้องมีจุดขายของตัวเอง เพราะคนรุ่นใหม่ไม่รู้ว่าพรรคเคยทำอะไรในอดีต ไม่ทราบว่านายทักษิณ ชินวัตรเคยทำอะไร ดังนั้นการสื่อสารจึงเป็นหัวใจของชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องเสนอในสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ ดังนั้นพรรคต้องหาคนรุ่นใหม่ที่เก่งไอทีมาเสริมทัพ และทิ้งกรอบเดิม ๆที่เคยหาเสียง เพราะในปัจจุบันเป็นโลกของความสนใจ4 วินาทีที่ต้องช่วงชิงมาให้ได้ ถ้าทำได้ก็จะช่วยให้เราทวงคืนความเป็นแชมป์กลับมาได้”

นายจุติ กล่าวว่าในส่วนของสภา ขณะนี้ ภาพของสภาดีขึ้นมากหลังจากนายชวน หลีกภัย เข้าเป็นประธานรัฐสภา ช่วยกู้ศรัทธาประชาชนกลับคืนมา แต่การที่สส.ไปพูดความบกพร่องของสภากลายเป็นสิ่งที่ซ้ำเติมภาพลักษณ์ของสส.อีก เช่น การไประบุถึงสายชำระก้นที่ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจการบ่น ของสส. หลังได้รับข้อมูลผ่านโลกออนไลน์ ดังนั้นต้องมีการให้ข้อมูลเชิงบวกมาก ๆ

สำหรับรัฐบาลเรามีรัฐมนตรีของพรรคเข้าไปดูแลกระทรวงสำคัญๆเช่น กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ตนก็พยายามจะผลักดันเบี้ยคนชราให้เป้น1 ,000บาท แต่เป้นเรื่องยากเนื่องจากงบประมาณปี 63 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท เหลือเงินสดแค่ 8 หมื่นล้านบาท ถ้าจะปรับเบี้ยยังชีพคนชราต้องใช้งบถึง5 หมื่นล้านบาท จึงเป้นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ตนยังมีคณะทำงาน 18 คณะ ซึ่งเปิดกว้างให้ทุกคนมาช่วยทำงานโดยไม่ไปแทรกแซงการทำงานของข้าราชการ ทั้งนี้เห็นว่าพรรคต้องใช้กลไกในการทำงานขณะที่เป็นรัฐบาลให้เป็นประโยชน์

ขณะที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.กษตรฯ ในฐาะเลขาธิการพรรคประชาธิปตย์ กล่าวว่า ไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนไปกี่มิติ สิ่งที่ต้องมีภายในพรรค นอกจากอุดมการณ์ และหลักการแล้ว ยังต้องมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวภายในพรรคด้วย เพราะก่อนที่จะไปรบกับใครเราต้องทำให้ตัวเองเข้มแข็งก่อน ต้องสร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้เกิดในพรรคก่อนเพราะถ้าไม่มีพลังก็ไม่มีทางถึงจุดหมายได้ ตนเชื่อว่าทุกคนตั้งใจ มุ่งมั่นในการทำงาน แต่ต้องไม่ลืมกลับมาดูองค์กรของเราด้วย

“ผมมั่นใจว่าการเอาศรัทธาของประชาธิปัตย์กลับคืนมาเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ เพราะมีคนที่มีความรู้ความสามารถมาก เป็นพรรคเดียวที่เป็นสถาบันทางการเมือง แต่ไม่ใช่เป็นสถาบันแค่ตัวหนังสือ ทุกคนต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน ที่ผ่านมาหลายเรื่องเป็นบทเรียน ผู้บริหารพรรคต้องให้ความสำคัญกับสาขาพรรคซึ่งเป็นรากฐานของพรรคประชาธิปัตย์ จดแข็งของพรรคที่ผ่านมาคือความเป็นตัวแทนประชาชนผ่านสาขาพรรคโดยนับจากนี้ไปจะมีการกำหนดยุทธศาสตร์แต่ละภาคก่อนจะนำไปเป็นยุทธศาสตร์รวมของพรรค โดยต้องทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อทวงคืนพื้นที่ประชาธิปัตย์กลับคืนมาในการเลือกตั้งครั้งหน้า”



กำลังโหลดความคิดเห็น