เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาจากแนวโน้มแล้วจากระยะเวลาของการประชุมสภาสมัยสามัญที่จะมีไปจนถึงวันที่ 18 กันยายนนี้ นั่นก็หมายความว่าเหลือเวลาอีกเพียงเดือนเศษเท่านั้น ถือว่าเหลือเวลาจำกัดทำให้ไม่คิดว่าทางพรรคฝ่ายค้านจะยื่นญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่าเป้าหมายก็น่าจะเป็นเป้าหลักคือตัว “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยตรง แต่เมื่อเวลาจำกัดกระชั้นชิดแบบนี้ อีกทั้งเมื่อพิจารณาจาก “อารมณ์ร่วม”ของสังคมภายนอกแล้วยังไม่ได้ เพราะรัฐบาลเพิ่งจะบริหารงานได้เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น การรีบร้อนลงมือมันก็อาจกลายเป็นภาพลบสะท้อนกลับมาก็ได้ มันก็น่าจะต้องรอจังหวะไปก่อน
ขณะเดียวกันเวลานี้ก็ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวของบรรดาพรรคฝ่ายค้านในเรื่องดังกล่าวจึงน่าจะยังไม่มีการยื่นญัตติซักฟอกกันทันทีในสมัยประชุมนี้
อย่างไรก็ดีในทางเทคนิกแล้วอาจไม่จำเป็นต้องยื่นญัตติซักฟอกในเวลานี้ก็ได้ เพราะรัฐบาลยังมี “ไฟท์บังคับ”จ่ออยู่ข้างหน้านั่นคือ ร่างพระบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่กำหนดเอาไว้แล้วว่า จะมีการพิจารณาในการประชุมสภาสมัยวิสามัญที่กำหนดเอาไว้แล้วว่าเป็นเดือนตุลาคม หรืออีกราวสองเดือนข้างหน้า และด้วยสภาพของรัฐบาลผสมเสียงปริ่มน้ำอย่างที่เห็นนี่ถือว่า “มีความเสี่ยง” เพราะต้องมีการโหวต
หากพ่ายโหวตจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีทางเลือกสองทางคือไม่ยุบสภาก็ต้องลาออก
และอย่างที่ทราบกันดีว่าด้วยสภาพของรัฐบาลผสมเกือบยี่สิบพรรคมาจาก “ร้อยพ่อพันแม่” ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อีกทั้งด้วยเสียงของรัฐบาลที่เกินครึ่งมาแค่สองสามเสียงเท่านั้น โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดจากความตั้งใจของบางคน บางพรรคมันก็อาจทำให้รัฐบาลล้มคว่ำได้ทุกเมื่อ เหมือนกับในเวลานี้ที่มีเสียงโวยวายออกมาจากพรรคเล็กบางพรรคที่ร่วมรัฐบาลว่าไม่ได้รับความสำคัญ เช่น กรณีของ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อเพียงหนึ่งเดียว และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่ประกาศขอเป็นฝ่ายค้านอิสระ โดยอ้างว่าจะร่วมมือกับอีก 4 พรรคเล็กที่มีความรู้สึกเดียวกันอาจจะโหวตสวนในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่จะเข้าสภาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เท่าที่รับฟังมาสาเหตุของอาการดังกล่าวของบรรดาพรรคเล็กพวกนี้ มีสาเหตุมาจากไม่ได้รับการจัดสรรตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการบางคณะที่พวกเขามีความต้องการ ขณะเดียวกันแม้ว่าสำหรับตำแหน่งทางการเมืองนั้นหากต้องการไปทำหน้าที่ก็ต้องลาออกจาก ส.ส.ก่อนก็ตาม แต่อาจมีการเสนอคนของตัวเองเข้าไป แต่อาจไม่ได้รับการพิจารณา
แต่เชื่อว่านี่คือการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความกดดันและต่อรองเพื่อเรียกร้องความสนใจ และเชื่อว่าพวกเขาคงไม่คิดสั้นที่จะทิ้งความเป็นฝ่ายรัฐบาลเพื่อไปเป็นฝ่ายค้านอย่างที่พูดเอาไว้ เพราะยังมั่นใจว่าทุกอย่างจะเคลียร์กันได้ในที่สุด อีกทั้งในอนาคตข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเป็น ส.ส.อีกหรือไม่
ดังนั้นจะป่วนให้พังทำไม ขณะเดียวกันเมื่อฟังจากปากของ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีฟังเสียงพรรคเล็กเพื่อถือว่ามีความสำคัญ อย่างไรก็ดีก็มีเสียงทิ้งท้ายสำคัญก็คือ “หลายตำแหน่งยังไม่สรุป”
ความหมายสำคัญมันอยู่ท่อนท้ายข้างหลังนั่นแหละ เพราะเมื่อตำแหน่งยังไม่ได้รับการจัดสรรให้ลงตัว มันก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นใน “เรือลำใหญ่” ลำนี้ได้ทุกเมื่อ เพราะเมื่อมันปริ่มน้ำเพียบแปล้อย่างที่เห็น เพียงแค่ใครกระแอมออกมามันก็ทำให้เกิดการสั่นได้ทันที และอาการแบบนี้ก็จะเกิดเรื่อยไปจนกว่าจะสามารถหาเสียงมาสนับสนุนเพิ่มเติมจนทำให้รัฐบาลพ้นจากเสียงปริ่มน้ำนั่นแหละ แต่เมื่อพิจารณาตามรูปการแล้วมันก็ยากเหมือนกัน หรือยังมองไม่ออกในช่วงระยะอันใกล้นี้
ดังนั้นหากสรุปจากอาการที่ว่านี้มันก็เหมือนกับเรื่องที่ต้องปวดหัวรำคาญใจรายวัน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องมีสภาพแบบนี้ เพราะนี่คือรัฐบาลผสมแบบร้อยพ่อพันแม่ ทุกเสียงมีความสำคัญ มันก็ย่อมมีรายการงอแงอย่างที่เห็นได้ตลอดเวลา และเชื่อว่ารายการดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นอีก อาจจะเป็นรายเดิม หรือรายใหม่ที่สลับหน้าเข้ามาอีก
อย่างไรก็ดีสิ่งที่หน้าเป็นห่วง ต้องลุ้นกันในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าก็คือ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่จ่อเข้าสภาในเดือนตุลาคมนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ
มีลุ้นได้เสีย เพราะถ้าพลาด “ลุงตู่” ก็มีสิทธิ์ล่องจุ๊น !!