ประธานผู้ตรวจฯ เผย จับมือ 5 ประเทศ ตั้งSEAOF หวังยกระดับกลไกคุ้มครองปชช.ในอาเซียนมอบ เจ้าตัวประเดิมนั่งปธ.คนแรก
วันนี้ (4ก.ค.) พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึง การที่ผู้ตรวจการแผ่นดินไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Ombudsman Dialogue เมื่อวันที่ 2 - 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่าคณะผู้แทนจาก 5 องค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน (ASEAN) ได้แก่ ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย สำนักรับเรื่องร้องเรียนภาครัฐ ประเทศมาเลเซีย ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และหน่วยงานตรวจสอบของรัฐ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เห็นร่วมกันในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระดับพหุภาคี มุ่งดูแลสิทธิเสรีภาพและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนของแต่ละประเทศที่กระจายอาศัยอยู่ในประชาคมอาเซียน และมีฉันทามติดำเนินการจัดตั้งเวทีผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้ชื่อว่า “South East Asian Ombudsman Forum” (SEAOF) แทนชื่อ “ASEAN Ombudsman Forum” (AOF) เดิม เพื่อขยายขอบเขตการดำเนินงานให้ครอบคลุมองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินหรือองค์กรจัดการเรื่องร้องเรียนในภูมิภาคที่อาจสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกในอนาคต แต่ไม่ได้เป็นประเทศสมาชิกอาเซียน เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐติมอร์-เลสเต โดย ที่ประชุมให้เกียรติผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นประธาน SEAOF ในวาระแรกภายหลังการจัดตั้งอย่างเป็นทางการในเดือนก.พ. 63 ซึ่งตำแหน่งประธาน SEAOF จะมีวาระ 2 ปี หมุนเวียนกันไปตามอักษรนำชื่อประเทศ
ทั้งนี้การจัดตั้ง SEAOF นั้นเป็นการแสดงถึงจุดยืนขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งไม่ได้มุ่งให้ความเป็นธรรมหรือดูแลเฉพาะประชาชนทุกคนที่พำนักในประเทศตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนของตนที่พำนักในประเทศสมาชิกอื่นด้วย เป็นการดูแลซึ่งกันและกัน ปัจจุบันองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐนั้นอาจจะมีรายละเอียดอำนาจตามกฎหมายแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ จึงต้องให้ความสำคัญกับการบูรณาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงการพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายของสมาชิก การจัดกิจกรรมเชิงวิชาการควบคู่กับการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ การประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้อำนาจรัฐ การศึกษาเชิงระบบในประเด็นที่มีผลกระทบต่อส่วนรวมในระดับภูมิภาคแล้วนำผลการศึกษาเชิงระบบไปพิจารณาจัดทำข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานรัฐในภาพรวม เพื่อยกระดับกระบวนการให้บริการภาครัฐของประเทศสมาชิกให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนหรือประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง
