อดีตรองโฆษก ปชป.ย้ำจุดยืน”มาร์ค”ไม่รับ รธน.-ไม่เอาสืบทอดอำนาจ วอนผู้บริหารพรรคสืบสานต่อ อัดยับผู้มีอำนาจไม่ยอมปล่อยมือ ทำ รธน.ปราบโกงกลายเป็น รธน.ดัน พปชร.เป็นรัฐบาล สะท้อนชัด“ประยุทธ์”เทียบชั้น“ป๋าเปรม”ไม่ได้ เหตุไม่รู้จักพอ แนะสละตำแหน่งเพื่อชาติ เตือน ดึงดันรักษาอำนาจ อาจได้ไปต่อแต่ชาติอาจถึงทางตัน
นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊ก ก่อนที่จะมีการประชุม ส.ส.พรรคในตอนบ่ายวันนี้(4 มิ.ย.) โดยยกปัญหารัฐธรรมนูญเขียนเพื่อพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล สะท้อนจุดยืนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ทำถูกต้อง เช่นเดียวกับการประกาศไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ อยากเห็นพรรคขับเคลื่อนตามอุดมการณ์ พร้อมแนะนำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพลังประชารัฐ สละตำแหน่งเพื่อชาติ โดยมีใจความดังนี้
“จุดยืนอภิสิทธิ์ จุดยืนประชาธิปัตย์”
เมื่อสามปีที่แล้วอดีตนายกอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งในขณะนั้นพรรคไม่สามารถมีมติใด ๆ ได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการรัฐประหารที่มีคำสั่งห้ามไม่ให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมใด ๆ นายอภิสิทธิ์พูดไว้ชัดว่าแม้ไม่ใช่มติพรรค แต่ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว” เพราะเป็นความเห็นชอบตามอุดมการณ์ของพรรคตั้งแต่พ.ศ.2489 และเป็นการแสวงหาคำตอบให้กับอนาคตประเทศไทย ซึ่งก็เหมือนกับที่ท่านประกาศ ไม่เอาคนโกงไม่สนับสนุนเผด็จการ เป็นการเดินตามเส้นทางประชาธิปไตยสุจริต และอุดมการณ์ที่พรรคยึดมั่นตลอด 73 ปีที่ผ่านมา
โดยหนึ่งในเหตุผลคือ การไม่เห็นด้วยที่ให้ คสช.ตั้ง 250 ส.ว. แล้วให้ ส.ว.250 คนมีส่วนในการเลือกนายกรัฐมนตรี โดยเล็งเห็นว่า นอกจากมีปัญหาเรื่องความเป็นประชาธิปไตยแล้ว จะกลายเป็นความขัดแย้งรอบใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม ถือเป็นการประกาศจุดยืนที่สวนกระแสความต้องการของผู้สนับสนุนพรรคในขณะนั้น จนมีกระแสโจมตีมาที่นายอภิสิทธิ์ แต่ก็ยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นคง เพราะมั่นใจถึงทิศทางที่ส่งต่อให้สังคมว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับบ้านเมือง เมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ คนไทยส่วนใหญ่ได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ได้ชี้ให้สังคมเห็นเมื่อสามปีก่อน กำลังปรากฏเป็นความจริงในวันนี้ เพราะจากรัฐธรรมนูญที่ตีปี๊บว่าเป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง กลายมาเป็น "รัฐธรรมนูญเพื่อให้พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล" และกำลังทำให้ประเทศชาติกลับเข้าสู่วังวนความขัดแย้งอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดเกิดจากผู้มีอำนาจไม่ยอมปล่อยวางอำนาจ สั่งลิ่วล้อเขียนกติกาต่อท่ออำนาจให้ตัวเอง มีอำนาจเต็มทั้งช่วงก่อนการเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง ยาวไปจนถึงการตั้งรัฐบาล ผ่านการใช้มือ 250 สว.เป็นฐานเลือกนายกรัฐมนตรี ตนดีใจที่ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน สืบสานจุดยืนของนายอภิสิทธิ์ตามอุดมการณ์พรรค นำมาขับเคลื่อนต่อใช้เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่จะตัดสินใจร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลว่า ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวตนอยากให้ผู้บริหารพรรค ขับเคลื่อนไม่สนับสนุนคนสืบทอดอำนาจอย่างเข้มแข็งอีกประเด็นหนึ่งด้วย เพราะเป็นไปตามอุดมการณ์พรรคเช่นเดียวกัน
" ก่อนหน้านี้จนถึงปัจจุบันมีความพยายามกดดันว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐ ยกโมเดลป๋าเปรมว่าพรรคเคยสนับสนุนร่วมรัฐบาลกับทหารมาก่อน ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่ย้อนแย้งของผู้อ้างเหตุผลนี้ เพราะพล.อ.เปรมกับพล.อ.ประยุทธ์ ต่างกันโดยสิ้นเชิงในสองเรื่องหลักคือ 1 พล.อ.เปรม ไม่ใช่หัวหน้าคณะรัฐประหาร 2 พล.อ.เปรม ไม่ได้สั่งให้เนติบริกรร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ และที่สำคัญท่านลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม พร้อมวรรคทองอันเป็นตำนานการเมืองจวบจนถึงปัจจุบันด้วยคำว่า "ผมพอแล้ว" น่าเสียดาย ที่เราไม่ได้ยินคำว่า ผมพอแล้ว จากปากพลเอกประยุทธ์ ขณะที่พฤติกรรม สะท้อนชัดว่า ไม่รู้จักพอ แม้เจ้าตัวจะพูดบ่อยครั้งว่าพร้อมสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ แต่ท่านกลับไม่พร้อมสละตำแหน่งเพื่อบ้านเมือง เพราะความจริงหากต้องการทำเพื่อชาติง่ายนิดเดียวไม่ต้องไปไกลถึงขั้นสละชีวิต แค่สละตำแหน่ง ก็พอแล้ว แต่หากพลเอกประยุทธ์ไม่ทำ พลเอกประยุทธ์อาจจะได้ไปต่อ แต่ประเทศไทยอาจถึงทางตัน" นายเชาว์ระบุไว้ในตอนท้าย