xs
xsm
sm
md
lg

“หม่อมกร” รำลึกความดี “ป๋าเปรม” พยายามทำให้พลังงานนำไทยโชติช่วงชัชวาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ม.ล.กรกสิวัฒน์” ระลึกถึงคุณความดี “พล.อ.เปรม” พยายามทำให้พลังงานนำไทยโชติช่วงชัชวาล แก้ไขข้อด้อยระบบสัมปทาน ตั้ง ปตท.สผ. โดยการปิโตรเลียมฯ ถือหุ้น 100% เป็นบรรษัทพลังงานแห่งชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ในทรัพยากรของคนไทย แต่รัฐบาล “อานันท์ ปันยารชุน” กลับนำ ปตท.สผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ สิ้นสุดบทบาทบรรษัทพลังงานแห่งชาติ ที่ พล.อ.เปรม ริเริ่มไว้

วันนี้ (27 พ.ค.) หม่อมหลวง กรกรสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนโยบายพลังงานและทรัพยากร มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยกับหม่อมกร” เกี่ยวกับการถึงแก่อสัญกรรมของของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่า “ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้ปิดทองหลังพระ กับคุณูปการด้านพลังงานไทยเพื่อคนไทยทุกคน

แม้ระบบสัมปทานปิโตรเลียมทำให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การพึ่งพิงบริษัทเอกชนข้ามชาติ แต่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้พยายามแก้ไขข้อด้อยในระบบสัมปทาน โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเจรจาการร่วมทุนและการซื้อขายปิโตรเลียมขึ้นภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีโดยมีเรืออากาศโทศุลี มหาสันทนะ เป็นประธาน เพื่อเจรจากับผู้ได้รับสัมปทานเพื่อแบ่งผลผลิตปิโตรเลียมด้วยการให้รัฐร่วมทุนในแหล่งที่เอกชนพบปิโตรเลียมแล้ว โดย ครม.พลเอกเปรม ได้อนุมัติให้ตั้งบรรษัทปิโตรเลียมแห่งชาติ ขึ้นในนาม บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด อันเป็นการแก้ไขข้อเสียเปรียบทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศเพิ่มขึ้น

ผลการเจรจากับบริษัท เชลล์ ผู้รับสัมปทานในแหล่งสิริกิติ์ แหล่งน้ำมันดิบบนบกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

1) ผู้รับสัมปทานในแหล่งสิริกิติ์ต้องขายน้ำมันดิบ เพื่อใช้ในประเทศให้แก่รัฐ ในราคาต่ำกว่าตลาดโลกร้อยละ 8.5 รวมถึงน้ำมันทุกแหล่งในเขตแปลงสัมปทานเอส 1 รัฐโดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้สิทธิซื้อน้ำมันดิบทั้งหมดทั้งส่วนที่ใช้ภายในประเทศกับส่วนที่เหลือใช้ภายในประเทศ

2) เอกชนยอมให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเข้าร่วมประกอบกิจการปิโตรเลียมในสัมปทานแปลงเอส 1 โดยระยะเริ่มแรกสัดส่วนการร่วมทุนของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเท่ากับร้อยละ 25 และจะสูงขึ้นตามลำดับตามปริมาณการผลิตในระดับต่างๆ

ในการบริหารงานให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จัดตั้งบริษัทในเครือ เพื่อเข้าร่วมประกอบกิจการปิโตรเลียม โดยใช้ชื่อว่า “บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด” โดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ถือหุ้นทั้งหมด ร้อยละ 100 จึงเป็นบรรษัทพลังงานแห่งชาติที่ทำหน้าที่สำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งแรกและแห่งเดียวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ในทรัพยากรของชาติและคนไทย

นโยบายดังกล่าวจึงนับเป็นความชาญฉลาดในการแก้ไขปัญหาความอ่อนด้อยของระบบสัมปทานที่กระบวนการในการออกกฎหมายถูกครอบงำโดยสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเวียดนามที่สหรัฐฯเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ การแก้ไขนโยบายทำให้กรรมสิทธิ์ปิโตรเลียมที่ต้องตกเป็นของผู้รับสัมปทานเอกชนหลังผลิตปิโตรเลียมได้ กลายเป็นของรัฐด้วยนโยบายที่เอกชนต้องขายปิโตรเลียมที่ผลิตได้ทั้งหมดในราคาต่ำกว่าตลาดโลกให้แก่รัฐ และรัฐยังได้ปิโตรเลียมมาในราคาทุนในส่วนที่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด เข้าร่วมลงทุน อันเป็นก้าวแรกในการนำไทยไปสู่ “ความโชติช่วงชัชวาล” เป็นประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนไทยอย่างยิ่ง ดังต่อไปนี้

(1) เป็นการนำอธิปไตยเหนือทรัพยากรธรรมชาติกลับคืนสู่ประเทศชาติ รัฐมีอำนาจตัดสินใจเต็มที่เหนือทรัพยากรที่ผลิตขึ้นมาได้ ทั้งการกำหนดราคา การจัดสรรแบ่งปันให้กับภาคส่วนต่างๆ ในประเทศ

(2) เมื่อปิโตรเลียมที่ผลิตได้ทั้งหมดเป็นของรัฐ จึงนำมาซึ่งความมั่นคงทางพลังงานอย่างแท้จริง

(3) เมื่อรัฐได้ปิโตรเลียมมาในราคาต่ำกว่าตลาดโลกส่วนหนึ่งและได้มาในราคาทุนอีกส่วนหนึ่ง ทำให้รัฐสามารถกำหนดราคาพลังงานที่เหมาะสมกับการครองชีพของประชาชนได้ นำมาซึ่งความมั่นคงทางพลังงานทั้งในมิติใหม่

(4) สิทธิการร่วมทุนในแหล่งปิโตรเลียมที่ค้นพบและผลิตได้เชิงพาณิชย์ ร้อยละ 25 และจะเพิ่มอัตราส่วนการลงทุนให้สูงที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ เป็นสิทธิพิเศษของรัฐในการลงทุนในช่วงความเสี่ยงต่ำที่ได้ประโยชน์หลายประการ กล่าวคือ เพื่อให้บริษัท ปตท.สำรวจ และผลิตปิโตรเลียม จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐได้รับการถ่ายโอนเทคโนโยลีอย่างแท้จริง ลดการพึ่งพิงพึ่งพาบริษัทเอกชนต่างชาติและยืนบนขาตนเองได้ในระยะยาว และลดกำไรส่วนเกินของผู้รับสัมปทานเข้ามาเป็นผลประโยชน์ของประเทศ

(5) รัฐมีสิทธิประโยชน์เต็มในปริมาณสำรองตามสัดส่วนการร่วมทุน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐสามารถนำมาลงบัญชีเพื่อเพิ่มเครดิตความน่าเชื่อถือให้กับประเทศ ดังเช่นการมีทองคำสำรองในธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ยังถือเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานอีกด้วย

แต่เพียง 7 ปี ต่อมาในวันที่ 12 กันยายน 2535 ขณะที่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด ทำหน้าที่ในฐานะบรรษัทพลังงานแห่งชาติเพื่อคนไทยทุกคนกำลังมีความก้าวหน้าและมีการขยายตัวอย่างมาก (นิตยสารผู้จัดการ, กันยายน 2537) กระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้รัฐบาล นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และมีมติเห็นชอบในการนำหุ้นทุนของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยกลุ่มเป้าหมายของนักลงทุน 40 ล้านหุ้น เสนอขายต่างชาติไม่เกิน 40% หรือ 16 ล้านหุ้น และนิติบุคคลไทยไม่เกิน 20% หรือ 8 ล้านหุ้น (เว็บไซต์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี)

มติคณะรัฐมนตรี นายอานันท์ ในการแปรรูปบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด นี้ ถือเป็นจุดสิ้นสุดบทบาทบรรษัทพลังงานแห่งชาติที่มีหน้าที่เพื่อปวงชนชาวไทยที่เกิดขึ้นในยุคนโยบายทรัพยากรพลังงานสร้างความโชติช่วงชัชวาลที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม รัฐบุรุษได้ริเริ่มไว้

รัฐวิสาหกิจนี้จึงต้องเปลี่ยนบทบาทตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ 2535 คือเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นใหม่ที่มีทั้งเอกชนไทยและต่างชาติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ผมเขียนบทความนี้ด้วยความเสียใจ และขอระลึกถึงคุณความดีของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ได้พยายามทำให้พลังงานนำไทยไปสู่ความโชติช่วงชัชวาล พวกเราจะไม่ปล่อยสิ่งที่ท่านริเริ่มไว้ต้องสูญเปล่า แต่จะสืบสานเจตนารมณ์ของท่านที่ยึดมั่นในการจัดการทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนตลอดไป”


กำลังโหลดความคิดเห็น