คลื่นใต้น้ำไร้ผล ส.ว.เลือก ประธาน-รอง ตามโผคสช. ไร้คู่แข่ง "พรเพชร" ยกผลงานอดีตการันตี ลั่นจริงใจทำงานร่วมกับสภา มุ่งเป้าปฏิรูป "สิงห์ศึก" ยันทำเพื่อส่วนรวม "ศุภชัย" ยึดจงรักภักดี สุจริต พิทักษ์สิทธิส.ว.
วันนี้ (24พ.ค.) เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 24 พ.ค. ที่หอประชุมใหญ่ทีโอที ถ.แจ้งวัฒนะ มีการประชุมวุฒิสภาเป็นนัดแรก ที่มีร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะอาวุโสสูงสุด 85 ปี ทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภาชั่วคราว โดยประธานในที่ประชุมได้แจ้งเรื่องรับทราบพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ.2562 และรับทราบพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยเลขาธิการวุฒิสภา ได้อ่านรายชื่อส.ว.ทั้ง 250 คน จากนั้น สมาชิกวุฒิสภา กล่าวปฏิญาณตนในที่ประชุมก่อนการปฏิบัติหน้าที่ ว่า “ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน ทั้งจักรักษาไว้ และปฏับัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่วาระการเลือกประธานวุฒิสภา พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.ได้ขอหารือเกี่ยวกับการเลือกประธานวุฒิสภา ซึ่งร.อ.ทินพันธุ์ กล่าวว่า จะถือบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ข้อบังคับการประชุม และถือระเบียบวาระการประชุมครั้งนี้เป็นหลัก ซึ่งการประชุมครั้งนี้ไม่มีเรื่องอื่นๆ และเรื่องหารือใดๆ ตนอยากให้การประชุมวันนี้ซึ่งเป็นวันแรกดำเนินการประชุม เพื่อเลือกประธาน และรองประธานวุฒิสภา ตามระเบียบวาระ
โดย พล.อ.สมเจตน์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า สิ่งที่จะหารือจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อที่ประชุม ถ้าประธานเปิดใจกว้างจะได้ข้อคิดเห็นดีๆ ซึ่งตำแหน่งประธานวุฒิสภา เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ เพราะต้องไปทำหน้าที่เป็นรองประธานรัฐสภาในการประชุมร่วมกันกับสภาผู้แทนราษฎร จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ทั้งด้านการบริหาร และการควบคุมการประชุม และต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ทั้งนี้ ในการเลือกประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ผ่านกลไกสำคัญของพรรคการเมืองเสียงข้างมาก กลั่นกรองบุคคลที่จะไปทำหน้าที่นั้น แต่ประธานวุฒิสภาไม่มีกลไกใดมาช่วยกลั่นกรอง จากนั้น ร.อ.ทินพันธุ์ ได้เชิญพล.อ.สมเจตน์ นั่งลงเพราะได้ให้เวลาพูดนานแล้ว
ต่อมา นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ ส.ว.ได้เสนอชื่อนายพรเพชร วิชิตชลชัย ส.ว. เป็นประธานวุฒิสภา โดยไม่มีการเสนอชื่อบุคคลอื่นเข้าแข่งขัน
จากนั้น นายพรเพชร กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ขอขอบคุณสมาชิกทุกคน โดยมีสมาชิกท่านหนึ่งเสนอชื่อของตนให้ได้รับการรับรองเป็นประธานวุฒิสภา และมีผู้รับรองถูกต้อง ต้องขอขอบคุณสมเจตน์ ที่ได้กรุณาชี้แจงสิ่งที่ตนควรได้ชี้แจงวิสัยทัศน์ และประวัติของตน เพื่อให้สมาชิกทุกคนสบายใจ ตนเรียนมาทางวิชากฎหมาย จบปริญญาตรีเกียรตนิยมทางกฎหมาย จุฬา จบเนติบัณฑิต ได้ทุนรัฐบาล กลับมาทำงานชดใช้หนี้รัฐบาล ด้วยการดำรวตำแหน่งผู้พิพากษาตลอดชีวิต จนครบอายุ 65 ปี จากนั้น ได้เข้ารับการสรรหาในผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยได้รับเลือกและเห็นชอบให้ดำรวตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับสภา เมื่อรับราชการผู้พิกาษาให้ กระทรวงยุติธรรมดูแลงานของศาลยุติธรรม งานที่สำคัญคืองานพัฒนากฎหมาย กระทรวงนี้มีรมต. เข้ามาหลายคน หลายพรรค ทุกคนเรียกตนเข้าไปใช้งานเรื่องการพัฒนาหมาย ตอนนั้นตนยังเด็กอายุ 30 ปี มารัฐสภาในฐานะผู้ชี้แจง ร่วมกรรมาธิการ ตนได้ซึมซับเรียนรู้ไม่ใช้เฉพาะกระบวนการมากมายแต่ได้เรียนรู้พฤติกรรมของสมาชิกว่ามีความต้องการ ทำอย่างไร ในการบัญญัติกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ ในปี 2549 ตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสนช. เพียงปีเศษผลงานของตนในกรรมาธิการ ในการพัฒนากฎหมายก็เต็มระบบ เพราะสนช. ทำหน้าที่ทั้งวุฒิสภา สภาผู้แทน และรัฐสภา เวลาเพียงปีเศษตนก็ได้เรียนรู้มากขึ้น จากนั้น เพิ่งจบหน้าที่ไปสนช. 2557 – 2562 เกือบ5 ปี จนได้รับเกียรติอย่างสูงยิ่งให้ดำรงตำแหน่งประธานสนช. สถิติจากสื่อมวลชนบอกมีกฏหมายผ่านสภา 500 ฉบับ ซึ่งเป็นเรื่องปริมาณ ซึ่งตนยืนยันว่าทั้ง 500 ฉบับ เป็นกฎหมายที่มีคุณภาพ เพราะสนช.ทุกคนต่างมีความอุตสาหะทำหมาย ซึ่งตนขอประกันว่าทำตามกฎของกฎหมาย หรือหลักนิติธรรม ตนมั่นใจว่ากฎหมาย 500 ฉบับนั้น เป็นกฎหมายที่จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ และต้องขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกสนช.ที่อยู่ในนี้ 1 ใน 3 ส่วนที่เหลือที่ไม่ได้มาตนก็ระลึกถึงว่าช่วยทำกฎหมายที่เป็นประโยชน์ สำคัญที่สุดคือตนระมัดระวังอย่างมากว่ากฎหมายที่ออกมาถูกเฝ้ามอง และถูกท้าทายต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์เกือบทุกฉบับว่ากฎหมายที่ออกโดยสนช มีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญไม่เป็นโมฆะ
นายพรเพชร กล่าวว่า ตนเตรียมพร้อมที่จะทำให้วัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะบทเฉพาะกาลประสบความสำเร็จ คือการปฏิรูปประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ตนเมื่อมารับ สิ่งที่ประชาชนคาดหวัง คือเรียกร้องการปฏิรูปประเทศ และทำเรื่อยมาจากสนช จน ส.ว. โดยให้เครื่องมือคือการที่ส.ว.ต้องพิจารณาร่วมกับสส. ในการจะผ่านกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูป และกฎหมายสำคัญ ตรงนี้คือหัวใจ และสิ่งที่จะต้องเข้าใจและดำเนินกดารไปตามนี้ การทำงานร่วมกับส.ส. เป็นหัวใจหลักของวุฒิสภา มีทฤษฎีต่างๆอธิบายมากมาย ตั้งทันเล่ห์ทันเกม แต่ตนคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือความตั้งใจ จริงใจที่จะทำงานร่วมกับสภา เพื่อบรรลุเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ ดังนั้น ไม่ต้องกังวล ตนต้องทำให้ได้ ตนคงไม่ต้องพูดเรื่องของการโหวตนายกฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมาชิกสนใจ กราบขอกำลังใจ และขอการสนับสนุนจากสมาชิกทุกท่าน
จากนั้น ร.อ.ทินพันธุ์ ชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภา ว่านายพรเพชร ได้เป็นประธานวุฒิสภา
นายสมเจตน์ จึงได้ใช้สิทธิพาดพิงที่นายพรเพชร กล่าวถึงตน โดยกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่ประธาน ตนกับพรเพชร มีความสนิทสนทคุ้นเคยกันดีกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ตนไม่เคยมีเครื่องหมายคำถามในเรื่องคุณสมบัติของนายพรเพชร ซึ่งตนจะไปเสนอความเห็นนี้นอกสภา
ร.อ.ทินพันธุ์ จึงกล่าวว่า สมาชิกทุกคนก็เป็นคนหนึ่งใน 250 คนที่มีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกันหมด เพราะฉะนั้นในที่ประชุมต้องยอมรับในความเท่าเทียมไม่มีใครเหนือกว่ากัน ถ้าเรารักประชาธิปไตย เราต้องเคารพเสียงข้างมาก
จากนั้นนายสุวพันธุ์ ได้เสนอให้วุฒิสภามีรองประธานวุฒิสภาจำนวน 2 คน โดยที่ประชุมได้รับรอง ต่อมาจึงเป็นขั้นตอนการเลือกรองประธานวุฒิ คนที่ 1 โดยนายสุวพันธ์ ได้เสนอชื่อ พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร ซึ่งไม่มีสมาชิกเสนอชื่อบุคคลอื่นอีก พลเอกสิงห์ศึก จึงได้รับเลือกให้เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1
ด้าน พล.อ.สิงห์ศึก ได้กล่าวกับที่ประชุมถึงประวัติและการทำงานที่ผ่านมา โดยเฉพาะในขณะที่ทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ที่ผ่านการทำหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมายโดยตรง เมื่อตนถูกเสนอชื่อเป็นรองประธานวุฒิสภา ต้องขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่ให้เกียรติ และในการปฎิบัติหน้าที่จะต้องคำนึงถึงส่วนรวมและวุฒิสภา จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ต่อมาเป็นเลือกประธานวุฒิคนที่ 2 นายสุวพันธ์ เสนอชื่อนายศุภชัย สมเจริญ ที่ประชุมรับรองถูกต้องและเมื่อไม่มีสมาชิกเสนอชื่ออื่น ทำให้นายศุภชัยได้รับตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2
โดยนายศุภชัย กล่าวว่า ตนขอขอบคุณสมาชิกวุฒิสภาทุกคนที่เสนอชื่อและยกมือรับรอง ตนขอยึดหลัก 3 ข้อ คือ 1.จงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะประเทศของเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นสมาชิกวุฒิสภาทุกท่านต้องจงรักภักดีแลัปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างสุดชีวิต 2.ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต บทบัญญัติข้อนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ที่เป็นจุดหมายสำคัญที่จะทำให้สังคมและประชาชนให้ดารยอมรับ และ 3.พิทักษ์สิทธิผู้แทนวุฒิสภาทุกคนให้เท่าเทียมกับองค์กรอื่น
นายศุภชัย กล่าวต่อว่า เป็นครั้งแรกตนที่เข้ามาทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา ย่อมจะต้องอ่อนด้อยประสบการณ์ในสภา ตนก็จะต้องขอคำแนะนำจากสมาชิกทุกท่านที่ผ่านการทำงานมาอย่างยาวนาน และพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นจากทุกคน