ข่าวปนคน คนปนข่าว
**โปรดเกล้าฯ พระราชทาน เหรียญรัตนาภรณ์เชิดชูพระเกียรติ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ "พระโสทรเชษฐภคินี” ผู้ทรงสนิทสนมรักใคร่ ด้วยได้ทรงร่วมสุขร่วมทุกข์มาแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์... ทูลกระหม่อมฯ ทรงตอบข้อข้องใจ "พระโสทรเชษฐภคินี" ไม่ใช่ตำแหน่ง แต่แปลว่า " พี่สาว"
ประกาศราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเผยแพร่ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 มีความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า "ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี" เป็นพระโสทรเชษฐภคินี ผู้ที่ทรงเคารพนับถือและสนิทสนมรักใคร่ ด้วยได้ทรงร่วมสุขร่วมทุกข์มาแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ ทรงประกอบพระกรณียกิจนานัปการโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การสังคมสงเคราะห์ และการสาธารณสุข ด้วยน้ำพระทัยเปี่ยมด้วยพระกรุณา ก่อให้เกิดประโยชน์แก่เยาวชน ประชาชน และประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทาน เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 10 ชั้นที่ 1 ให้เป็นเครื่องเชิดชูพระเกียรติยศสืบไป ประกาศ ณ วันที่ 8 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562
ต่อมา"ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี" ได้ทรงตอบความเห็นในอินสตาแกรมส่วนพระองค์ ที่มีพสกนิกรเข้าไปคอมเมนต์แสดงความยินดี ซึ่งทูลกระหม่อมฯ ทรงตอบกลับว่า "ไม่ใช่ตำแหน่งนะ คำนี้มันแปลว่า พี่สาว"
พร้อมกันนี้ทรงตอบอีกหนึ่งความคิดเห็นที่ระบุว่า ขอแสดงความยินดีกับทูลกระหม่อมฯ ที่ได้รับพระราชทานเหรียญ รัตนาภรณ์ ชั้นที่ 1 เพคะ ใจจริงอยากให้ทูลกระหม่อมฯ รับสถาปนายศเป็นสมเด็จพระพี่นางด้วยเพคะ # ทรงพระสเลนเดอร์ เพคะ
ทูลกระหม่อมฯ ทรงมาตอบว่า "จริงๆ แล้วถ้ารับสถาปนาก็จะมีข้อจำกัด และไม่ใกล้ชิดประชาชนง่ายเท่านี้ จะดูโบราณทำงานลำบากกว่าเดิม"
**เปิดทำเนียบอภิมหาเศรษฐีไทย "เจียรวนนท์-จิราธิวัฒน์-อยู่วิทยา-สิริวัฒนภักดี" ยังรวยสุด แต่มั่งคั่งน้อยลง ธุรกิจพลังงานมาแรง "สารัช" ครองอันดับ 5 เป็นครั้งแรก "อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา" ทายาทเจ้าสัววิชัย ติดโผหน้าใหม่ อายุน้อยแสนล้าน
นิตยสาร Forbesประเทศไทย ได้จัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ที่ร่ำรวยที่สุด ประจำปี 2562 พบว่า ตระกูลดังที่ติดอันดับกว่าครึ่งมีทรัพย์สินลดลงเหตุผลก็เพราะความไม่แน่นอนก่อนการเลือกตั้งเดือนมี.ค. ที่ไปมีส่วนกระทบความเชื่อมั่น ค่าเงินบาทลดลง แถมดัชนีตลาดหุ้นไทยยังร่วงลง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้ความมั่งคั่งของเศรษฐีไทยเหล่านี้ลดลงตามไปด้วย ... รวมๆแล้ว ทำเนียบมหาเศรษฐี 50รายนี้ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยรวมแล้วอยู่ที่ 1.605 แสนล้านเหรียญ หรือ ประมาณ 5.14 ล้านล้านบาท
อภิมหาเศรษฐีที่ยืนหนึ่ง ยังเป็น "ตระกูลเจียรวนนท์" แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 2.95 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 9.41 แสนล้านบาท) ลดลงเล็กน้อยจาก 3 หมื่นล้านเหรียญ เมื่อปีที่แล้ว แต่ปีหน้าเชื่อว่าหากวัดมูลค่ากันใหม่ ก็อาจจะเพิ่มกลับมา เพราะซีพีขยายเครือข่ายไปอีกหลายแขนงโดยเฉพาะสาธารณูปโภคเมกะโปรเจกต์ที่มูลหลายแสนล้าน
อันดับ 2 เป็นของ "ตระกูลจิราธิวัฒน์" แห่งกลุ่มเซ็นทรัล ที่มีทรัพย์สินสุทธิ 2.1 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 6.70 แสนล้านบาท แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว ... อันดับ3 เจ้าพ่อกระทิงแดง "เฉลิม อยู่วิทยา" มีทรัพย์สินอยู่ที่ 1.99 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 6.35 แสนล้านบาท ... ส่วน "เจ้าพ่อน้ำเมา" เจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ครองอันดับ 4 ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 1.62 หมื่นล้านเหรียญ หรือ ประมาณ5.17 แสนล้านบาท
มีลดก็มีเพิ่ม เศรษฐีไทยที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาแรง โดดเด่นสุด ติดอันดับ 5 เป็นครั้งแรก คือ "สารัชถ์ รัตนาวะดี" นักธุรกิจใหญ่ด้านพลังงานซึ่งทรัพย์สินทะยานขึ้น 1.8 พันล้านเหรียญ หรือ 5.74 หมื่นล้านบาท ไปอยู่ที่ 5.2 พันล้านเหรียญ หรือ 1.66 แสนล้านบาท หุ้นของเขาใน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จากัด (มหาชน) (GULF) พุ่งขึ้น 57% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่เริ่มดำเนินการแล้ว และรายได้ของบริษัท เมื่อปี 2561 เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ไปอยู่ที่ 628 ล้านเหรียญ หรือ 2.02 หมื่นล้านบาท
ส่วนอันดับ 6 "อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา" มีทรัพย์สิน 4.7 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ถือว่าในวัย 33 ปี อายุน้อยที่สุดในทำเนียบ สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาผู้ล่วงลับ "วิชัย ศรีวัฒนประภา" ขึ้นเป็น ซีอีโอ คิง เพาเวอร์ บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลอดอากร
สำหรับเศรษฐีอันดับอื่นๆ ที่น่าสนใจ มหาเศรษฐีหน้าใหม่ ได้แก่ "ชัยวัฒน์ แต้ไพสิฐพงษ์" (อันดับ 23, 1.8 พันล้านเหรียญ) ประธานเครือเบทาโกร บริษัทอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร ... "ชาติศิริ โสภณพนิช" (อันดับ 29, 1.1 พันล้านเหรียญ) กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ปรากฏชื่อในทำเนียบเป็นครั้งแรก หลังจากที่ "ชาตรี โสภณพนิช" ผู้เป็นพ่อเสียชีวิตในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา
มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างโดดเด่นอีกรายคือ "ตระกูลโอสถานุเคราะห์" ซึ่งถูกจัดอยู่ อันดับ 8, มี 3 พันล้านเหรียญ หลังจากเอาบริษัท โอสถสภา ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลังอายุ 128 ปี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนต.ค.61 ภายใต้การบริหารของ "เพชร โอสถานุเคราะห์" นักสะสมงานศิลปะตัวยงและอดีตนักร้องเพลงป๊อปที่โด่งดัง มีเพลงฮิตอมตะตลอดกาลอย่างเพลง "เพียงชายผู้นี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ" ... เศรษฐีอย่าง "ตระกูลมาลีนนท์" เจ้าของสัมปทานทีวี ช่อง3 ติดอันดับอยู่ที่ 47,600 ล้านเหรียญ เข้ามาเป็นหน้าใหม่ในทำเนียบเช่นกัน
อื่นๆที่น่าสนใจ มีมหาเศรษฐีที่กลับเข้าสู่ทำเนียบอีกครั้งอย่าง "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" อยู่ที่อันดับ 45 มีทรัพย์สิน 640 ล้านเหรียญ หลังหยุดชะงักไป 5 ปี ทีพีไอ โพลีน บริษัทผลิตซีเมนต์และคอนกรีตของเขา กลับมาทำกำไรได้ 45 ล้านเหรียญในปี 61 ซึ่งช่วยดันให้หุ้นบริษัทปรับขึ้น14%
**เข้าโหมด "เทศกาลแบ่งเค้ก" นับหนึ่ง "รัฐบาลบิ๊กตู่" ฝุ่นตลบ ทั้งในพรรค นอกพรรค เพราะถูกออกแบบมาตั้งแต่ต้นให้เป็น "รัฐบาลผสม" แต่เชื่อว่าพลังประชารัฐ ในฐานะ "ผู้จัดการรัฐบาล" จะแก้โจทย์ ผ่านปัญหานี้ไปได้
เมื่อกกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ทั้งส.ส.เขต และส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ออกมาแล้ว หลังยืดเยื้อคาราคาซังกันมา 1 เดือนกว่าๆ นับแต่วันเข้าคูหา 24 มี.ค. ได้เห็นตัวเลขแต่ละพรรคชัดเจน คราวนี้ก็เข้าสู่โหมดเจรจาพาทีในการเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งแน่นอนว่าเป็น "รัฐบาลผสม" ที่ขั้วพลังประชารัฐ มีภาษีเหนือกว่า ขั้วเพื่อไทย
หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญ ของการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลก็คือ "เก้าอี้เสนาบดี" และผลประโยชน์ที่ได้ให้แต่ละคน แต่ละพรรคพอใจ ... แต่ครั้งนี้อาจจะทำให้พอใจยากหน่อย เพราะตัวหารเยอะ ตามกติกาที่ออกแบบมาให้มีพรรคเล็กพรรคน้อยได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก ไม่มีพรรคไหนได้เสียงแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จำเป็นต้องพึ่งเสียงพรรคร่วม... แถมงวดนี้เสียงสองขั้วปริ่มน้ำ บรรดาพรรคตัวแปรได้โอกาส "โก่งราคา" ขนาดพรรคที่ได้เสียงเดียวยังเล่นตัวได้ พรรคใหญ่หน่อย โควตา รัฐมนตรีคือ สินสอดแลกเปลี่ยน แต่ไม่ใช่ว่าเจียดอะไรมาให้ก็ได้ ต้องสมน้ำสมเนื้อ ถึงจะตกลงปลงใจ
ขนาดภายใน "พรรคพลังประชารัฐ" ยังจัดสรรกันไม่ค่อยจะลงตัว เพราะสารพัดมุ้ง สารพัดกลุ่มก๊วน เป็นปลาคนละน้ำ ที่มาร่วมภารกิจดันก้น"บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย บางคนยอมโดนข้อหา "ทรยศ"... ทุกกลุ่มต่างมีความหวังว่าจะมีเก้าอี้รัฐมนตรี ตอบแทน
ไล่เรียงจาก "กลุ่มสามมิตร" ของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สมศักดิ์ เทพสุทิน และอนุชา นาคาศัย ที่ขนของกันมาในยุคแรกเริ่ม รับภารกิจ"ดูดอดีตส.ส." เข้าพรรคในช่วงแรกๆ
"กลุ่มกทม." ยี่ห้อประชาธิปัตย์เก่า นำโดย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ศิษย์กำนันสุเทพ ที่หนนี้ร่วมด้วยช่วยกันเพื่อบ้านใหม่ รับภารกิจแย่ง ส.ส.เมืองหลวง มาจากค่ายสีฟ้า เสียจนกระเจิง ได้มา 13 ที่นั่ง ตัวเลขระดับนี้ ต้องมี 1 เก้าอี้รัฐมนตรี เป็นอย่างน้อย
"กลุ่มเพชรบูรณ์" ของ สันติ พร้อมพัฒน์ อดีตนายทุนกระเป๋าตุง จากค่ายเพื่อไทย ที่โชว์ผลงานชิ้นโบแดง กวาดส.ส.เมืองมะขามหวาน แบบยกจังหวัด 6 ที่นั่ง หากจะไม่ให้ก็ดูน่าเกลียด เฉกเช่นเดียวกับ"ก๊วนชากังราว" ของ "เสี่ยต๋อง" วราเทพ รัตนากร ที่ก็เหมายกจังหวัดกำแพงเพชร 4 ที่นั่ง หนำซ้ำ ยังเป็นเจ้าของโปรเจกต์หลายเรื่องในพรรค อย่างน้อยต้องปูนบำเหน็จให้ในฐานะทำผลงาน และอุตส่าห์เทนายเก่า มาอยู่ด้วย
ยังมี "4 กุมาร" ในสาย "เฮียกวง" สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อย่าง "อุตตม สาวนายน-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์- สุวิทย์ เมษินทรีย์-กอบศักดิ์ ภูตระกูล" ที่ยอมตัดใจ ทิ้งอำนาจหน้าที่ออกมาเป็นหนังหน้าไฟ ในตำแหน่งผู้บริหารพรรคให้ แถมยังมีมือทำงานที่ถูกส่งมาช่วยอีก โดยวิสัยต้องต่างตอบแทนด้วยตำแหน่งเสนาบดีเท่านั้น
ส่วน"กลุ่มวิรัช รัตนเศรษฐ" ที่กวาด ส.ส.โคราชมาให้พรรคพลังประชารัฐ เป็นกอบเป็นกำ แต่เดิมก็มีแค่ดีลเรื่องคดีความ เป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่พอผลทำงานทะลุเป้า ก็แอบหวังเล็กๆ ว่าน่าจะมีน้ำจิตน้ำใจมาตอบแทนให้กันบ้าง
สำหรับ "สุชาติ ตันเจริญ" แกนนำกลุ่มบ้านริมน้ำ พานักการเมืองก๊วนตัวเองเข้าสภาต่ำกว่าเป้า ต้องลดขนาดความฝัน จากเสนาบดี เหลือแค่ที่พอมีหน้ามีตา เข้าจังหวะพอดีกับที่พลังประชารัฐ ต้องการเก็บตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรไว้กับตัว สปอตไลต์ เลยจับมา “พ่อมดดำ” ที่มีประสบการณ์ในตำแหน่งดังกล่าว ส่อเค้าจะไม่ต้องแย่งกับใคร
เฉพาะที่ไล่เรียงมาแค่นี้ก็วุ่นหัวหมุน คนในพรรค 10 เก้าอี้ จะเกลี่ยพอหรือเปล่า ...อย่าลืมว่า มีโควตาตรงจาก "บิ๊กตู่" ที่ติดสอยห้อยตามมาอีก 4-5 คน โดยเฉพาะพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ต้องมีไว้บริหารอำนาจเบื้องหลัง
แต่ละคนก็อยากได้กระทรวงดีๆ อย่างในราย"สามมิตร" ก็หมายมั่นปั้นมือกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เอาไว้ แต่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย หรือแม้แต่ พรรคชาติไทยพัฒนา เองก็อยากได้... จะหาทางให้ลงตัวได้หรือไม่ "ผู้จัดการรัฐบาล" ต้องกุมขมับ แน่นอน
ส่วน"พรรคภูมิใจไทย" ของ "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ก็ออกตัวแรงเรื่องกัญชา แต่ใครก็รู้ว่า กระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงคมนาคม คือพิกัดที่พึงประสงค์สูงสุด ก็ดันเป็นกระทรวงที่ "บิ๊กตู่" อยากจะเก็บเอาไว้ให้กับคนของตัวเอง โดยเฉพาะ "พี่รองบูรพาพยัคฆ์" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่นั่งแช่มา 5 ปี ขณะที่กระทรวงราชรถ ก็มีโปรเจกต์รถไฟฟ้าที่ทำเอาไว้ จึงไม่ค่อยอยากให้ใครในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ
แต่ครั้นจะแบ่งกระทรวงเล็กไปให้พรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคครึ่งร้อย ก็ดูไม่สมศักดิ์ศรี ... ต้องอย่าลืมว่า "พรรคเพื่อไทย" ยื่นข้อเสนอมาให้มากกว่ากระทรวงคมนาคมด้วยซ้ำ มันเลยต้องปรับจูน ให้พอใจให้ได้ ไม่ใช่คิดเก็บไว้คนเดียว
ถึงกระทรวงเศรษฐกิจ ที่มีกระแสข่าวว่า "เฮียกวง" สมคิด หวังจะโอบเอาไว้ทั้งหมด ก็เป็นโจทย์ที่ยาก เพราะล้วนแต่เป็นกระทรวงขุมทรัพย์ เกรด เอ ที่พรรคไหนก็ปรารถนา ไม่ใช่แค่พรรคภูมิใจไทย แต่พรรคประชาธิปัตย์ ที่มี ส.ส.ครึ่งร้อยเหมือนกัน แถมเป็นตัวแปรสำคัญ ก็อยากจะคุมเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนของการเข้าร่วม
ดูแล้วงานหลักๆ เฉพาะหน้าของ"พรรคพลังประชารัฐ" ที่ยากสุด น่าจะเป็นการบริหารอารมณ์ และผลประโยชน์ของพรรคร่วมมากกว่า เพราะแน่นอนว่า ไม่มีใครพอใจกับสิ่งที่ได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะโผสุดท้ายคณะรัฐมนตรี ที่ออกมา
หากแต่ดูทิศทางลมแล้ว ท็อปบูตยังมี"กองทัพ" และ"องค์กรอิสระ" เป็น "ไม้เด็ด" เชื่อว่าน่าจะแก้โจทย์นี้ไปได้ แต่จะซ่อนเป็นสนิมเกาะอยู่ข้างในเอาไว้ พร้อมจะกระเพื่อมทุกเมื่อที่มีปัญหา ตามสูตรรัฐบาลผสม...ไม่มีเสถียรภาพ จ้องตัดขา ต่อรอง เลื่อยเก้าอี้กันเองในอนาคต