ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ลือกันหนาหู ดร.กบ “อำพน กิตติอำพน” นายกฯ คนกลาง แก้ปัญหา “การเมืองเดดล็อก” ถ้า “ลุงตู่” ไม่ได้ไปต่อ ย้อนดูโปรไฟล์ข้าราชการมืออาชีพ ผ่าน 7 รัฐบาล 7 นายกฯ
สังคมเครือข่ายออนไลน์แชร์กันหนักมาก หาก “การเมืองเดดล็อก” ถ้า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปต่อไม่ได้ นายกรัฐมนตรีคนกลาง ที่จะมาเป็นความหวังของประเทศได้ คือ “ดร.กบ” อำพน กิตติอำพน
จากก่อนหน้าที่มีชื่อกันหลายคน หรือที่ “เทพไท เสนพงศ์” ว่าที่ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ชื่อออกมา แต่คนที่ถูกลือหนักและที่แรงที่สุดจากวันนั้นถึงวันนี้ไม่มีใครเกิน “อำพน กิตติอำพน”
น้อยกว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จัก “ดร.กบ” แต่ก็ยังมีคนถามไถ่ว่าเป็นใครมาจากไหน ... ถ้าย้อนดูโปรไฟล์ของ ดร.กบ ในเส้นทางชีวิตจากอดีตเลขาฯ สภาพัฒน์ เลขาฯ ครม. มาจนดำรงตำแหน่ง “องคมนตรี” และกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน จะเห็นว่า “ไม่ธรรมดา” ...ดร.กบ ในวัย 64 ปี ผ่านการทำงานทั้งภาครัฐ และเอกชนองค์กรขนาดใหญ่มาโชกโชน อาทิ ปตท.สผ. การบินไทย
ขณะที่สมัยยังรับราชการก็ถือเป็นข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งซี 11 นานที่สุด อาวุโสสูงสุดในบรรดาข้าราชการที่เทียบเท่าปลัดกระทรวง ยาวถึง 12 ปี ก่อนเกษียณในปี 2559 โดยผ่านการทำงานมา “7 รัฐบาล 7 นายกรัฐมนตรี” ...โดยเฉพาะในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำงานให้แก่ 3 นายกฯ ตั้งแต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาถึง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกได้ว่าอยู่และทำงานกับทั้งรัฐบาลปกติ และที่มาจากรัฐประหาร มีประสบการณ์บริหารงานทั้งในช่วงเวลาราบเรียบ และความขัดแย้งของสังคม
“ดร.กบ” ได้รับความไว้วางใจในการทำงานกับทุกๆ รัฐบาล เหตุผลสำคัญเพราะว่า “อยู่เป็น”
“ถามว่าอยู่ได้อย่างไร ก็อยู่เป็น…อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ผมยึดมั่นอยู่อย่างเดียว พระองค์ท่านตรัสว่า ต้องตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์ คือหัวใจหลักของคุณธรรมตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และความตั้งใจทำงานต้องอดทนอย่างพระมหาชนก และใช้ความรู้โดยตลอด” ดร.กบ เคยให้สัมภาษณ์ไว้
ดร.กบยังยอมรับด้วยว่ามีเพื่อนเป็นนักการเมืองและรัฐมนตรีในอดีตหลายคน แนบแน่นกับทั้ง “เนวิน ชิดชอบ” มีเจ้านายทางการเมืองคนแรกๆ คือ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” และ “นิพนธ์ พร้อมพันธุ์"
ช่วงที่ความขัดแย้งทางการเมือง ดร.กบ ถูกถล่มทั้งสองฝ่าย และพอมารัฐประหาร ปี 2557 เคยถูก คสช.เรียกไปรายงานตัว ถูกกักบริเวณร่วมกับแกนนำ กปปส. และเครือข่าย นปช. แต่เพียงชั่วข้ามคืน นายทหารระดับสูงก็มาชี้ตัวให้เขาออกจากค่ายทหาร
นี่แค่บางส่วนของชีวิตของคนชื่อ “อำพน กิตติอำพน” ที่กำลังเป็นข่าวลือหนาหู... ว่าที่นายกฯ !!?
** “บิ๊กโจ๊ก” กลับจากพักร้อน ดอดรายงานตัวเงียบๆ แล้ว ได้รับมอบหมาย “หน้าที่ให้คำปรึกษา-บริการประชาชน” นั่งทำงานศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ไม่ต้องเข้าทำเนียบฯ
หายหน้าหายตาไปเกือบเดือน หลังจากที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เซ็นคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.สตม.) ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย .เป็นต้นไป
... เป็นคำสั่งย้ายฟ้าผ่า แบบที่คนสงสัยกันทั้งประเทศว่าโดนด้วยเรื่องอะไร ...
ขณะที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันยังไม่จบ สองวันถัดมา “บิ๊กโจ๊ก” ก็เจอดาบสอง คราวนี้เป็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ใช้มาตรา 44 ลงนามในคำสั่งหัวหน้า คสช. ให้โอน “บิ๊กโจ๊ก” ไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทนักบริหารระดับสูง ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ขาดจากตำแหน่งหน้าที่ และอัตราเงินเดือนเดิมในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ...
คราวนี้ยิ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหนักกว่าเดิม เพราะ “บิ๊กตู่” ผู้เซ็นคำสั่งก็ไม่ปริปาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่เคยใช้ “บิ๊กโจ๊ก” เป็นมือเป็นไม้ในการสร้างผลงานต่างๆ ทั้งเรื่องปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ จัดการนายทุนเงินกู้นอกระบบ เรื่องการคืนโฉนดให้ลูกหนี้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ก็รูดซิปปากอีกคน...
ส่วนตัว “บิ๊กโจ๊ก” เองก็เก็บตัวเงียบ จากนั้นก็ลาพักร้อน ข่าวว่าไปสหรัฐอเมริกา และเพิ่งกลับมารายงานตัวที่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ 07.30 น.เช้าวานนี้ (2 พ.ค.) แต่ก็ไม่มีใครเห็นหน้าค่าตา
กระทั่งช่วงเย็น “ปลัดหนิง” นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เจ้านายคนใหม่ของบิ๊กโจ๊ก ก็ออกมาให้ข่าวกับสื่อว่า “บิ๊กโจ๊ก” ได้เข้ามารายงานตัวแล้ว ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานด้านที่ปรึกษา การให้บริการกับประชาชน และการพัฒนาระบบงานพัฒนาประชาชน โดยห้องทำงานจะอยู่ที่กองการเจ้าหน้าที่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ก็คงต้องให้ทำงานไปสักพักก่อน ถ้ามีตรงไหน หรือส่วนไหนต้องการคำปรึกษาจาก “บิ๊กโจ๊ก” ก็จะเชิญมาให้คำปรึกษา หรือถ้าทำงานเข้าตาก็อาจจะมอบหมายงานให้ดูแลเพิ่มเติมด้วย
ตามขั้นตอนแล้ว โจ๊ก หวานเจี๊ยบ ต้องรายงานตัวต่อปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ แต่เนื่องจากติดภารกิจในการเตรียมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงมอบหมายให้รายงานตัวต่อผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่แทน
ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่า กับตำแหน่งใหม่ บทบาท หน้าที่ใหม่ของบิ๊กโจ๊ก จะได้รับการโปรโมตให้กลับมาโลดแล่นบนหน้าสื่อเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่
** “หยก ศิลา ล้วนแหลกลาญ” เมื่อ “ธนาธร” ชี้เป้านักการเมืองถือหุ้นสื่อ และมีการนำไปร้องต่อ กกต. แจกใบส้ม และเมื่อถึงที่สุดหากศาลฎีกายึดบรรทัดฐานเดียวกับกรณี “ภูเบศวร์ เห็นหลอด” ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ สกลนคร เขต 2 ...การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีคนผ่านด่านการเป็น ส.ส.ไปได้ถึงครึ่งหรือไม่ก็ยังไม่รู้
หลังจาก “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ออกมาชี้เป้าว่า ใคร อยู่พรรคไหน ที่ถือหุ้นสื่อฯ หวังให้ตายตกไปตามกัน หากตัวเองโดน กกต.แจก “ใบส้ม” พ่วงคดีอาญา ลามถึงยุบพรรค ... ทาง “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ ที่ถูกยุบไปแล้วก็รับลูกทันที โดยไปร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.4 ราย ว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัคร ส.ส.หรือไม่ และจะถือว่ามีผลทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต เที่ยงธรรม หรือไม่ รวมถึงต้องยุบพรรคหรือไม่...
ในจำนวนนี้ก็มี “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรคภูมิใจไทย ถือหุ้นใน บริษัท ซิโนไทย ดีเวล็อปเม้นท์ จำกัด 37,500 หุ้น , ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ถือหุ้นในบริษัท ศรีธาราแลนด์ จำกัด 750,000 หุ้น และถือหุ้น บริษัท พิมลทรัพย์ จำกัด 80,000 หุ้น ถือหุ้นในบริษัท แฟซิฟิกเอ็กซ์คลูซีฟ ซิตี้ คลับ จำกัด อีก 35,000 หุ้น และในบริษัทดังกล่าวนี้ยังพบมี ชื่อ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ผู้สมัคร ส.ส.เขต 27 กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้นอยู่ 35,000 หุ้น ด้วย นอกจากนี้ ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ก็ถือ 10,000 หุ้นด้วย...เรียกว่า เจอทั้งพรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และรวมพลังประชาชาติไทย ที่จัดว่าอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับขั้วสืบทอดอำนาจทักษิณล้วนๆ
เจอเข้าแบบนี้ “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” ก็ออกมาโวยทันที ถ้า “ธนาธร” จะฟ้องก็ออกมาทำด้วยตัวเอง สังคมเราเจอแต่ตัวแทนปลอมๆ มาพอแล้ว พร้อมอธิบายแบบสั้นๆ ง่ายๆ ว่า หากตนเองถือหุ้นสื่อฯ หรือจะผิดพลาดที่ไม่ได้ขาย หรือโอน ในกฎเกณฑ์ของ กกต.ตามกรอบกฎหมาย ก็พร้อมจะหลุดจากการเป็น ส.ส. ยินดีรับคำตัดสินแบบลูกผู้ชาย เพราะมีบริษัทที่ทำโรงเรียน ทำอสังหาฯ สื่อมวลชนไปช่วยตรวจสอบก็ได้
ขณะที่ “ทยา ทีปสุวรรณ” ภรรยาของณัฏฐพลก็ออกมาอธิบายถึงข้อแตกต่างระหว่างกรณี “ณัฏฐพล vs ธนาธร” ว่า “ณัฏฐพล” ถือหุ้นใน บ.ศรีธาราแลนด์ ดำเนินกิจการอสังหาริมทรัพย์ และ บ.วิสดอม เอ็นเตอร์ไพรส์ ดำเนินกิจการโรงเรียนนานาชาติจริง แต่การดำเนินธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทไม่ได้เกี่ยวข้องกับการผลิตสื่อ แต่ในทางปฏิบัติการจดทะเบียนบริษัทประกอบกิจการนั้น หนังสือบริคณห์สนธิจะครอบคลุมทุกอย่างไว้ ต่างจากบริษัท วี-ลัค มีเดีย ที่ผลิตสื่อโดยตรง และ “ณัฏฐพล” ไม่ได้มีการโอนหุ้นบริษัทดังกล่าวก่อนการเป็นผู้สมัคร ส.ส. และไม่คิดจะทำย้อนหลัง หรือหาหลักฐานมาประกอบเพื่อปฏิเสธว่าไม่ได้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าว ก่อนการลงสมัครรับเลือกตั้ง...ว่ากันแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องวิ่งหาข้อมูลย้อนหลัง หรือต้องสร้างหลักฐานเป็น “ลิงแก้แห” และไม่ได้เป็นเรื่องของ “ประชาธิปไตย” ที่ต้องออกมาเรียกร้อง นำมวลชนมาเป็นเกราะกำบัง และถ้าถึงที่สุด “ณัฏฐพล” ถูกตัดสิทธิในการเป็น ส.ส. เขาจะยอมรับตามกระบวนการทางกฎหมาย ผิดคือผิด หลุดคือหลุด ไม่ต้องออกมาด่าทอหน่วยงานรัฐ และปลุกระดมคนให้เชื่อในหลักฐานที่ไม่มีน้ำหนักใดๆ....เพราะเขาอาสามาทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่เอาประชาชนมาทำงานให้!!
อีกคนที่โดนชี้เป้า คือ “สาธิต ปิตุเตชะ” รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตน์ ก็ออกมาซัด “ธนาธร” ว่า ประเด็นของธนาธร คือ มีการโอนหุ้นก่อนวันรับสมัครเลือกตั้งแล้วหรือไม่ ดังนั้น ต้องไปหาข้อเท็จจริงตรงนี้ว่าโอน หรือไม่โอน ส่วนประเด็นของตนต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เพราะเท่าที่จำได้ไม่ได้ทำกิจการอะไรเกี่ยวข้องกับสื่อ และข้อมูลที่ส่งมาเป็นเรื่องวัตถุประสงค์ของการจดแจ้ง เพราะกฎหมายกำหนดว่าห้ามเป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้น หรือเจ้าของ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังนั้นตนยินดีให้ตรวจสอบ
“ผมอยากเชิญนายธนาธร ถ้าหากมีแนวคิดที่ตรงกัน ก็ให้มาร่วมต่อสู้กันว่า ตามรัฐธรรมนูญ มันไม่ควรเป็นความผิดตามคุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้ง และอย่าพยายามไปจับหรือเอาใครมาเป็นตัวประกันในลักษณะมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ต้องแยกแยะจับให้ตรงประเด็น” สาธิตระบุ
ประเด็นเรื่องผู้สมัคร ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ทำไปทำมาตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ธนาธร” ถูกกันหนทางการเข้าสู่สภาคนเดียวซะแล้ว แต่กลายเป็นว่า “บรรทัดฐานถือหุ้นสื่อ” ที่ศาลฎีกาตัดสินไว้ กรณี “ภูเบศวร์ เห็นหลอด” ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ สกลนคร เขต 2 ที่ถูกสั่งให้ถอนชื่อออกจากผู้สมัครรับเลือกตั้งอาจทำให้นักเลือกตั้งที่ลงสมัครในครั้งนี้ อาจปลิดปลิวไปครึ่งจักรวาล อย่างที่มีคนล้อเลียนกันอยู่ แล้วเมื่อถึงเวลานั้นการเมืองไทยจะเดินต่อกันอย่างไร ...