xs
xsm
sm
md
lg

ทรงพระเจริญ ในหลวงทรงสถาปนาสมเด็จพระราชินี พลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา พสกนิกรปลื้มปีติทั่วหล้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว

** ทรงพระเจริญ ในหลวงทรงสถาปนาสมเด็จพระราชินี พลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา พสกนิกรปลื้มปีติทั่วหล้า

จากที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศ เล่ม 136 ตอนที่ 11 ข. เรื่อง “สถาปนาสมเด็จพระราชินี” ความว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับ พลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา ถูกต้องตามกฎหมาย และราชประเพณีโดยสมบูรณ์ทุกประการแล้ว

จึงมีพระราชโองการให้สถาปนา พลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา พระอัครมเหสีเป็น สมเด็จพระราชินีสุทิดา ทรงดำรงตำแหน่งพระอิสริยยศ ฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน

พสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า หลังจากรับข่าวต่างมีความปลาบปลื้มปิติโดยทั่วกัน

สมเด็จพระราชินีสุทิดา ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระนามเดิมว่า สุทิดา ติดใจ ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2521 ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต จากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เมื่อปี 2543 ก่อนที่จะทรงเข้าทำงานเป็นพนักงานต้อนรับของการบินไทย ต่อมาทรงเป็นนายทหารบกหญิง และทรงดำรงตำแหน่งเป็น รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พลเอกพิเศษ) และยังได้รับพระกรุณาให้เป็นราชองครักษ์เวรในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
มหาเธร์ โมฮัมหมัด
**ปวดตับ ดู “มหาเธร์” นายกฯ ผู้ยึดประโยชน์ชาติ บีบจีนยอมลดค่าสร้างรถไฟเร็วสูงลงเกือบครึ่งได้สำเร็จ แล้วย้อนดูไทย ลดจิ๊บๆ หลักพันล้านดีใจกันยกใหญ่

หลัง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation โครงการความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่าง จีน-ไทย ก็เดินหน้าต่อหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือ “รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน” ที่ยักยักกึกกักกันมาพักใหญ่ เจรจาต่อรองกันไม่สะเด็ดน้ำสักที ซึ่งประเด็นหลักๆ ก็อยู่ที่ราคา และเงื่อนไขการก่อสร้างที่แพงระยับ ดอกเบี้ยสุดโหด

เป็นที่รับรู้กันว่า ดอกเบี้ยกู้ยืมของจีนนั้น สูงกว่าการกู้ยืมจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเด็นนี้จีนถูกวิจารณ์อยู่เนืองๆ ซึ่งในการประชุมกลุ่มผู้นำโลกที่ปักกิ่ง “สี จิ้นผิง” มีถ้อยแถลงคล้ายๆ จะแก้ต่างโครงการของจีน “ไม่ใช่การเอาเปรียบประเทศที่ยากจน และเป็นหนี้จีน” แต่มีเป้าหมายเพื่อ 'แบ่งปัน' ความมั่งคั่ง หาโอกาสใหม่ๆ ด้านความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ

ไม่กี่วันจากนั้น “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คมนาคม ก็ป่าวประกาศข่าวดี คืบหน้าเจรจาขอลดราคาค่าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน บางส่วน ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา สัญญาที่ 2.3 (การวางราง และ ระบบการเดินรถ ระบบอาณัติสัญญาณ พร้อมขบวนรถ) จีนใจดี ลดลงไปได้อีก 549 ล้าน รวมก่อนหน้านี้ ที่ลดไปแล้ว 2,676 ล้านบาท รวมๆ ที่จีนลดให้ 3,225 ล้านบาท วงเงินรวมลดลงมาอยู่ที่ 50,600 ล้าน

ตีปี๊บยิ้มหน้าบาน แต่ลืมไปวา วงเงิน 50,600 ล้าน เกินกว่าที่ ครม.อนุมัติไว้แค่ 38,588 ล้าน ต้องกุมขมับตื้อๆ เจรจาคุยกันส่วนเกินจะเอายังไงอีกต่อไป ...รวมๆ โครงการทั้งเส้นจากหนองคายมากรุงเทพฯ มูลค่าหลายแสนล้าน แน่นอนว่า เราๆ ท่านๆ ต้องเป็นลูกหนี้จีนหัวโตกันอีกหลายปี...

หันไปมองเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย แล้วดูส่วนลดที่จีนลดให้ 3 พันกว่าล้าน แล้วสะท้อนใจ ... รถไฟความเร็วสูงจีน ระยะทางใกล้เคียงกัน “นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เจรจาให้จีนยอมลดราคาลงได้ 50% จากที่เคยยึกยักเหมือนไทย เพราะจีนบอกราคา พร้อมดอกเบี้ยแบบจัดเต็ม แต่มาเลย์ ก็ประเมินแล้วสู้ไม่ไหว คนในประเทศจะเดือดร้อน จากรสนิยมสูงแต่รายได้ต่ำ มีรถไฟฟ้าความเร็วสูงแต่ภาระหนี้ของประเทศจะเข้าสู่วิกฤต ตอนแรกจะล้มโครงการไปเลย แต่สุดท้ายก็กลับมาคุย และจีนยอมจาก 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลด 50 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 10,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ลดยิ่งกว่าห้างโละสินค้า ... ที่เป็นอย่างนี้มีเรื่องที่ต้องขบคิด “รศ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์” อดีตอาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ เขียนบทความไว้น่าสนใจ ขอยกมาบางส่วน ...

เรื่องต้องไปเมื่อเดือน พ.ค.ปีที่แล้ว เมื่อนายมหาเธร์ โมฮัมหมัด ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไป และได้เป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศมาเลเซียแล้ว ในเดือน ม.ค.ปีนี้เอง นายกฯ มหาเธร์ ได้ประกาศจะยกเลิกสัญญาการก่อสร้างเส้นทางรถไฟที่มีความยาว 688 กม.นี้ก่อน เนื่องจากประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ติดกับช่องแคบมะละกา อันเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของโลก มีการขนถ่ายสินค้าผ่านช่องแคบนี้เป็นมูลค่า ปีละ 3-5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มาเลเซียจึงมีความสำคัญต่อจีน ในฐานะที่เป็นช่องทางการค้าทางทะเลใต้ของจีน

บริษัทผู้ก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ เป็นรัฐวิสาหกิจของจีน ชื่อ China Communications Construction Co., Ltd. โดยทางการมาเลเซีย กู้เงินจากธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของจีนในสัดส่วน 85% ของมูลค่าโครงการ โดยมีอัตราดอกเบี้ย 3.25% มูลค่าก่อสร้างของโครงการนี้ประมาณ 19,600 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยโครงการสร้างทางรถไฟนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลา 9 ปีที่ “นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค” เป็นผู้นำของมาเลเซีย เป็นช่วงที่จีนเป็นผู้ลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ด้วยมูลค่ากว่า 3,380 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่เจรจาตกลงกับจีน ล้วนเกิดขึ้นในยุคของอดีตนายกฯนาจิบ ทั้งสิ้น แต่ต่อมาทาง “นายกฯ มหาเธร์” กลับทำการเจรจากับจีน เพื่อขอแก้ไขสัญญากู้เงินจากธนาคารของจีน ที่ให้เงินกู้เงินโดยให้เหตุผลที่ขอเจรจาเงื่อนไขทางการเงินใหม่ว่า โครงการนี้สร้างภาระแก่เศรษฐกิจของประเทศ แต่ผลตอบแทนจะไม่มีเลยในช่วง 10 ปีแรก และมาเลเซียก็มีหนี้ภาครัฐอยู่สูงถึงกว่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 8 ล้านล้านบาท คิดเป็น 80% ของจีดีพีเลยทีเดียว

ทำให้เกรงว่าภาระหนี้เงินกู้จากโครงการรถไฟจีน อาจทำให้มาเลเซีย ตกเป็นเหยื่อของจีนเหมือนศรีลังกา ที่ต้องยกท่าเรือที่กู้เงินจากจีนมาสร้างให้แก่จีน เมื่อปี พ.ศ. 2560 เนื่องจากรัฐบาลศรีลังกา ไม่สามารถชำระหนี้ในโครงการท่าเรือ และต้องยกท่าเรือ “เมืองฮัมบันโตทา” ให้จีนเช่าเป็นเวลาถึง 99 ปี ...เหมือนที่จีนเคยก่นด่าอังกฤษ ที่อังกฤษบังคับเช่า นิวแทริทอรีส์ ไปรวมกับเกาะฮ่องกง จากจีนไป 99 ปี ในอดีตนั่นเอง...

ปรากฏช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ทางการมาเลเซียตกลงลงนามในสัญญาโครงการรถไฟสายตะวันออกกับจีนอีกครั้ง หลังจากบริษัท China Communications Construction Co., Ltd.ยอมลดราคาค่าก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ลงเหลือเพียง 10,700 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิม ที่ประมาณการว่า งบประมาณในการก่อสร้างจะบานปลายขึ้นไปถึง 19,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ครับ! หากหักค่าคอร์รัปชันออกไปแล้ว ราคาค่าก่อสร้างก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด)

นอกจากนี้ นายกฯ มหาเธร์ยังประกาศอีกว่า มีเงื่อนไขต่างตอบแทนในการที่มาเลเซีย ลงนามในสัญญาใหม่ครั้งนี้ คือ การที่ทางการจีนจะต้องซื้อน้ำมันปาล์มอันเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดของมาเลเซียเพิ่มขึ้นจากเดิมปีละ 4.7 ล้านตัน อีกด้วย

...ดูเอาเถอะครับ ทำไมนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย จึงเก่งและดีถึงเพียงนี้!!
ชาญวิทย์ วิภูศิริ - สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์- เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส
** หุ้นสื่อฯลาม! ร้องเรียนกันวุ่น ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ-เพื่อไทย-เสรีรวมไทย เจอเข้าบ้าง ทั้ง “สนธิรัตน์-ลุงตู่-เสรีพิศุทธ์” แถมมีร้องยุบพรรค-แจกใบส้ม พปชร.ทั่วประเทศ แต่ กกต.ก็เตรียมประกาศรับรอง ส.ส.ทั้งสองระบบ 7-8 พ.ค.นี้ ขณะที่วงในมีการเปิดไทม์ไลน์ 21 พ.ค. เลือก ปธ.สภา 24 พ.ค. โหวตนายกฯ ช่างบังเอิญไปสอดคล้องกับที่ “ลุงตู่” พูดกับผู้ใช้แรงงานว่า รัฐบาลนี้มีเวลาทำงานอีกแค่ 1 เดือน จากนั้นจะมีรัฐบาลใหม่ในเดือน มิ.ย.

หลังจาก “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เข้าชี้แจง เรื่องถือหุ้นสื่อฯ ต่อคณะกรรมการสืบสวน และไต่สวนของ กกต. แล้วออกมาประกาศว่า หากตัวเขาต้องเจอ “ใบส้ม” หรือลุกลามไปถึงโทษอาญา ยุบพรรค ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปีแล้วละก็ ... พรรคอื่นๆ ก็มีผู้สมัครที่ถือหุ้นสื่อฯ อยู่เหมือนกัน ก็ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับตัวเขา ...

แต่คนของพรรคอนาคตใหม่ ยังไม่ได้เข้าร้องเรียนต่อ กกต. ว่ามีใครบ้างที่ถือหุ้นสื่อ ...ทาง “ศรีสุวรรณ จรรยา” นักร้องดังแห่งยุคก็เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบผู้สมัคร ส.ส.อีก 3 คน คือ “นายชาญวิทย์ วิภูศิริ” ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 15 พรรคพลังประชารัฐ พล.ต.ต.ลัทธสัญญา เพียรสมภาร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายนพชัย ศรีสุวนันท์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ว่าทั้ง 3 คนนี้ นี้เข้าข่ายขาดคุณสมบัติสมัครส.ส. เพราะถือหุ้นสื่อ

เท่านั้นไม่พอ ยังขอให้ กกต.ตรวจสอบ และเอาผิดนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ไปปราศรัยหาเสียง ที่ จ.ลพบุรี โดยบอกว่า จะเพิ่มเงินบัตรคนจน เข้าข่ายความผิด เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือไม่ ...เป็นอันว่า เพื่อไทยโดนไป 2 คน พลังประชารัฐ โดนอีก 2 คน

คล้อยหลังที่ “ศรีสุวรรณ” ออกจากสำนักงาน กกต. นายณรงค์ รุ่งธนวงศ์ จากพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ จากกรณีนายชาญวิทย์ วิภูศิริ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 15 ถือหุ้นสื่อ โดยเฉพาะนายชาญวิทย์ยังเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย จึงอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 132 ที่มีโทษถึงยุบพรรค ...

จากนั้น นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต.พิจารณาระงับสิทธิผู้สมัครของพรรค พปชร.ทุกเขตทั่วประเทศ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ ครม.มีมติเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม. ) กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ จากที่เคยได้ 600 บาท เป็น 1,000 บาท โดยนำงบกลาง 4 พันล้าน มาจ่าย แถมโอนเงินเข้าบัญชี อสม. ก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่วัน เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้ตำแหน่ง หน้าที่โดยมิชอบ กระทำการเพื่อเป็นคุณแก่พรรคพปชร. หรือไม่

เรื่องยังลามไปถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ถูกนางวิรณัฎฐ์ ณัฏฐมั่งคั่ง ภรรยาของ พ.ต.อ.ทินกร ณัฏฐมั่งคั่ง อดีตนายเวร ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรักษาการ ผบ.ตร. ร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติว่าเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.หรือไม่ เนื่องจากเคยถูกร้องเรียนว่า กระทำความผิดวินัยร้ายแรง จนนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีคำสั่ง ให้ออกจากราชการ โดยนับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ยังไม่มีคำสั่งให้กลับเข้ารับราชการ แต่อย่างใด ...

เชื่อว่า กว่าจะถึงวันที่ 9 พ.ค.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ กกต. ต้องประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ทั้ง ส.ส.เขต และระบบบัญชีรายชื่อ 95% คงจะมีการร้องเรียนกันอีกหลายราย ซึ่งตามกระบวนการแล้ว ต้องมีการพิจารณา ตั้งข้อกล่าวหา แล้วให้ผู้ถูกร้องมาชี้แจง ก่อนที่ กกต.จะมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา แล้วเวลาก็เหลือเพียง 7 วัน กกต.จะสามารถทำได้ทันหรือไม่ ... ประเด็นเรื่องเลือกตั้งโมฆะ จึงมีการพูดถึงกันมาก หากครบกำหนดแล้ว กกต.ไม่สามารถประกาศรับรองผลได้

แต่ก็มีรายงานข่าวว่า ในการประชุม กกต. เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุม กกต.มีมติให้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบเขต ในวันที่ 7 พ.ค. และ ประกาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในวันที่ 8 พ.ค. ...โดยมีรายงานพ่วงมาด้วยว่า พรรคที่จะมี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ มีทั้งสิ้น 27 พรรค ... จากนั้นภายใน 3 วัน จะมีการประกาศรายชื่อ 250 ส.ว. ตามมา

แนวโน้ม น้ำหนักจึงค่อนไปทางว่า กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส.ไปก่อน เพื่อให้ได้ 95% ตามที่กม.กำหนด แล้วจึงส่งเรื่องร้องเรียนต่างๆ ให้ศาลพิจารณา “สอย” ในภายหลัง เพื่อให้กระบวนการเปิดประชุมสภาครั้งแรก เพื่อเลือกตั้งประธานสภาฯ ดำเนินไปได้ จากนั้นจึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรี

ตาม “ไทม์ไลน์ที่” วงในมีการคาดคำนวณกันไว้ คือ วันที่ 12 พ.ค. จะมีการนำรายชื่อ ส.ส. และ ส.ว. ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง จากนั้นจะนำ พ.ร.ฎ.เรียกประชุมรัฐสภาฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และขอพระราชทานกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา คาดว่าจะมีขึ้น ช่วง วันที่ 18-19 พ.ค. จากนั้นประชุมเพื่อเลือกประธานสภาฯ และประธานวุฒิสภา ในวันที่ 21 พ.ค. และเมื่อมีการทูลเกล้าฯ แต่งตั้งประธาน และรองประธานสภาฯ รวมไป ถึงประธาน และรองประธานวุฒิสภา ในวันที่ 23 พ.ค.แล้ว ก็จะสามารถเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อเลือกนายกฯ ได้ ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.เป็นต้นไป

หากกระบวนการต่างๆ เดินไปตามไทม์ไลน์ดังที่ว่ามานี้ เราก็น่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในช่วงปลายเดือนพ.ค.นี้ ...ซึ่งบังเอิญไปตรงกับที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กล่าวระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดงานวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2562 เมื่อวานนี้ว่า รัฐบาลนี้มีเวลาทำงานอยู่อีกประมาณเดือนหน้า จากนั้นจะมีรัฐบาลใหม่ ในเดือนมิถุนายน ... “ผมยืนยัน ทุกอย่างที่ทำวันนี้ ที่ทำมา 5 ปี จะสืบสานต่อในรัฐบาลใหม่ อันนี้คือความต้องการของประชาชน”




กำลังโหลดความคิดเห็น