xs
xsm
sm
md
lg

"เนวิน" ชี้ทางสวรรค์ลุงตู่ ใช้มาตรา 44 ปลดล็อก"กัญชา" **กระเทือนวงการสาธารณสุข กพ. ตั้งเป้าปี 2564 งดรับบรรจุแพทย์ หรือจงใจผลักไปอยู่เอกชน **บทเรียน"โจ นูโว" พ่ายยับทุกสมรภูมิ อุทาหรณ์สอนความเห็นต่างทางการเมืองไม่ใช่เรื่องของเด็กอนุบาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: นกหวีด

เนวิน ชิดชอบ -ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา - โจ นูโว - จอห์น วิญญูู
ข่าวปนคน คนปนข่าว

** "เนวิน" ชี้ทางสวรรค์ลุงตู่ไปต่อ แล้วเป็นนายกฯในใจประชาชน ใช้ มาตรา 44 ปลดล็อก"กัญชา" เพื่อให้ประชาชนใช้ในการรักษาโรค

ต้องนับว่าไม่ธรรมดาสำหรับ "พรรคภูมิใจไทย" ที่ถือดุลการเมืองถึง 50 กว่าเสียง ด้วยนโยบายที่ถูกใจประชาชนและทันยุคทันสมัย มองการณ์ไกลหลายด้านๆ จนถือเป็นพรรคการเมือง 4.0แห่งยุค ก็ว่าได้ ตอนนี้แม้หัวหน้าพรรค "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล จะรำป้ออยู่วงนอก บอกชัดว่า ตอนนี้พรรคยังไม่ตัดสินใจว่าจะร่วมรัฐบาลก็ฝั่งไหน หลังวันที่ 9 พฤษภาคม ค่อยว่ากัน แต่ฝั่งพรรคพลังประชารัฐ ก็ประกาศชัดแล้วว่าหลังวันที่ 9 พฤษภาคม มีเสียงข้างมากเกิน 251 เสียง สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แน่...

หลายคนกดเครื่องคิดเลขกันใหญ่ว่า เสียงเหล่านั้นมาจากไหน เพราะ "ลุงมิ่ง" มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ซึ่งถือ 6 เสียงในมือ ก็ประกาศชัดแล้วว่าไม่เอาด้วยแน่ ทางเดียวจะเป็นไปได้คือ เป่าปี่เรียก"งูเห่า" ให้ออกจากรังลุงมิ่ง ฝั่ง ปชป. ก็ชัดเจนว่า "ฝ่ายอาวุโส และนิวเดม" ของพรรคไม่เอาด้วย อาจได้แค่ฝั่ง "ถาวร เสนเนียม" ที่เป็น "งูเห่ากำนัน" ฝากเลี้ยง บอกมีเสียงในมือแล้ว 35 เสียง แต่นับเท่าไหร่ก็ยังไม่พออยู่ดี ดูเหมือนรัฐบาลกำลังถึงทางตัน เริ่มมีคนส่งเสริมถึงรัฐบ่าลแห่งชาติเอย รัฐบาลปรองดองเอย กระทั่งพูดกันเซ็งแซ่ว่า นายกฯคนต่อไปอาจไม่ใช่ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซะแล้ว..

นักข่าวก็เริ่มเก็งกันว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปน่าจะมาจากคนนอกไปใช้ "ก๊อก2" ที่รัฐธรรมนูญเปิดทางไว้ เป็นรัฐบาลแห่งชาติ รัฐบาลปรองดอง แล้วแต่จะเรียกขาน แต่ละรายชื่อที่ส่งออกมาล้วนแล้วแต่สั่นสะเทือนบังลังก์ลุงตู่ทั้งสิ้น สัปดาห์ที่ผ่านมา นักข่าวเอาเรื่องนี้ไปถาม "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ลุงตู่ ทั้งสองลุง ก็ได้แต่อ้ำอึ้งส่ายหัว ไม่รู้ ไม่ทราบ เพราะแต่ละนามที่เอ่ยชื่อมาว่าอาจจะเป็นนายกฯนั้น ล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
อยู่ๆ "ลุงเน" เนวิน ชิดชอบ ที่รู้กันว่า เป็นคนกุมบังเหียนพรรคภูมิใจไทย ตัวจริง ก็ชี้ "ทางสวรรค์" ให้"ลุงตู่" ว่า ถ้าอยากเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในใจประชาชน ก็ให้งัดมาตรา 44 ออกมาใช้ เพื่อช่วยคนป่วยที่ใช้กัญชาในการรักษาโรค เพราะวันที่ 19 พฤษภาคม ก็จะพ้นเขตนิรโทษกรรม ที่ทำให้คนใช้กัญชารักษาโรคจะมีความผิด เพราะยังถือว่า กัญชายังคงเป็น "ยาเสพติด" ที่พรรคภูมิใจไทย ประกาศชัดแจ้งแล้วว่า ถ้าอยากให้พรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาล นโยบายกัญชา ที่พรรคชูธงในการหาเสียงจะต้องเป็นจริง ไม่เท่านั้น "ลุงเน" ยังจัดงานใหญ่ "พันธุ์บุรีรัมย์" เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งคนไทยต่างชาติที่เชี่ยวชายเรื่องกัญชา มาจัดนิทรรศการกัญชากันอย่างเอิกเกริกก้าวล้ำนำหน้า "ลุงตู่"ไปแล้วหลายขุม

เหลือแต่ "ลุงตู่"แหละว่า จะเอาอย่างไร จะไปต่อกับ "ลุงเน" แล้วเป็นนายกฯในใจประชาชนอย่างที่ "ลุงเน"แนะนำ ก็ต้องกล้าใช้ มาตรา 44 เพื่อเอาใจประชาชนคนทั่วไปบ้าง เพราะมาตรา 44 ล่าสุดที่งัดออกมาใช้ แม้จะอธิบายให้พอฟังได้ว่า รัฐจะได้ประโยชน์ในระยะยาว แต่คนก็ยังมองว่า เอาใจ "กลุ่มทุน" อยู่ดี...

แหม๋เสียงดังฟังชัด คุยลั่นว่า ฝั่งนี้มีเสียงในมือเกิน 251 เสียง แสดงว่า แอบนับเสียงฝั่ง "ลุงเน" ไปด้วยแล้ว จะไม่ถามใจ "ลุงเน"ก่อนหรือยังไม่รับข้อเสนอของ "ลุงเน"ที่ชี้ทางสวรรค์ให้แล้วก็อย่าเพิ่งมั่นใจนะว่า "ลุงตู่" จะได้ไปต่อ ถ้า "ลุงเน" ยื่นข้อเสนอให้แล้วไม่รับ และนโยบายที่พรรคภูมิใจไทยสัญญาไว้กับประชาชนยังไม่ได้รับปฏิบัติ ก็อาจ"เซย์โน" เพราะเท่ากับหาเสียงไว้แล้วทำไม่ได้ จะขนงูเห่ามากี่ครอก ก็ไปต่อยากนะจะบอกให้..

**กระเทือนวงการสาธารณสุข กพ. ตั้งเป้าปี 2564 งดรับบรรจุแพทย์ ทั้งที่จำนวนต่อหัวประชากรยังต่ำ หรือจงใจผลักไปอยู่เอกชน

เพจด้านวงการสาธารณสุขชื่อดัง "Gosip สาสุข" กำลังนำเสนอประเด็นน่าสนใจที่กระทบต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า แต่กลับไม่ได้ยินเสียขับขานเรื่องนี้ใน "สื่อหลัก" เมื่อคณะกรรมการกำหนดเป้าหมาย และนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) มีข้อเสนอแนะแนบท้ายมติบรรจุข้าราชการว่า ในปี 2564 จะจัดสรร อัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อรองรับ "การบรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์" เป็น"ปีสุดท้าย"

จนกระทั่ง "พี่ใหญ่"ของโรงเรียนผลิตแพทย์ อย่าง "ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา" คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล สะท้อนถึงความไม่เห็นด้วยทันที ด้วยเหตุผล เช่น ความกังวลเรื่องการขาดแคลนแพทย์ (โดยเฉพาะในชนบท) เพราะนักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่ ยังคงเลือกที่จะอยู่ในระบบ ไม่ออกไปทำงานในภาคเอกชน เนื่องจากความมั่นคงทางรายได้ - สวัสดิการ หากจะหายไปโรงพยาบาลเอกชนบ้าง ก็ไม่ได้มากอย่างที่หลายคนคิด
ขณะเดียวกัน ระบบ "ใช้ทุน" ที่มีอยู่ ก็ยังคงทำหน้าที่ดูแลแพทย์จบใหม่ ไม่ให้ย้ายงานไปยังภาคเอกชนโดยทันที หากแต่ต้องทำหน้าที่ตามจังหวัดน้อยใหญ่ ซึ่งนอกจากจะทำให้จำนวนแพทย์ต่อคนไข้ไม่อัตคัดมากนัก ยังทำให้หมอ ได้เรียนรู้ระบบ เรียนรู้สังคม และเรียนรู้สภาพพื้นที่จริง มากกว่าที่จะเกิดในเมือง โตในเมือง เรียนในเมือง และทำงานในเมืองเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญก็คือ ในเมื่อไทยยังต้องมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อ "รักษาฟรี" นั้น โรงพยาบาลอำเภอ โรงพยาบาลจังหวัด ก็ยังต้องการแพทย์เข้ามาหมุนเวียนต่อเนื่อง เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่มหาศาลในแต่ละวัน

อย่าลืมว่า "ระบบประกันสุขภาพ" นั้น ยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ ก็จะเพิ่มภาระแก่แพทย์ และโรงพยาบาลมากขึ้น แม้สำนักงานประกันสุขภาพจะออกมาสร้างมาตรการรณรงค์ป้องปรามก่อนเป็นโรค แต่ก็ยังไม่ได้ผล เพราะประชาชนถือว่า เจ็บไข้ได้ป่วย ก็รักษาฟรี ทุกวันนี้เมืองไทยมีอัตราแพทย์ต่อประชากร 1,000 คน ที่ 0.5 คน ตัวเลขนี้รวมหมดทั้งแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน ในขณะที่ความต้องการที่แท้จริงอยู่ที่ 2 คน ต่อ 1,000 คน ซึ่งถ้านับการใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ ต่อจำนวนประชากร ก็ยังขาดแคลนแพทย์อีกจำนวนมาก

อยู่ๆไม่รู้ คปร. ซึ่งอยู่ภายใต้ ก.พ.ไปคิดอีกท่าไหนบอกว่า จะงดรับการบรรจุแพทย์และทันตแพทย์ ในอีกสองปีข้างหน้า จนเพจดังมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า นอกจาก คปร. จะไม่เข้าใจระบบแล้ว ยังอาจเป็น "ทฤษฎีสมคบคิด" เพื่อให้รัฐผลิตหมอป้อน "โรงพยาบาลเอกชน" มากขึ้น โดยเฉพาะในวันที่ "กลุ่มทุนผูกขาด" สนใจลงทุนสร้างโรงพยาบาล สร้าง เมดิคัลฮับ" ของตัวเอง อยู่ดีๆ ก็มีนโยบายหยุดบรรจุหมอ และหมอฟัน เป็นข้าราชการออกมาทันที
การออกนโยบาย"ไม่บรรจุ" จึงทำให้โรงพยาบาลเหล่านี้ อ้าแขนรอรับหมอจบใหม่ได้ทันที ไม่ต้องไปอัพเงินเดือน ขึ้นสวัสดิการ เพื่อใช้ "พลังดูด" ดึงหมอออกจากชนบทแข่งกันให้น่าปวดหัว ... อันที่จริง หากโรงพยาบาลเอกชนคิดราคาไม่แพงมากนัก ยอมเป็นตัวช่วยภาครัฐ ในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือประกันสังคม ด้วยความเต็มใจ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรใหญ่โต แต่ในความเป็นจริง แทนที่จะสามารถเป็นที่ "พึ่งพา" หรือช่วยดึงคนไข้จากระบบหลักประกันสุขภาพ หรือ ประกันสังคมออกไปได้กลับกลายเป็นโรงพยาบาลที่แข่งกันขายความ "พรีเมียม" มากยิ่งขึ้นทุกวัน...

สุดท้าย เรื่องนี้จึงต้องกลับมายัง สธ. ผู้ที่คปร. ออกหนังสือมาโดยตรง ให้หาทาง"บรรจุ" แบบใหม่ โดยไม่ต้องผ่านระบบของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เรื่องนี้ พูดกันมาอย่างน้อย 10 ปี โดยเฉพาะเมื่อการบรรจุข้าราชการ "พยาบาล" มีปัญหาติดขัด ว่าจะผลักดันให้แยก สธ.ออกจากระบบก.พ. เพราะพยาบาล มักโดนค่อนขอดว่าขออัตรา "มากเกินไป" แต่ที่ผ่านมา พอสุดท้ายก.พ. ยอมใจอ่อน บรรจุพยาบาลให้ สธ.ก็เงียบ ไม่ยอมคิดเปลี่ยนแปลง สุดท้ายอัตราบรรจุ พยาบาล ก็ยังจำกัดจำเขี่ยเหมือนเดิม

เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร และคำถามว่า "ผลประโยชน์เรื่องนี้จะตกลงกับใคร" คนในวงการสาธารณสุข น่าจะรู้ดีที่สุด แต่ที่แน่ๆ ประชาชนอย่างเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องได้รับผลกระทบ ถ้าแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐขาดแคลน และเมืองไทยกำลังกลายเป็น "สังคมสูงอายุ" ที่มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นโดยปริยาย มันแปลกจริงนะ

** บทเรียน"โจ นูโว" พ่ายยับทุกสมรภูมิ อุทาหรณ์สอนความเห็นต่างทางการเมืองไม่ใช่เรื่องของเด็กอนุบาล

สงครามสาดโคลนของสองคนดัง "โจ นูโว" กับ "จอห์น วิญญูู" ซาลงแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรียนสอนใจว่า ในฐานะที่โตๆ กันแล้วความเห็นต่างทางการเมืองนั้นควรจะอยู่ตอบโต้กันอยู่ในกรอบ เอาเหตุผลข้อเท็จจริงมาห้ำหั่นกัน ไม่ใช่จะละเลงใส่กันเอามัน สไตล์เกรียนคีย์บอร์ดอย่างไรก็ได้ ...

แม้ว่าเรื่องจะเริ่มด้วยพ่อของ จอห์น "รศ.ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์" ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว kovitw ทำนองว่า “เบื่อที่ชอบพูดกันว่าหากทุกคนถือศีลห้า ก็เป็นคนดีหมดแล้ว" ไม่ต้องสงสัยหรอกว่า พ่อของจอห์น มีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร ทัศนคติของเขาผ่านบทความนั้นชัดแจ้งแดงแจ๋อยู่แล้วว่า มีจุดยืนทางการเมืองเหมือนลูกชายของเขานั่นแหละ และแน่นอนว่า ข้อความที่ทวิตนั้น ก็ต้องการเหน็บแนมอีกขั้วการเมือง

แต่เมื่อผู้กำกับชื่อดัง "ยุทธนา มุกดาสนิท" ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัว Euthana Mukdasanit แชร์ข่าวนี้ ท่วงทำนองว่า“พ่อเป็นยังไงลูกเป็นยังงั้น”ยุทธนา พูดแบบนี้ก็ไม่ผิดนะ แต่อยู่ๆ“โจ นูโว”ก็เข้ามาแสดงความเห็นในโพสต์นี้ ว่า “พ่อจอห์นทำอะไรให้บ้านเมืองบ้าง พ่อตูตีแบดรับใช้ชาติโว้ย”...เท่านั้นแหละเป็นเรื่อง แม้ต่อมาเจ้าตัวจะรีบลบข้อความออกไป เพราะอาจจะมีคนเตือน หรือตั้งสติคิดขึ้นมาได้ว่ามันไม่เหมาะ ไม่ควร วิธีการแบบนี้เหมือนเด็กอนุบาลทะเลาะกันแล้วเอาพ่อมาข่มทับกัน แต่ข้อความนี้ก็ลามเป็นไฟลามทุ่งไปแล้ว สังคมเลือกข้างสองฝ่ายก็ละเลงใส่กันอย่าเมามัน ประกาศถือหางฝั่งโน้น ฝั่งนี้ จนละเลยเหตุผลและข้อเท็จจริง แบบ "พวกข้าถูกพวกเอ็งผิด" จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องไร้สาระ...

แม้ว่าวิธีการ และข้อความที่โจหลุดสติไปนั้น จะเป็นข้อความที่คนมีสติเขาไม่ทำกัน แต่ลึกๆ เข้าใจว่า "โจ นูโว" คงไม่รู้ว่าพ่อของ"จอห์น วิญญู"เป็นใคร จากนั้นนั่นเอง ก็มีคนเอาประวัติของ"พ่อ" ทั้งสองฝ่ายมาเปิดเผย จนประวัติพ่อขอจอห์น ที่มีโปรไพล์ไม่ธรรมดา ถูกส่งออกมากระจายในโลกโซเชียล กระสุนจึงตกที่พ่อของโจ ที่ลูกลากปากกระบอกปืนมาให้โดยไม่รู้ตัว กระทั่งสาดกันทั้งเรื่องที่อาจจะจริง หรือเท็จ กระทั่งลามไปเรื่องในสมาคมแบดมินตัน จนพ่อของ โจ ประกาศจะดำเนินคดีกับคนที่ออกมากล่าวหา

แต่วันต่อมา พ่อของโจ "ศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน" เห็นว่า ถ้าปล่อยให้เรื่องนี้ยังดำเนินต่อไป มีแต่จะเป็นฝ่ายเสียหาย เลยออกมาทวิตข้อความเพื่อจบเกมว่า “ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีการแสดงความคิดเห็นของโจ เพราะทำให้หลายฝ่ายเกิดความไม่สบายใจ ซึ่งเราได้มีการพูดคุยกันแล้ว คนที่รู้จักผมจะรู้ดีว่า ผมทำงานโดยใช้หลักความถูกต้องและโปร่งใสมาตลอดชีวิต ผมจึงไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับผู้ที่กล่าวหาผมที่ไม่เป็นความจริง ยกเว้นในกรณีหมิ่นประมาท”

จากนั้นหลังจากนิ่งเงียบ จอห์น ก็ทวิตข้อความเหมือนยุติสงครามว่า "เรียนทุกท่านในโลกโซเชียลมีเดียนะครับ ผม คุณพ่อและครอบครัว ให้ความสำคัญกับการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของมนุษย์ทุกคน การอยู่ในสังคมร่วมกัน ย่อมมีความหลากหลายทางความคิดและแตกต่างกันได้ บทพิสูจน์ของความคิดที่ต่างคือเวลาและข้อเท็จจริง จบความขัดแย้งและใช้สองสิ่งนี้พิสูจน์กันนะครับ"

เมื่อมีคนเอาไปโหวตตามเว็บไซต์ หรือเพจต่างๆ ว่ามีใครสนับสนุนฝ่ายไหนระหว่าง "โจ นูโว" กับ "จอห์น วิญญู" ปรากฏว่า "โจ นูโว" พ่ายแพ้ยับ ในทุกสมรภูมิ ภายใต้เรื่องไร้สาระเช่นนี้ ภายใต้สังคมแยกข้างทางการเมือง ก็ยังเห็นจุดดีได้บ้างว่า สังคมไทยส่วนใหญ่ยังมีสติพอที่จะแยกแยะถูกผิด บทเรียนครั้งนี้สอนว่า ความเห็นต่างการเมือง ไม่ใช่เรื่องของเด็กอนุบาล




กำลังโหลดความคิดเห็น