xs
xsm
sm
md
lg

ลุงตู่ ได้ใจมหาชนสุดๆ หลังไฟเขียว "หมอพื้นบ้าน" พัฒนาน้ำมันกัญชารักษาโรค **"ปิยบุตร" ลั๊นลาเมืองนอก ท่ามกลางกระแส "สงสัยจะไปยาว" **การเมืองไม่รับมุก "รัฐบาลแห่งชาติ" พลังประชารัฐ มั่นใจรวม ส.ส.ได้เกิน 251 เสียง **โพลให้กกต.สอบตก จัดเลือกตั้ง 24 มี.ค.

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว



**ลุงตู่ ได้ใจมหาชนสุดๆ หลังไฟเขียว " หมอพื้นบ้าน" มูลนิธิข้าวขวัญ พัฒนาน้ำมันกัญชารักษาโรค

หลังปรากฏการณ์ "#savedacha เท่ากับ # กัญชารักษาโรค" ได้ทำให้สังคมรับรู้ถึงการทุ่มเททำงานของ"อ.เดชา" นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เพื่อพัฒนากัญชามาเป็นยารักษาโรค ... และจากอุปสรรคสำคัญที่เผชิญหน้ากับการถูกเจ้าหน้าที่ ปปส. เตะตัดขาผ่านพ้น ก็ได้ข่าวดีที่ว่า "รัฐบาลลุงตู่" และหน่วยงานต่างๆ ออกมาประกาศให้การสนับสนุนการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสเข้าถึงการรักษาจากภูมิปัญหาแพทย์ แผนไทย

กำลังใจนี้ ไม่เพียง "หมอพื้นบ้าน" อ.เดชา ผู้ที่เอาตัวเองทดลองมาร่วม 20ปี ค้นคว้า และศึกษาจากการรักษาคนป่วยที่เป็นโรคร้าย รักษาไม่หาย ได้น้ำมันกัญชาเป็นทางเลือก และ เพิ่งเดินทางไปแลกเปลี่ยนกับปราชญ์ชาวบ้านของลาว ที่ศึกษาเรื่องนี้มากว่า 30 ปี ทำให้ อ.เดชา ยิ่งเชื่อว่าไทยมาถูกทางแล้ว ที่หวนกลับมาให้ความสนใจ"กัญชาทางการแพทย์"
เดชา ศิริภัทร
ที่ลาวนั้น มีพัฒนาการเรื่องกัญชาไปไกลมาก โดยของไทยก่อนนี้ถูกจำกัดด้วยการเป็นยาเสพติด โดยเพิ่งจะมาปลดล็อกเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ยังถกเถียงกันเรื่องนิรโทษจนมาถึงเหตุการณ์ที่ ปปส.บุกจับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิขวัญข้าว ... คนที่ต้องกล่าวถึง ที่มีส่วน #savedacha ที่ก่อนหน้าประกาศขอใช้ตำแหน่ง รมช.เป็นประกันถึงความรู้ความตั้งใจของ "อ.เดชา" ที่มีต่อกัญชารักษาโรค และความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการช่วยเหลือผู้ป่วย คือ "วิวัฒน์ ศัลยกำธร" รมช .เกษตรและสหกรณ์ หรือ“อาจารย์ยักษ์”

การพลิกจากจะถูกดำเนินคดี กลายเป็นสนับสนุน ส่วนผลักดันต้องบอกว่า "อาจารย์ยักษ์" ที่ได้ พูดคุยกับ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เกี่ยวกับกรณีการดำเนินคดีกับ มูลนิธิข้าวขวัญ ซึ่งผลิตและแจกจ่ายน้ำมันกัญชาให้แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ในระหว่างการประชุมครม. เมื่อ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ว่ากันว่า ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.อ.ประจิน ต่างเห็นตรงกันว่า รัฐบาลควรให้การสนับสนุนมูลนิธิดังกล่าว เพราะเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชา เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย หากมีการจับกุมและสั่งให้มูลนิธิข้าวขวัญหยุดผลิตน้ำมันกัญชา ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยมะเร็ง ที่ต้องการใช้ยาในการรักษา จำนวนมาก เหมือนกับที่หมอพื้นบ้าน อ.เดชา ยืนยันหนักแน่นว่า การแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน โรคข้อ ลมชัก และอื่นๆนั้น เป็นเรื่องศีลธรรมที่ต้องทำ เรื่องนี้อยู่เหนือกฎระเบียบล้าหลังใดๆ เพราะสิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับยา และการรักษาเป็นสิทธิพื้นฐาน และศีลธรรมพื้นฐานของเรา

ประการสำคัญที่สุด ในความฝันของ "อ.เดชา" คือ หมอพื้นบ้านทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับอนุญาตให้มีการปรุงยาจากกัญชา เพื่อการรักษาผู้คน... "ลุงตู่" ให้การสนับสนุนแบบนี้ ได้ใจมหาชนสุดๆ

** "ปิยบุตร" ลั๊นลาเมืองนอก ท่ามกลางกระแส "สงสัยจะไปยาว" หลังโพสต์ใส่ไม่ยั้ง เผด็จการเปลี่ยน ปืน เป็นกฎหมาย เอากฎหมายไปห่อหุ้มปืน ส่งทนายเฟิร์ม 17 เม.ย.นี้ มาตาม ปอท.นัดแน่ แต่อุบไต๋จะมีดราม่า ตัวแทนทูตต่างชาติไม่แคร์ คสช. อีกหรือไม่"
ปิยบุตร แสงกนกกุล
ยืนยันล่าสุดจาก"ฤษฎางค์ นุตจรัส" ทนายความของ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ว่า 17 เม.ย.นี้ ลูกความของตัวเองจะเข้าพบพนักงานสอบสวน ปอท.แน่ จากที่เล่าลือกันในโลกโซเซียลฯว่า เห็นที "อ.ป๊อก" จะได้พักผ่อนกับภรรยาที่ฝรั่งเศสยาวๆ ไปแล้วไม่กลับแบบเดียวกับ "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" หรือไม่...เนื่องเพราะวันก่อนหน้าที่จะมีภาพและข้อความว่า สงกรานต์นี้ขอพักผ่อนกับภรรยา "ปิยบุตร" โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ในเรื่องถนัดอัดเผด็จการตามสไตล์ว่าด้วย "ระบอบเผด็จการใช้ กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมคนได้อย่างไร ? "

เนื้อหาหลักๆ จัดใส่คสช.เต็มๆ ถึงการแปลงความต้องการของตัวเองให้เป็น“กฎหมาย”เพื่อให้การใช้อำนาจของเผด็จการไม่แลดู“ดิบเถื่อน” หรือ การเปลี่ยน “ปืน”ให้กลายเป็น “กฎหมาย”โดยเอา “กฎหมาย”ไปห่อหุ้ม “ปืน”... ปิยบุตร ยังวิพากษ์ถึงกระบวนการยุติธรรม- เจ้าหน้าที่ และศาล ที่ร่วมมือในระบอบนี้อย่างหมิ่นเหม่ เหมือนเคย

พูดไปพูดมา อ้อมเป็นวง ยังคงวกเข้าคดีตัวเองว่าเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ในกรณีประเทศไทย คือการนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาใช้... นั่นทำให้ใครหลายคนพอได้อ่าน จึงวิจารณ์กันไปว่า โพสต์แบบนี้ เชื่อว่า 17 เม.ย.นี้ จะไม่กลับซะละมั๊ง...

"ปิยบุตร" ถูกหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ในคดีที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ รับมอบอำนาจจากคสช. ไปร้องทุกข์กล่าวโทษในความผิด ฐานดูหมิ่นศาล และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จากกรณีที่อ่านแถลงการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ คัดค้านมติศาลรัฐธรรมนูญ ที่สั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อวันที่ 7 มี.ค.62 เนื่องมาจากการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายเป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

โดยเนื้อหาของแถลงการณ์ มีลักษณะการกล่าวหาว่ามีการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง เหมือนที่เขาโพสต์ครั้งล่าสุดนั้นเอง.. เดิมหมายเรียกครั้งแรกได้นัดให้ปิยบุตรไปพบพนักงานสอบสวน ในวันที่ 5 เม.ย.62 แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว ปิยบุตร อยู่ระหว่างเดินทางไปเยี่ยมภรรยาที่ประเทศฝรั่งเศส จึงขอเลื่อนนัดการเข้าพบพนักงานสอบสวนเป็น วันที่ 17 เม.ย.นี้

คราวที่หัวหน้าพรรค "พ่อฟ้า" ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปตามหมายเรียกคดี ม.116 ที่ สน.ปทุมวัน มีม็อบย่อยๆ และคณะทูตต่างชาติที่เชื้อเชิญมา จนกลายเป็นประเด็น ครั้งนี้ถึงคิวปิยบุตรบ้าง หลายฝ่ายจึงจับจ้องไปว่า จะมีดราม่ากันอีกหรือไม่ ... เบื้องต้นทราบว่ามีผู้ติดตามไปรับฟังการสอบสวน แน่ๆ ก็ทีมกฎหมายเเละกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ไป ส่วนจะมีตัวเเทนสถานทูตต่างประเทศมาแจมซ่้รอยเดิมแบบไม่แคร์รัฐบาลคสช. มั้ย ยังอุบไต๋ไว้ ให้คิดกันไปพลางๆ ระหว่างหยุดยาว ... วัดใจกันหลังสงกรานต์ เดี๋ยวก็รู้

**การเมืองไม่รับมุก "รัฐบาลแห่งชาติ" ขั้วพลังประชารัฐ มั่นใจรวมเสียง ส.ส.ได้เกิน 251 เสียง หลังกกต.ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ขณะที่ขั้วตรงข้าม อ้างไม่เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติ แถมขัดรัฐธรรมนูญ
สมศักดิ์ เทพสุทิน
หลังจากนายเทพไท เสนพงศ์ ว่าที่ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก จุดพลุเรื่อง "รัฐบาลแห่งชาติ" โดยมองว่า การเมืองที่แบ่งเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน เช่นนี้ การตั้งรัฐบาลส่อว่าจะเจอทางตัน เพราะแต่ละขั้วเท่าที่มองเห็นกันอยู่นั้น มีเสียงก้ำกึ่ง "ขั้วเพื่อไทย" ตัวเลขขณะนี้ รวมแล้วยังไม่ถึง 250 เสียง แต่ถึงแม้รวม ส.ส.ได้เกิน 251 เสียง ก็ยังต้องไปติดที่ด่าน โหวตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องใช้เสียงถึง 376 เสียง ขณะที่ขั้วพลังประชารัฐ แม้จะตั้งนายกฯได้ง่ายกว่า เพราะมี ส.ว. 250 เสียงเป็น "กองหนุน" แต่ก็บริหารงาน หรือผ่านกฎหมายสำคัญๆ ได้ยาก หากเสียงในสภาผู้แทนราษฎร อยู่ในสภาพปริ่มน้ำ จึงได้เสนอแนวทางการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ให้มีวาระแค่ 2 ปี เพื่อประคองเศรษฐกิจ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วจึงจัดการเลือกตั้งใหม่...

มีการเสนอชื่อนายกฯคนกลางมาเสร็จสรรพ 4 รายชื่อ ได้แก่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท อดีต ผบ.ทบ. นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาฯ อังก์ถัด และนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคปชป. ในจำนวน 4 คนนี้ นายเทพไท ให้น้ำหนักไปที่ "พลากร สุวรรณรัฐ" ว่าเหมาะสมสุด

แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครรับมุกของนายเทพไท เลย ไม่ว่าจะเป็น "ขั้วพลังประชารัฐ" หรือ "ขั้วเพื่อไทย" โดย"นายสมศักดิ์ เทพสุทิน" แกนนำของขั้วพลังประชารัฐ เห็นว่า หลังจาก กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว โอกาสที่จะรวบรวมเสียง ส.ส.ให้ได้เกิน 251 เสียงน่าจะทำได้ แม้เสียงในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะยังไม่เป็นเอกภาพ และพรรคเศรษฐกิจใหม่ ของ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ยังเป็นตัวแปรที่สำคัญ ส่วนความชอบธรรมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนั้น พรรคพลังประชารัฐ มีคะแนนรวมทั่วประเทศ หรือ "ป็อปปูล่าร์โหวต" มาเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว... เมื่อรวบรวมเสียงได้เกิน 251 เสียง ก็สามารถเปิดประชุมสภาฯ เพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เป็นคนในฝั่งของตนเอง จากนั้น การเลือกนายกรัฐมนตรีจะผ่านฉลุย เพราะมี 250 ส.ว.ที่ คสช.ตั้งมากับมือ เป็นกองหนุนอยู่แล้ว...

ในขั้วพลังประชารัฐ มองว่า การเมืองในสถานการณ์เช่นนี้ "ต้องแก้ปัญหาไปทีละเปลาะ" เป้าหมายคือ ต้องได้ตัวนายกรัฐมนตรีมาก่อน แล้วการบริหารประเทศ หรือเกมการเมืองในสภา ย่อมไม่หนักหนาเกินกว่าที่จะแก้ปัญหาได้...

ขณะที่"ขั้วเพื่อไทย" ที่มีพรรคอนาคตใหม่ เป็นแนวร่วม ชนิดที่ "ผูกติด" แยกจากกันยาก ก็ไม่รับมุกรัฐบาลแห่งชาติเหมือนกัน โดย "น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ก็ออกมาคัดค้านทันทีว่า รัฐบาลแห่งชาติไม่มีจริง เพราะขัดต่อหลักประชาธิปไตย ขัดต่อรัฐธรรมนูญชัดเจน เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า จะต้องมีผู้นำฝ่ายค้าน คอยทำหน้าที่ตรวจสอบ ถ่วงดุล ถ้าหากทุกพรรคเป็นรัฐบาลหมดไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ก็ไม่ต่างอะไรกับเผด็จการ
 น.ส.พรรณิการ์ วานิช - พลากร สุวรรณรัฐ
"ถ้าเรารังเกียจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคสช. เพราะเป็นเผด็จการ เราไม่พอใจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพราะเป็นสภาตรายาง การเป็นรัฐบาลแห่งชาติ ก็จะทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องมาอยู่ในสถานะเดียวกับ คสช. และ สนช. หากประชาชนต้องการแบบนั้น ก็ถือเป็นความต้องการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เราเชื่อว่า ประชาชนคาดหวังกับการเลือกตั้งมาก ฉะนั้นคงไม่มีใครอยากกลับไปเป็น เหมือน คสช. และ สนช. แน่นอน อย่าพยายามบอกว่า นี่เป็นข้อเสนอผ่าทางตัน เพราะว่าการผ่าทางตัน มีรูปแบบได้มากมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลแห่งชาติ เพียงแต่ให้ฝ่ายที่รวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้ ตัดสินใจทำตามเสียงประชาชนเท่านั้นก็คือการผ่าทางตันแล้ว"

แน่นอนว่า "ขั้วเพื่อไทย" แม้ถึงที่สุดแล้วไม่สามารถรวบรวมเสียงเพื่อตั้งรัฐบาลได้ ก็ยินดีเป็น "ฝ่ายค้าน" แทนที่จะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ ที่อยู่ภายใต้การบริหารประเทศร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ที่มีแนวทาง นโยบาย และอุดมการณ์ทางการเมือง ที่ไปด้วยกันไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ในขั้วพลังประชารัฐ ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า จะดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วม โดยเสนอตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร "ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ" ให้นั้น นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่าเป็นเพียง"ข่าวปล่อย ข่าวลวง" เพื่อสร้างกระแสในทางทางการเมืองเท่านั้น ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ จะตัดสินใจเลือกเดินไปในแนวทางใดนั้น ต้องเป็นการตัดสินร่วมกัน ของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ รวมกับ ส.ส.ใหม่ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากกกต.แล้ว เท่านั้น...

เป็นอันว่ามุกตั้ง "รัฐบาลแห่งชาติ" ที่เสนอมาคั่นเวลาในช่วงที่ยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ยังคงเป็น "มุกแป้ก" ส่วนการชิงไหวชิงพริบของทั้ง 2 ขั้ว จะดุเดือนอีกครั้ง ต้องรอหลัง 9 พ.ค.62

**โพลให้กกต.สอบตก จัดเลือกตั้ง 24 มี.ค. พร้อมเห็นว่า การเมืองแบบเดิม นายกฯ คนเดิม หรือนายกฯ คนนอก จะนำมาซึ่งปัญหาขัดแย้งของคนในสังคม ขณะที่ปัญหาการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่ กกต. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น อาจออกได้ 4 ช่องทาง
นพดล กรรณิกา
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล โดยนายนพดล กรรณิกา ในฐานะ ผอ.สำนักวิจัย เผยผลการสำรวจ เรื่อง “การเมืองแบบเดิมกับความสงบสุข” โดยสำรวจจากประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 3,661 ตัวอย่าง ช่วงวันที่ 26 มี.ค.-15เม.ย. ที่ผ่านมา ปรากฏผลว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 80.1 เห็นว่า “กกต. สอบตก” ในการจัดการเลือกตั้ง วันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา และ ประชาชน ร้อยละ 74.0 เห็นว่า การเมืองแบบเดิม นายกรัฐมนตรีคนเดิม หรือนายกรัฐมนตรีคนนอก จะนำปัญหาขัดแย้งให้กับคนในสังคมค่อนข้างมาก ถึงมากที่สุด และผู้ตอบคำถาม ร้อยละ 76.5 ยังเห็นว่า การเมืองแบบเดิม นายกฯ คนเดิม หรือนายกฯ คนนอก จะได้รับการยอมรับจากการเมืองฝ่ายต่างๆ ค่อนข้างน้อย ถึงไม่ยอมรับเลย

นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 96.9 “อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข “ และ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.9 เห็นด้วย ต่อการนำความขัดแย้งต่างๆ ไปคุยกันในแกนนำฝ่ายการเมือง มากกว่านำความขัดแย้งมาสู่กลุ่มประชาชน โดยมีข้อเสนอแนะ 3 ข้อ ได้แก่ 1. นำความขัดแย้งเชิงอำนาจการเมือง เช่น การจัดตั้งรัฐบาล การเสนอผู้เป็นนายกฯ และอื่นๆ หาทางออกภายในกลุ่มแกนนำการเมือง เสมือนเป็นสภาแบบไม่เป็นทางการ มากกว่าปล่อยความขัดแย้งมาใส่ในกลุ่มประชาชน เพราะจะควบคุมทิศทางได้ยาก 2. ทุกฝ่ายน่าจะหยุดการเติมเชื้อเพลิงเข้ากองไฟแห่งความขัดแย้ง หยุดข่าวลือ แต่หันมารณรงค์ขับเคลื่อนประเทศเชิงสร้างสรรค์ และ 3. หยุดการกระทำที่ฝ่าฝืนคุณธรรม จริยธรรม ทางการเมืองและหยุดฝ่าฝืนเจตจำนงค์ของสาธารณชน

ส่วนปัญหาการคิดคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่ยังเป็นที่ถกเถียงกัน โดยแนวทางแต่เดิมของ กกต.นั้น จะให้พรรคเล็ก ที่มีคะแนนรวมทั้งพรรค ไม่ถึงค่าเฉลี่ย ส.ส.ที่พึงมี คือประมาณ 71,000 คะแนน ให้มี ส.ส.ได้ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ ก็จะได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ไม่ครบ 150 คน แต่หลายพรรคการเมืองก็ออกมาคัดค้านแนวทางดังกล่าว โดยยืนยันว่า พรรคเล็กที่จะมีส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้นั้น จะต้องมีคะแนนเกินกว่าค่าเฉลี่ยส.ส.พึงมี ทำให้ที่ประชุม กกต.มีมติให้ยื่นศาลรธน. ตีความ ส่วนผลจะออกมาในแนวทางใดบ้างนั้น "ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล " อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสุงสุด ได้แสดงความคิดเห็นในมุมของนักกฎหมายไว้ 4 ทางดังนี้

1. ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับเรื่องไว้พิจารณา เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ และปัญหาจะต้องเกิดขึ้นก่อน แต่กรณีนี้ปัญหายังไม่เกิดขึ้น เพราะกกต. ยังไม่ได้มีมติที่แน่นอนว่า จะใช้วิธีการใดในการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ...พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญรับตีความในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วมีผู้ร้องเรียนคัดค้าน แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับเป็นที่ปรึกษา ในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น

2. ไม่รับเรื่องไว้พิจารณา เพราะเป็นอำนาจของ กกต. โดยตรงที่จะต้องพิจารณา กำหนดวิธีการคำนวณให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กฎหมายกำหนด จึงไม่จำเป็นที่ศาลรธน.จะต้องรับไว้พิจารณา

3. ศาลรัฐธรรมนูญ รับเรื่องไว้พิจารณา และมีคำวินิจฉัยว่า กกต. มีอำนาจหน้าที่ในการคำนวณหาจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณ ที่รัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. แต่ไม่ได้วินิจฉัย รับรองวิธีการคำนวณที่ กกต. จะนำมาใช้ เนื่องจากศาลรธน. เห็นว่า เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของ กกต. เป็นการเฉพาะอยู่แล้ว 4. ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา และมีคำวินิจฉัยในแนวทางว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ที่จะต้องคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อให้ได้ครบ 150 คน ภายใต้หลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. กำหนด พร้อมทั้ง มีคำวินิจฉัยรับรองอำนาจหน้าที่ และ วิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ กกต.เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาดังกล่าวมา ว่าเป็นไปโดยชอบ ซึ่งแนวทางที่ 4 นี้ จะส่งผลโดยตรงต่อจำนวน ส.ส.ของพรรคการเมือง และทิศทางในการจัดตั้งรัฐบาล และน่าจะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อ กกต. มากที่สุด โดยทำให้ กกต.อยู่ในเขตปลอดภัย หรือ Safety Zone หาก กกต. มีมติเลือกที่จะใช้วิธีการคำนวณจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อแบบที่กล่าวมา


กำลังโหลดความคิดเห็น