xs
xsm
sm
md
lg

ตบหน้ารัฐ-ปปส. คำมั่นของ“หมอพื้นบ้าน -เดชา ศิริภัทร”แจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วย ** "ป๋าเปรม" ยืดอกการันตี "รัฐบาลบิ๊กตู่ไม่โกง" **อาถรรพณ์ "วังเพ็ชรบูรณ์" เจ้าที่แรง เจอเหตุร้ายบ่อย **“ธนาธร” อาวุโส ไม่โอเค ! ไม่ต้องเรียก พี่ ป้า น้า อา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว



**ตบหน้ารัฐ-ปปส. คำมั่นของ“หมอพื้นบ้าน -เดชา ศิริภัทร”แจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน โรคข้อ ลมชัก และ อื่นๆนั้น เป็นเรื่องศีลธรรมที่ต้องทำ อยู่เหนือกฎระเบียบล้าหลังใดๆ สิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับยา และการรักษาเป็นสิทธิพื้นฐาน และ ศีลธรรมพื้นฐาน แฉ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ อยู่บื้องหลังได้ประโยชน์จากกัญชา

คำแถลงอย่างเป็นทางการของ"อาจารย์เดชา ศิริภัทร" ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ หลังกลับจากการเดินทางไปต่างประเทศ กรณีการจับกุมการมีกัญชาทางการแพทย์ในครอบครอง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ปปส. ได้บ่งบอกอะไรหลายอย่าง ที่ทั้งสะท้อนไปที่รัฐ และเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ มีใครที่ได้ประโยชน์ ... อาจารย์เดชาเพิ่งเดินทางกลับจากไปแลกเปลี่ยนองค์ความรู้หมอสมุนไพรพื้นบ้านที่ลาว ท่ามกลางคนมาต้อนรับอบอุ่น ... คำแถลงมีว่า
เดชา ศิริภัทร
“1. ผมขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่มาต้อนรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยซึ่งแม้ป่วยไข้แต่ ก็ยังเดินทางมาเพื่อเป็นประจักษ์พยานว่า การเข้าถึงยาจากกัญชา เป็นเรื่องสำคัญเพียงใด ผมเสียใจที่ไม่สามารถเดินทางกลับมาก่อนหน้านี้ได้ ด้วยภารกิจที่องค์กรในประเทศลาวได้เชิญไปศึกษา เรียนรู้ แลกเปลี่ยนกับหมอสมุนไพรพื้นบ้านของลาว จึงไม่สามารถยื่นขอประกันตัว และเดินทางไปรับตัวคุณพรชัย ชูเลิศ เจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญออกจากที่คุมขังด้วยตนเอง

2. ผมยืนยันว่า การแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน โรคข้อ ลมชัก และอื่นๆนั้น "เป็นเรื่องศีลธรรมที่ต้องทำ" เรื่องนี้อยู่เหนือกฎระเบียบล้าหลังใดๆ เพราะสิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับยาและการรักษา เป็นสิทธิพื้นฐาน และศีลธรรมพื้นฐานของเรา

อย่างไรก็ตาม หลังจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับปรับปรุงแก้ไข มีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2562 เป็นต้นมา และเปิดโอกาสให้“หมอพื้นบ้าน” สามารถยื่นขอนิรโทษกรรม การมีกัญชาเพื่อครอบครองทางการแพทย์ได้นั้น ก่อนการเดินทางไปประเทศลาว ผมได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ ยื่นเรื่องขอนิรโทษกรรม แต่กลับมาถูกจับกุมเสียก่อนทั้งๆ ที่ยังอยู่ในระยะเวลา 90 วัน

ผมเพิ่งทราบด้วยว่า หลังจากที่ตัวแทนของผมได้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอนิรโทษกรรม เมื่อวานนี้ (10 เมษายน 2562) แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยอ้างว่าการยื่นขอนิรโทษกรรมต้องมีหลักฐานว่าได้ครอบครองกัญชา ซึ่งตำรวจได้ริบไปหมดแล้ว อีกทั้งอ้างว่าไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ผมเป็นหมอพื้นบ้าน ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งๆ ที่มีหนังสือรับรองจากมูลนิธิสุขภาพไทย ที่เป็นผู้ประสานงานเครือข่ายหมอพื้นบ้านทั่วประเทศ ได้แสดงหลักฐานยืนยันก็ตาม

3. ผมขอยืนยันว่า นอกเหนือจากการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆ และเป็นครูสอนการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแล้ว ผมยังทำหน้าที่เป็น"หมอพื้นบ้าน" ในการแนะนำการใช้สมุนไพร การปลูกพืชที่มีคุณค่าทางอาหาร และยา มานานกว่า 20 ปี ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในหนังสือ เทคโนโลยีชาวบ้าน หมอชาวบ้าน เป็นต้น เป็นประจักษ์พยาน

กล่าวเฉพาะในช่วงกว่า 10 ปีมานี้ ผมได้สนใจค้นคว้าทดลองยาจากกัญชามาโดยต่อเนื่อง ทั้งจากตำราต่างประเทศ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการทดลองใช้ด้วยตนเองและคนใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าสามารถโรครักษาผู้คนได้ จึงเริ่มแจกจ่ายยาจากกัญชาเพื่อหวังให้ผู้ป่วยเหล่านั้นพ้นทุกข์จากความป่วยไข้ ผมยืนยันว่า หมอพื้นบ้านทุกคน มีสิทธิที่จะได้รับอนุญาตให้มีการปรุงยาจากกัญชา เพื่อการรักษาผู้คน โดยในส่วนของผมเองนั้น ได้หารือในเบื้องต้นกับ "ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร" ในการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ซึ่งจะหาโอกาสแถลงข่าวร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนี้

4. ผมขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันพรุ่งนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2562) ผม และทีมทนายความจะเดินทางไปแสดงตัวต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ถนนดินแดง ในเวลาประมาณ 10.00 น. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังจากนั้นจะประสานงานกับเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจในพื้นที่เพื่อกำหนดนัดหมายวันเข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

5. ในสุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณเป็นอย่างสูงต่อประชาชนเป็นจำนวนมากที่ได้บริจาคเงินผ่าน มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI)ที่ได้ร่วมรณรงค์ #SaveDecha #SaveSong #RightToMedicne เพื่อเรียกร้องสิทธิในการเข้าถึงยากัญชาของประชาชน ซึ่งทราบว่า ล่าสุดเกิน 1 ล้านบาทแล้ว สำหรับการขอประกันตัว "คุณพรชัย ชูเลิศ" และสำหรับการต่อสู้คดีของทั้งผม และคุณพรชัยต่อไป"

นอกจากนี้ อาจารย์เดชา ยังให้สัมภาษณ์ด้วยว่า คดีนี้มีเบื้องหลัง และจากข้อมูลก็ทราบว่ามี "ทุนใหญ่อย่างน้อย 3 บริษัท" อยู่เบื้องหลัง ... สาวกันต่อถึงเงื่อนงำในเรื่องนี้ ว่ากันว่า กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ มีศักยภาพในการผลิต "ผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชา" และ มีความร่วมมือกับภาครัฐในการวิจัยพัฒนา เพื่อใช้ผลิตภัณฑ์จากกัญชา แถมยังพร้อมที่จะปลูกกัญชา พัฒนาผลิตภัณฑ์ และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชาเอง อย่างครบวงจร

จับตาให้ดี นี่เป็น“การปล้นกัญชา”ไปจากคนไทย เพื่อผูกขาดสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง

** "ป๋าเปรม" ยืดอกการันตี "รัฐบาลบิ๊กตู่ไม่โกง" มีความคิดกว้างไกล ทำงานเพื่อส่วนรวม เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าในสถานการณ์การเมืองที่อึมครึมเช่นนี้ คนที่เหมาะจะเป็นผู้นำรัฐบาลต่อไป คือ "บิ๊กตู่"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
นับเป็นความสุขอีกวันหนึ่งของ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ที่ "ป๋าเปรม" พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้นำคณะรัฐมนตรี และผู้นำเหล่าทัพ เข้ารดน้ำขอพรในเทศกาลสงกรานต์ ... ที่ว่า"บิ๊กตู่" หัวใจพองโต อย่างมีความสุขก็เพราะนอกจากคำอวยพรแล้ว "ป๋าเปรม" ยังการันตีว่า รัฐบาลบิ๊กตู่เป็น "รัฐบาลที่ไม่โกง" พร้อมย้ำถึงความเป็นเพื่อนที่จะเก็บไว้ในใจไปนานเท่านาน ...

"ขอขอบคุณนายกฯ เพื่อนของผม พวกเรามีความยินดี ที่ได้เห็นนายกฯ และกองทัพ กับข้าราชการหน่วยต่างๆ ที่ช่วยกันดูแลชาติบ้านเมือง จนกระทั่งถึงวันนี้ พวกเราพูดได้เต็มปากว่า รัฐบาลของนายกฯไม่โกง เพราะเป็นคนที่เห็นแก่ส่วนรวมจริงๆ คนที่จะซื่อสัตย์ สุจริต ต้องเป็นคนที่มีความคิดกว้างไกล ทำเพื่อคนอื่น ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง หรือพวกพ้อง พี่น้องที่อยู่ใกล้ชิด ผมพูดกับเพื่อนๆ เสมอว่า รัฐบาลนี้ เก่งไม่เก่งดูเอาเองก็แล้วกัน แต่สิ่งหนึ่งคือ รัฐบาลนี้ไม่โกง ยืดอกพูดได้เลย รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ไม่โกง ถ้าผมพูดผิด นายกฯต้องไปจัดการ ... ขอขอบคุณที่ระลึกถึงกันมาโดยตลอด ผมเคยบอกกับพวกเราว่า การรักษาประเพณีวัฒนธรรมของชาติบ้านเมือง คือการรักษาชาติอย่างหนึ่ง .. พวกเราอายุมากแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ผมจะให้พรร่วมกันอธิษฐานขอให้ นายกฯ และเพื่อนๆทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอให้มีร่างกายแข็งแรง จงมีสุขภาพใจที่มุ่งมั่น ที่จะทำงานเพื่อคนอื่นให้สำเร็จ มีคนชมเชย และขอให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแก่นายกฯ และรัฐบาลนี้ รวมถึงคนไทยที่นายกฯดูแลอยู่ ขออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คุ้มครองนายกฯ และพวกเราทุกคน ขอบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเกราะกำบังให้เราได้ทำแต่ความดี เพื่อพระองค์ท่าน และชาติบ้านเมืองของเรา ขอให้ทุกคนมีแต่ความดีในตัว ให้ความดีในตัวของเราเป็นประโยชน์ต่อประชาชน 70 ล้านคน และดูแลชาติบ้านเมืองด้วยความมุ่งมั่น ที่จะให้ชาติบ้านเมืองของเราก้าวไปข้างหน้า ด้วยฝีมือของพวกเรา ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ขอบคุณนายกฯ อีกครั้ง ผมจะจำความเป็นเพื่อนไว้ให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้..."

แน่นอนว่า คำพูดของ "ป๋าเปรม" แบบฟันธง ตรงไปตรงมาครั้งนี้ ย่อมมีทั้งคนชอบ และไม่ชอบ แบบว่า "นานาจิตตัง" และหนึ่งในจำนวนคนที่ไม่ชอบจนเก็บอาการไม่อยู่ ก็คือ "เสี่ยไก่" วัฒนา เมืองสุข ต้องออกมาโพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ กระทบ กระเทียบ ในทำนอง ไม่เชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่โกง โดยลืมย้อนดูตัวเอง ที่มีเรื่อง "ทุจริตบ้านเอื้ออาทร" เป็นชนักปักหลังอยู่...

คำพูดของ "ป๋าเปรม" ในลักษณะทั้งชื่นชม ทั้งเอาตัวมาการันตี เช่นนี้มีไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะในยามที่สถานการณ์ทางการเมืองยัง "อึมครึม" ไม่รู้ว่าหน้าตาของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จะเป็นอย่างไร ... แน่นอน ยอมมีคนตีความคำพูดของ"ป๋าเปรม" ว่าเป็นการส่งสัญญาณสนับสนุนให้ "บิ๊กตู่" อยู่ต่อ

**อาถรรพณ์ "วังเพ็ชรบูรณ์" เจ้าที่แรง นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มาเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ทำให้กลุ่มทุนใหญ่ "เตชะไพบูลย์" ต้องถอย "จิราธิวัฒน์" มาก็เจอเหตุร้ายบ่อย แม้จะแก้เคล็ดมาแล้วหลายครั้ง
ไฟไหม้โรงแรม เซ็นทารา แอท เซ็นทรัลเวิลด์
เหตุเพลิงไหม้จนมีผู้เสียชีวิต 2ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นความเศร้าสลดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับอาคารที่ทันสมัยใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งก็ต้องรอการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงกันต่อไป...ในทางนิติวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไม่นาน จะช่วยหาคำตอบได้ แต่หลายคน โดยเฉพาะโลกออนไลน์ ก็อดไม่ได้ที่จะโยงไปถึงไสยศาสตร์ ความเชื่อ เรื่องเล่า ที่น่าสะพรึงของพื้นที่ ที่ได้ชื่อว่า "เจ้าที่แรง" แม้จะมีการแก้เคล็ดมาแล้วหลายครั้งก็ตาม !!

"เซ็นทรัลเวิลด์" หรือ "เวิลด์เทรด" ก่อนหน้านี้ ตั้งอยู่บนทำเลที่มีประวัติเล่าสืบต่อกันมาว่า ที่ดินแปลงนี้ แต่เดิมนั้นตามพินัยกรรมของผู้ครอบครอง ตั้งใจจะให้ตกทอดแก่ทายาทเท่านั้น ซึ่งก็สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ... กระทั่งราวปี 2532 เมื่อมีการนำที่ดินออกประมูลเพื่อให้เช่าพัฒนา "ตระกูลเตชะไพบูลย์" ก็ประมูลได้เป็นเจ้าแรก ซึ่งก็มีการเตือนทายาทเตชะไพบูลย์ ถึงที่ดินแปลงนี้ มีคำสาปอยู่ ให้แก้ไขให้ดี ... แม้จะแก้เคล็ดไปแล้ว แต่ตระกูลเตชะไพบูลย์ ก็เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 จนต้องเปลี่ยนเจ้าของ มาเป็น"ตระกูลจิราธิวัฒน์" ซึ่งก็ได้มีการเชิญ พราหมณ์มาทำพิธี มีการตั้งศาลพระอินทร์ ศาลพระตรีมูรติ ศาลพระพิฆเนศ เพื่อแก้เคล็ด แต่ก็เกิดเหตุร้ายขึ้นจนได้ ... สาเหตุเชื่อกันว่า แก้ไม่ถูกจุด เพราะที่ดินผืนนี้เป็นหนึ่งในที่ดินที่ "ต้องคำสาป" ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

เรื่องนี้ต้องย้อนไปว่า ที่ดินผืนแรก คือ "วังหน้า" อันเป็นที่ประทับของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 ซึ่งท่านทรงรัก ทรงหวงมาก ไม่อยากให้ตกเป็นสมบัติของคนอื่น จึงได้ทรงสาปแช่งเอาไว้ ... พระองค์ทรงทำพิธีสาปแช่งเอาไว้ว่า ถ้าผู้ใดที่มิใช่เชื้อสาย มาเป็นเจ้าของครอบครอง ให้มีอันเป็นไป จึงไม่มีใครกล้าครอบครองพื้นที่ดังกล่าว...กระทั่ง รัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกตำแหน่งวังหน้า หรือ"กรมพระราชวังบวร" แล้วก็ไม่มีท่านผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง กระทั่งหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 ทางราชการจึงปรับใช้เป็น "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ" มาจนทุกวันนี้

ที่ดินผืนที่สองก็คือ "วังเพ็ชรบูรณ์" ซึ่งเดิมเป็นของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ในรัชกาลที่ 5 เจ้าฟ้าพระองค์นี้ ทรงกรมในพระนามว่า กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย และสิ้นพระชนม์ ในปี 2466 ขณะมีพระชันษาเพียง 31 ปี โดยระหว่างทรงพระชนม์ รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานที่ดินตรงนี้ สร้างวังให้ เรียกว่า "วังเพ็ชรบูรณ์" จึงทรงปรารถนาให้ตกทอดเฉพาะเชื้อสายของพระองค์เท่านั้น เพราะทรงเกรงว่า ทายาทยังเล็ก หากทรงเป็นไป จะถูกผู้อื่นฉ้อโกงเอาไป พระองค์จึงทรงทำพิธีสาปโดยนัยทำนองเดียวกับคำสาปของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท...

ด้วยเหตุนี้ จึงมีเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง เช่น บริษัทที่ออกแบบอยู่ดีๆ ก็เลิกกิจการไป หรือมีคนงานเสียชีวิตอยู่เนืองๆ ... ก่อนนี้ไม่นานคือเมื่อปี 2553 ก็เหตุเพลิงไหม้จากการชุมนุมของคนเสื้อแดง ไม่รวมเหตุระเบิดหลายต่อหลายครั้ง ... เรื่องลี้ลับแบบนี้ก็ต้องใช้วิจารณญานในการเลือกที่จะเชื่อหรือไม่ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ในความรู้สึกของคนทั่วไปล้วนแต่มีคำถาม ... เกิดอะไรขึ้นกับห้างใหญ่อย่างเซ็นทรัลเวิลด์ ปล่อยให้เพลิงไหม้ บานปลายจนเป็นความโศกสลด ได้อย่างไร

**“ธนาธร”อีกละ อาวุโส ไม่โอเค ! ไม่ต้องเรียก พี่ ป้า น้า อา แค่สามคำ “คุณ ผม ดิฉัน”ก็ให้เกียรติมากพอแล้ว ฝังใจตั้งข้อรังเกียจอะไรที่เป็นไทยคือ “วัฒนธรรมอำนาจนิยม”แต่ก็ย้อนแย้งตัวเองที่ชอบให้ฟ้าเรียก“พ่อ”
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
โลกออนไลน์ขุดคุ้ยขึ้นมาอีกชุด แนวคิดของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ต่อความเป็นไทยๆ คราวก่อนให้ความเห็นถึง“ยิ้มสยาม”เท่ากับ “ยิ้มโง่ๆ”เล่นเอาคนในสังคมออนไลน์ กระหน่ำเดือดต่อนักธุรกิจหนุ่มหมื่นล้าน ด่ากันสะท้านทรวงไปทีหนึ่งแล้ว คราวนี้ว่าด้วย“ระบบอาวุโส”ซึ่งพ่อฟ้าว่าไม่โอเค ... บริบทที่ว่ามาจากการให้สัมภาษณ์ “The Momentum”ออนไลน์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคมปีที่แล้ว ตอนนั้นพรรคอนาคตใหม่ ยังไม่เกิด อยู่ในช่วงที่ คสช.ยังไม่ปลดล็อก โดยสื่อได้ถามถึงแนวคิดต่างๆ ในการทำกิจกรรมทางการเมือง และการบริหารพรรคอนาคตใหม่ คำถามตอนหนี่งได้ถามถึง สมาชิกพรรคที่อายุน้อย และ การอยู่ร่วมกันในองค์กร

"ผมยังนั่งคุยกับพวกเขาอยู่เลยว่า ถ้าพรรคของเราเกิดได้เมื่อไร ในพรรคของเราอยากให้เลิกใช้คำว่า พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา อยากให้เลิกใช้คำพวกนี้ให้หมด สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ อย่างที่ผมบอก อะไรก็ตามที่อยากให้เกิด ก็ต้องทำในพรรคก่อน เราต้องการยกเลิกวัฒนธรรมอำนาจนิยม ซึ่งกีดกันโอกาส กีดกันความคิดสร้างสรรค์ของคน เรียกคนอื่นเป็น พี่ ป้า น้า อา เมื่อไร มันเป็นการเข้าไปอยู่โครงสร้างอำนาจนั้น เราจึงคิดว่า ใช้คำว่า คุณ ผม ดิฉัน สามคำเพียงพอแล้ว ให้เกียรติกันมากพอแล้ว ไม่มีพี่ ไม่มีท่าน คนทุกคนจะกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าเป็นตัวของตัวเอง การจะไม่ยอมรับความคิดเห็นเพราะอายุ เพราะเพศสภาพ เพราะการศึกษา ตกไปเลย…not this party ต้องไม่ใช่ที่นี่ หรืออย่างน้อยที่สุด ตราบใดที่ผมยังอยู่ที่นี่ เราจะไม่ปฏิบัติต่อกันแบบนี้"

ครบทุกถ้อยคำ สะท้อนตัวตนของธนาธร ว่าเป็นคนแบบไหน ไม่ต้องบอกแล้วล่ะ อะไรที่เป็นไทยๆ เรียกกันตามลำดับอาวุโสด้วยความนับถือและเคารพรัก อย่าง ลุง ป้า น้าอาไม่ต้องเรียก เอาแค่สามคำ “คุณ ผม ดิฉัน”พ่อของฟ้า ถือว่าให้เกียรติกันมากพอแล้ว ไม่ต่างอะไรกับฝรั่งเรียก “I &You” เรื่องนี้พอแพร่ออกไป คนในสังคมก็สะทกสะเทือนในอารมณ์ เศร้ากับวิธีคิดของ คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น อนาคตใหม่ คนรุ่นใหม่ หมดกัน วัฒนธรรมน่ารักอบอุ่น อนาคตไทยจะเหลือแค่ ยูๆ ไอๆ เพราะพ่อฟ้าตั้งแง่ ตั้งท่ารังเกียจ เรียกว่าเป็น “วัฒนธรรมอำนาจนิยม”ซะงั้น

แต่ก็มีเสียงแก้ต่างแทนพ่อฟ้าว่า เขาพูดถึงเป็นเรื่องภายในพรรคของเขา ไปยุ่งอะไร ตอดเล็กตอดน้อยไปเรื่อย ... มันจะไม่ใช่เรื่องเรื่อยๆ สิน้องฟ้า สถานะตอนนี้ของพรรคอนาคตใหม่ เป็นพรรคอันดับ 3 มี 6.2 ล้านเสียง ที่พรรคชอบยกมาหนุนหลัง และย้อนกลับไปอ่านอีกที ขยี้ตาให้ดูชัดๆ ก็จะเห็นว่า ธนาธร พูดเองว่า “อะไรก็ตามที่อยากให้เกิด ก็ต้องทำในพรรคก่อน”

ถ้าธนาธร และพรรคอนาคตใหม่เริ่มจากพรรค แล้วขยายออกสู่สังคมจริงตามที่ว่าแล้วใช้ทัพ“โซเซียลมีเดีย” ซึ่งเป็นอาวุธของถนัด ที่สร้างปรากฏการณ์ “อนาคตใหม่” ปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นไทยโบราณ ปลูกฝังแนวคิดนี้กับเยาวชนเด็กๆ นักเรียน นักศึกษา อะไรจะเกิดขึ้น ... แต่ก็นั่นแหละ ธนาธร ก็มักจะย้อนแย้งในตัวเอง ไม่ยินดีให้คนในพรรค หรือในสังคมในอนาคตเรียกลำดับอาวุโส ลุง ป้า น้า อา แต่ตัวเองก็ยินดีให้ฟ้าทั้งหลายเรียก“พ่อ” ฟ้ารักพ่อคร้าาาาา...




กำลังโหลดความคิดเห็น