ข่าวปนคน คนปนข่าว
**พ่อหลอกฟ้า?! จับไก่ "ธนาธร" จะทำเท่ตามรอยแม้ว "รวยแล้วไม่โกง" โอ่เป็นนักการเมืองคนแรกโอนทรัพย์สิน 5 พันล้าน เข้า"Blind Trust" ที่ไหนได้ คนรู้ทันบอกเขาทำมากันนานแล้ว อย่างน้อยอดีต รมว.15 คน ทำมาก่อน
ชาวฟ้าของพ่อ ร้องว๊าว!! ปรบมือกันเกรียว กริ๊ดเสียงแทบแตกในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เมื่อเห็นข่าว "ธนาธร นักการเมืองไทยคนแรก ที่เซ็น MOU โอนทรัพย์สินเข้า Blind Trust ขอแยกการเมืองขาดจากธุรกิจ" ...
Blind trust เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เจ้าของทรัพย์สิน เมื่อใช้บริการนี้จะไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ในทรัพย์สินนั้นเลย โดยไว้ใจให้มืออาชีพบริหารจัดการแทนให้เกิดผลงอกเงย ระหว่างที่ตัวเองมีตำแหน่งทางการเมือง ... ว่ากันว่า งานนี้ธนาธร โอนทรัพย์สินกว่า 5 พันล้านเข้า Blind trust และยังจะขอให้แม่ "สมพร" ขายหุ้นในมติชน ออกไปด้วยจะได้เท่ๆ เข้าสภาแบบว่า คลีนๆ...
"พ่อของฟ้า" ธนาธร จึงรุงเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เรียกสิ่งที่ทำว่า สร้างมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้มีความโปร่งใส คล้ายๆ จะส่งสัญญานเป็นท่วงทำนองเดียวกับ "แม้ว" ทักษิณ ชินวัตร เคยประกาศก่อนเล่นการเมืองว่า "รวยแล้วไม่โกง" ที่เคยใช้ได้ผล ได้รับคะแนนเลือกตั้งถล่มทลายในสมัยแรกๆ โดยจะนำทรัพย์สินให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด เป็นคนบริหาร ... หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สำทับอีกว่า นี่คือรูปแบบการจัดการทรัพย์สินที่จะลบข้อครหาทางสังคมได้ ทั้งนี้ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่รองรับ Blind Trust จึงทำเป็น Blind Trust ในลักษณะเดียวกันไม่ได้ แต่สิ่งที่เขากำลังจะทำร่วมกับ "ภัทร" เป็นนวัตกรรมใหม่ เป็นการทำให้ Blind ด้วยความสมัครใจ โดยไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ...
“ผมอยากจะสร้างมาตรฐานการทำการเมืองใหม่ ผมว่าข้อดีอันดับแรกคือ ไม่ต้องวอกแวกไปกับการจัดการทรัพย์สินของตัวเอง ทำให้เราทุ่มเท พละกำลังและเวลาของเราในการทำงานรับใช้ประชาชนได้อย่างเต็มที่ ประการที่สอง มันแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ผลักดันให้พวกเรามาทำงานการเมืองก็เพื่อทำให้สังคมดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แม้จะมีขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดให้เราทำ แต่สิ่งที่เราจะทำให้มากกว่านั้น คือ สร้างมาตรฐานใหม่ ยกระดับความโปร่งใส สร้างมาตรฐานการดูแลผลประโยชน์ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ไปไกลกว่ากฎหมาย”
ต้องอย่างนี้สิ พ่อของฟ้า แต่เดี๋ยวก่อน อวยกันจนเวอร์ ข้อมูลผิดเพี้ยน มันใช่จริงๆหรือ ที่ธนาธรเคลมว่าเป็น "นักการเมืองคนแรก" ที่ทำสิ่งนี้ ... น้องฟ้าต้องระวังไว้เลย เดี๋ยวปลอยไก่ ความจริง คือ คนรู้ทันรู้จริงในวงการหารเงินหลักทรัพย์เขาว่า ธนาธร ไม่ใช่คนแรก ที่ใช้วิธีการ blind trust...จากการค้นข้อมูล รมต.ของไทย ที่เคยใช้วิธี Blind trust มีทั้งหมด 15 คน คือ 1. สาวิตต์ โพธิวิหค รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยุคชวน 2. ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รมว.คลัง ยุคชวน 3. กรพจน์ อัศวินวิจิตร รมช.พาณิชย์ ยุคชวน 4. ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ยุคมาร์ค 5. วีระชัย วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยุคมาร์ค 6. นพ.พฤติชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง ยุคมาร์ค 7. อลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ยุคมาร์ค 8. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ ยุคมาร์ค 9. กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ยุคมาร์ค 10. พงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ ยุคปู 11. ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ยุคปู 12. กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ ยุคปู 13. สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ ยุคลุงตู่ 14. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน ยุคลุงตู่ 15. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ยุคลุงตู่
ทีนี้ลองมาฟัง "กรณ์ จาติกวณิช" ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารหลักทรัพย์ และอยู่ในแวดวงตลาดทุนมานาน ต้องให้เครดิตเรื่องนี้ โพสต์เฟซบุ๊ก บอกว่า "ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้" ... กรณ์ บอกว่า 1. “Blind Trust”ยังไม่มีจริงในประเทศไทย เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะฉะนั้นที่คุณธนาธร ลงนามไปนั้น ไม่ใช่ blind trust และไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน 2. คุณธนาธร ได้โอนทรัพย์สินให้สถาบันการเงินดูแล อันนี้หลายคนน่าจะเคยทำเหมือนกัน ผมก็เคย และวันนี้ก็ยังมีอยู่ โดยที่ผมก็ได้ลงนามสัญญาให้เขาบริหารโดยอิสระเช่นเดียวกัน 3. ผมเองเคยมี Trust อยู่ที่ต่างประเทศ และรายงานรายละเอียดทั้งหมดกับ ป.ป.ช. ตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องการรายงานบัญชีทรัพย์สิน 4. แต่หลายปีมาแล้ว ผมได้ตัดสินใจทำสวนทางกับที่คุณธนาธร พยายามที่จะทำ คือ ผมยกเลิก Trust ที่มีอยู่ เพราะผมคิดว่าความโปร่งใส สำคัญกว่า ผมคิดว่าประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในสิ่งที่คุณธนาธร ได้ประกาศวันนี้ ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนแรก หรือไม่ แต่ที่ท่านบอกว่าทรัพย์สินที่ท่านโอนไปนี้ จะ‘มองไม่เห็น’เพราะเมื่อทุกคนบอดสนิทกับข้อเท็จจริงว่า ท่านมีทรัพย์สินอะไรบ้าง การตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน จะเกิดขึ้นไม่ได้...
จริงๆ แล้ววิธีที่ชัดเจนที่สุดที่จะปลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน คือ การขายขาด (แต่อย่าขายให้ nominee กันอีกนะครับ) แต่หากไม่ขาย ผมว่าที่ดีที่สุดคือ เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ว่าเรามีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ และที่ไม่ควร คือ การโอนเข้าไปในที่ๆ‘มองไม่เห็น’...
นี่ไง "น้องฟ้า" ไม่ใช่เรื่องแปลก และสร้างมาตรฐาน หรือศีลธรรมใหม่อะไรเลยของนักการเมือง พ่อของฟ้าชอบนี่จริงๆ เรื่องแปลก ใหม่ ใหญ่ดัง ไฮเปอร์ลูป อะไรเนี่ย แม้มันจะเก๊ๆ หน่อยๆ พ่อหลอกฟ้า ฟ้ายังรักพ่อ หาเสียงกันต่อไป .
** 5 พรรคการเมือง ประกาศ"ปฏิญญาลานโพธิ์" จับมือร่วมแก้รัฐธรรมนูญ "มาร์ค" สะกิดต่อม "เจ๊หน่อย" จะออกกฎหมายนิรโทษ พา"ทักษิณ" กลับบ้านอีกหรือไม่ ปรากฏว่า "เงียบกริบ" กันทั้งวง
ควันหลงดีเบต 5 พรรคการเมือง ที่ลานโพธิ์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อสองวันก่อน หัวหน้าพรรคการเมือง หรือตัวแทนที่ได้รับเชิญมาประชันวิสัยทัศน์ ได้แก่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่... งานนี้ไม่มีตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคของ "บิ๊กตู่" คงกะว่าจะได้ถล่มรัฐบาล คสช. กันได้เต็มปากเต็มคำ แบบไม่มีคนมาขัดคอ โดยเฉพาะประเด็นที่หยิบยกมาถกกัน เป็นเรื่องเชิงการเมือง เรื่องรัฐธรรมนูญ จะทำอย่างไรหากอนาคตมีรัฐประหารอีก ... ไม่มีเรื่องปากท้อง หรือนโยบายแจกเงิน มาเกทับกัน ...
เห็นหน้าทั้ง 5 คนแล้ว ก็คงมีเพียง "อภิสิทธิ์" เท่านั้นที่ไม่ค่อยเข้าพวกกับเขา เพราะทั้ง คุณหญิงสุดารัตน์ , มิ่งขวัญ และ สุวัจน์ ล้วนเคยมีอำนาจ มีตำแหน่งใน "รัฐบาลระบอบทักษิณ" มาก่อนทั้งนั้น ส่วน"ธนาธร" ที่เป็นคนหน้าใหม่ แต่หลังจากดูท่วงทำนอง การหาเสียง และจุดยืนของพรรคอนาคตใหม่แล้ว ถึงวันนี้ ก็ได้ถูกจัดให้อยู่ในฟากเดียวกับทักษิณไปเรียบร้อยแล้ว... แต่บังเอิญหัวข้อที่ถกกันเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ กับเรื่องรัฐประหาร ความเห็นเลยค่อนข้างจะไปในทิศทางเดียวกัน จะมีสะกิดต่อม เขี่ยติ่งกันบ้าง ก็เพียงเล็กๆ น้อยๆ ...
อย่างเช่น "เจ๊หน่อย" บอกว่าถ้าเราเชื่อมั่น ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย "ก็อย่าไปกวักมือเรียกทหารเข้ามา" ควรอยู่ให้ครบเทอม แล้วประชาชนจะเป็นคนตัดสินเอง ถ้ารัฐประหารแล้วทำให้ประเทศเจริญ ป่านนี้ประเทศไทยน่าจะเจริญที่สุด เพราะมีรัฐประหารบ่อยมาก พูดจบก็ยิ้มมุมปาก หันไปทาง”หนุมมาร์ค” ... ขณะที่ "สุวัจน์" เห็นว่าพรรคการเมืองยังขาดสิ่งที่เรียกว่า "มิตรภาพ" ขาดความร่วมมือ จึงทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย ต้องเอาอย่าง ชพน. นี่ ที่ชู "โนพรอบเบล็ม" เล่นการเมืองแบบเพื่อนฝูงกัน จะได้ไม่เป็นต้นเหตุของรัฐประหารขึ้นอีก ... ส่วน "มิ่งขวัญ" บอกว่า ไม่ชอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้เลย หลังเลือกตั้งถ้าได้เข้าไปอยู่ในสภา รัฐธรรมนูญก็จะบีบให้เราไปต่อไม่ได้ ก็ต้องแก้ในที่สุด ... ด้าน "ธนาธร" บอกว่า จะหยุดยั้งรัฐประหารต้อง "ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ" ล้มล้างมรดก คสช. แก้ไข ม. 279 ไม่ปล่อยให้คนรัฐประหารลอยนวล ต้นตอของความวุ่นวาย คือ คนที่เอาอำนาจประชาชนไปแล้วไม่ยอมคืน ... "อภิสิทธิ์" ชู 3 เงื่อนไขที่จะไม่ทำให้ประเทศเดินไปสู่การรัฐประหาร คือ พรรคการเมืองต้องแข่งขันกันอย่างเสรี เป็นธรรม 250 ส.ว. ต้องเคารพเสียงของประชาชนในการเลือกนายกฯ และ เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วต้องยอมรับการตรวจสอบ ถ่วงดุล ... สุดท้ายแล้วตัวแทนทั้ง 5 พรรค สรุปว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ “ไม่เหมาะกับการเมืองไทย” ก็เลยประสานมือ "ร่วมปฏิญญาลานโพธิ์" เห็นพ้องต้องกันว่า ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ...
มี "ควันหลง" ของการดีเบตครั้งนี้ ตามที่เปิดหัวไว้ตอนต้น แบบทำเอาผู้ร่วมวงถึงกับ "อึ้ง" ก็คือ ตอนที่ "อภิสิทธิ์" เปรยแบบหล่อๆ ว่า เคยถามว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายเรื่องนิรโทษกรรม หรือไม่ ซึ่ง "นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์" หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น บอกว่า "ไม่มี" แต่แล้วก็มีขึ้นมา ก็เลยอยากถามว่า ครั้งนี้พรรคเพื่อไทย จะยังมีเรื่องนั้นอีกหรือไม่ และยังมีเรื่องจะพา "ทักษิณ ชินวัตร" กลับบ้านอยู่อีกหรือไม่ ว่าแล้วก็มองไปทาง "เจ๊หน่อย" แบบรอคำตอบ ... ต่อหน้าคนเยอะๆ รวมทั้งมีสื่ออยู่เป็นจำนวนมากอย่างนี้ ถ้า "เจ๊หน่อย" ไม่มีแผนจะพาทักษิณกลับบ้าน ก็น่าจะตอบว่า "ไม่มีค่ะ" ก็จะจบกันไป ไม่เป็นประเด็น แต่ "เจ๊หน่อย" กลับเงียบกริบ ไม่อุบ ไม่อิบ อะไรทั้งสิ้น ก็เลยทำให้มีการตีความว่า ที่เงียบนั้นหมายถึง "ยอมรับว่าใช่หรือเปล่า " ...หรือ จะรอให้ผ่านด่านแรก คือ การแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จไปก่อน จึงจะมีคำตอบเรื่องทักษิณตามมา