"นักวิชาการด้านการเงิน" โต้ "กรณ์" บิดเบือนคำ "blind trust" ว่าตรวจสอบไม่ได้ ทำคนเข้าใจผิด ชี้จริงอยู่ที่ไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ แต่ "ธนาธร" แสดงความประสงค์ชัดเจนใน MOU ว่าจะสร้างเงื่อนไขแบบ "blind trust" ยันต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ทุกประการ อีกทั้งต้องรายงานทรัพย์สินต่อ ก.ล.ต. - ปปช. ซึ่งเป็นการวางมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนแล้ว ชมสิ่งที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ทำนั้น มาตรฐานสูงไม่เคยเห็นนักการเมืองคนไหนทำมาก่อน
วันที่ 18 มี.ค. จากกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินของตัวเองที่ถือหุ้นธุรกิจเครือซัมมิทมูลค่า 5 พันล้านบาทว่าใช้แนวทาง Blind Trust คือโอนทรัพย์สินไปให้ Trust หรือ กองทุน เป็นผู้ดูแล ซึ่งวิธิการนี้จะเป็นมาตรฐานใหม่ ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนทำมาก่อน ซึ่งยกระดับมาตรฐานแสดงความจริงใจให้เกิดต่อสาธารณะ
จากนั้นนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประธานกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ตอบโต้ในทำนองว่าหากต้องการโปร่งใสอย่างแท้จริง ควรขายทรัพย์สิน หรือไม่ก็เปิดเผยข้อมูลให้ตรวจสอบได้ ไม่ใช่โอนเข้าไปในที่ที่ "มองไม่เห็น" เพราะจะยิ่ง "ตรวจสอบไม่ได้"
ล่าสุด สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงิน นักเขียน นักแปลชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าวว่า
ความเห็นต่อโพสของคุณกรณ์ (ดูได้ในเพจ KornChatikavanijDP) ต่อกรณี blind trust คุณธนาธร
1. ในฐานะนักการเงิน คุณกรณ์ย่อมเข้าใจดีว่า blind trust คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ทำงานแบบไหนในต่างประเทศ การนำคำว่า "มองไม่เห็น" มาเล่น บิดคำให้กลายเป็นเท่ากับหมายความว่า "ตรวจสอบไม่ได้" จึงไม่ถูกต้อง เพราะ blind ในคำว่า blind trust ไม่ใช่แปลว่าตรวจสอบไม่ได้ คำว่า "มองไม่เห็น" แปลตรงตัวว่า เจ้าของทรัพย์สินไม่มีสิทธิมองเห็นหรือบงการการจัดการทรัพย์สินใดๆ เท่านั้น
2. ไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ blind trust ก็จริง แต่คุณธนาธรก็ได้แสดงความประสงค์ชัดเจนแล้วใน MOU ซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณะว่า จะสร้างเงื่อนไขแบบ blind trust ขึ้นมาในสัญญาบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล
3. blind trust ที่คุณธนาธรตั้งในครั้งนี้ เป็นการทำสัญญากับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนสัญชาติไทย อยู่ในรูปกองทุนส่วนบุคคล (private fund) ในเมืองไทย ซึ่งต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ทุกประการ ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ไม่ใช่ trust ที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ (แบบที่คุณกรณ์โพสว่าเคยทำ) และในเมื่อคุณธนาธรยังคงเป็นเจ้าของทรัพย์สิน (กองทุนเพียงแต่รับมอบอำนาจในการจัดการมา) จึงยังต้องรายงานทรัพย์สินถ้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามกฎระเบียบของ ปปช. (เหมือนกับที่รัฐมนตรีคนก่อนๆ ที่โอนทรัพย์สินให้กองทุนส่วนบุคคลจัดการ มีหน้าที่ต้องทำเช่นเดียวกัน -- แต่ย้ำอีกทีว่า ไม่มีข้อมูลค่ะว่ากองทุนเหล่านั้นอันไหนเข้าข่าย blind trust บ้าง)
4. การรายงานทรัพย์สินใน trust นี้ ต่อ ก.ล.ต. และ ปปช. (ซึ่งเป็นหน้าที่ของ trustee หรือผู้ดูแล trust) จะต้องละเอียดแค่ไหน อย่างไร เป็นเรื่องที่เจ้าของโพสนี้ไม่แน่ใจ (เพราะกฎหมาย blind trust ตรงๆ ยังไม่มีนั่นแหละ) แต่ในหลักการ การจัดตั้งโครงสร้างแบบนี้ถือว่าเป็นการวางมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนแล้ว ดังนั้นถ้าจะต้องเปิดเผย อย่างมากก็ควรเปิดเผยทรัพย์สินเดิม (ณ ตอนที่สร้าง trust นั้นขึ้นมา เพราะถือว่ามีโอกาสเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกับทรัพย์สินเดิม เพราะเจ้าของรู้ว่ามีอะไรบ้าง) และยอดรวมของมูลค่าทรัพย์สินใน trust ตามกำหนดการยื่นของ ปปช. เท่านั้น (เราอยากรู้รายละเอียดทรัพย์สินก็เพราะเจ้าของทรัพย์สินมีอำนาจจัดการ สุ่มเสี่ยงว่าจะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ถ้าเขาโอนอำนาจการจัดการไปแล้ว เราก็ไม่ต้องรู้ละเอียดขนาดนั้นก็ได้)
5. ดังนั้นคำพูดของคุณกรณ์ที่ดูจะชี้นำว่า "มองไม่เห็น" = "ตรวจสอบไม่ได้" จึงไม่เป็นความจริง พูดไม่ครบ และทำให้คนเข้าใจผิดได้ค่ะ
เสริมอีกนิดว่า คุณธนาธรเป็นนักการเมืองคนแรกที่รู้จัก ที่ 1) ประกาศว่าจะจัดตั้ง blind trust ก่อนรู้ผลการเลือกตั้ง 2) เปิดเผย MOU ต่อสาธารณะ 3) ในสัญญาจะกำหนดข้อบังคับว่า trustee จะต้องไม่ซื้อหุ้นไทย และ 4) ไม่รับโอนทรัพย์สินคืนจนกว่าจะพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว 3 ปี -- ทั้งสี่ข้อนี้เป็นมาตรฐานสูงที่ไม่เคยเห็นนักการเมืองคนไหนทำมาก่อนค่ะ