“บิ๊กตู่” เตือนความจำ ขออย่าลืมเหตุการณ์ปี 57 ง่ายๆ ย้ำคำมั่น พร้อมทำต่อให้ดีที่สุด อย่าให้เกิดความไม่เข้าใจ ยุยงปลุกปั่นเกิดขึ้นอีก
วันนี้ (17 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ และกล่าวเปิดงาน “กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาชน แก้จน ลดเหลื่อมล้ำ” โดยทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ มาถึงภายในงานได้เปิดเพลงใจเพชร และเพลงวันใหม่ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทักทายประชาชนที่มาร่วมงานประมาณ 10,000 คน โดยเดินไปรอบๆห้องพร้อมยกมือขวากำปั้นไปตามจังหวะเพลง ส่งสัญลักษณ์เราจะสู้ไปด้วยกัน ก่อนทำมือสัญลักษณ์ไอเลิฟยู
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นายกฯ พูดเสียงดัง ขออย่าโกรธกัน แต่ไม่ได้เกลียดใครซักคน ช่วงนี้นายกฯเดินทางทุกวัน เพราะไม่อยากให้สิ่งที่ทำมานั้นล้มเหลว เราต้องเดินหน้าต่อไป เพราะไม่มีอะไรที่จะเริ่มจากปลายทาง สิ่งสำคัญคือคนไทยต้องรู้ปัญหาของประเทศ ว่าอยู่ตรงไหน เพราะถ้าพูดลอยๆคงไม่มีทางทำได้ นายกฯ เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัว แต่ไม่ได้หมายถึงพ่อ เรามีสมาชิก 68 ล้านคน จึงต้องทำให้ทุกคนมีความสุข ลูกทุกคนต้องมีอาชีพ รายได้ ให้ทุกคนเดินไปพร้อมกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี มากกว่าหลายประเทศในโลก ทุกช่วงสมัย ต่างมีเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่นเดียวกับก่อนปี 2557 ขออย่าลืมสิ่งเหล่านี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ขออย่าทำประวัติศาสตร์ที่ไม่ดี ประวัติศาสตร์คือบทเรียน เราต้องแก้ไขทั้งปัญหาเก่าและใหม่ให้ได้ เราต้องทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย เรื่องเก่าๆที่ไม่ดี ขออย่าทำให้เกิดขึ้นอีก เพราะแผ่นดินนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเรายึดมั่นมานาน จึงต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน แผ่นดินนี้เป็นของทุกคน ไม่ใช่ของนายกฯหรือใครคนเดียว เพราะทุกชาติทุกศาสนา ที่อยู่ในประเทศไทย จะต้องมีความสุข พอเพียง แบ่งแยกไม่ได้ แต่ทุกอย่างต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่เบียดเบียนกัน
“เหตุการณ์เมื่อปี 2557 ลืมกันหมดแล้วหรือยัง เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะลืมแค่นี้ง่ายๆ อย่าเป็นคนขี้ลืม ไม่ใช่ทำวันนี้ และจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทุกอย่างต้องแก้ไขและปรับปรุงให้ดีขึ้น สิ่งที่รัฐบาลทำ อยู่ที่ว่าจะสานต่อกันอย่างไร เมื่อเราล้มแล้ว ต้องลุกให้ได้ โดยต้องเดินก้าวไปพร้อมๆ กัน และต้องเลือกที่จะเดินให้ดี ทุกคนต้องยอมรับกติกา ประเทศไทยถึงจะเดินหน้าต่อไปได้ นายกฯไม่เคยลืม เพราะเป็นคนความจำดี พูดอะไรจำได้หมด จนหัวจะแตกหมดแล้ว แต่จะทำต่อไป” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวและว่า ขอสัญญาว่าจะทำต่อไปให้ทุกคนอย่างดีที่สุด ทุกคนสัญญาว่าจะเดินไปด้วยกันหรือไม่ ขอคำสัญญาจากทุกคนด้วย สัญญาว่าเราจะเดินไปด้วยกัน ขออย่ายืนอยู่บนความขัดแย้งและกับดักเดิมๆ
นายกฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการบริหาร เหมือนตนตอนเป็น ผบ.ทบ.ตนดูแล 4 แสนคนกองทัพบก วันนี้ต้องมาดูแล 68 ล้านคน เยอะแยะหลากหลายอาชีพ ซึ่งต้องกระจายอำนาจ ดูแลส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น อย่าไปคิดว่าของใครของมัน ของฉันเองได้มากได้น้อย ซึ่งต้องบริหารอย่างนี้ไปก่อน เมื่อวันหน้ามีความเท่าเทียมกัน เก็บภาษีได้ใกล้เคียงกัน ทุกคนต้องเสียภาษีแม้แต่ตนก็เสียภาษี เสียเต็ม ไม่ใช่อยากรวยแล้วไม่เสียภาษี เราต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ แล้วภาษีนั้นจะกลับมาดูแลตัวเอง ไม่ใช่คิดแต่ว่าเอาภาษีผมไป ไม่มีเหตุไม่มีผล ตนไม่เคยแบ่งแยกคน แบ่งแยกชนไม่ได้ ขอทุกคนยอมรับกติกา ขอทุกคนไว้วางใจ ตนจะทำต่อไปให้ดีที่สุด ตราบใดที่ตนยังปฎิบัติหน้าที่ในการบริหาร
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ต้องเดินทาง ยังไงก็คิดถึงทุกคนทุกจังหวัด นี่คือคนทั้ง 68 ล้านคนที่แตกต่าง แต่ต้องการให้มีส่วนร่วมให้ได้ สิ่งสำคัญทุกคนเกิดที่นี่ต้องตายที่นี่ ใช่หรือไม่ ร่วมมือกับตนได้หรือไม่ได้ เดินหน้ากันต่อไป ตนขอสัญญาว่าตนจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตราบใดที่ตนยังทำหน้าที่ผ่านกลไกที่มีอยู่ อย่าทำลายแผ่นดินเกิดของท่าน ทุกคนโชคดีที่เกิดในแผ่นดินไทย อย่าให้ความไม่เข้าใจ การยุยงปลุกปั่น จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก เข้าใจไหม ยังจำได้ไหม ถ้าจำได้ก็อย่าลืมแล้วกัน ตนรักทุกคน ช่วยกันไปสู่วันใหม่ด้วยความใจเพชร
จากนั้นตัวแทนเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ในฐานะแกนประสานมหาวิทยาลัยราชภัฏ และตัวแทนมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ร่วมส่งมอบกรอบแแนวคิดการจัดทำแผนแม่บทกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง แก่นายกฯ
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ก่อนนายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาถึงภายในงาน ได้นิมนต์พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว มาบรรยายธรรม ซึ่งตอนหนึ่งได้กล่าวถึงค่าแรงขั้นต่ำที่มีหลายพรรคการเมืองนำเสนอในการหาเสียง โดยเฉพาะค่าแรง 425 บาท อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมยกความเห็นของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ระบุว่า หากปรับค่าแรงขั้นต่ำตามแนวทางหาเสียงดังกล่าว อาจเกิดภาวะเงินเฟ้อ และส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 100 บาทด้วย
