xs
xsm
sm
md
lg

โพลพระปกเกล้า เชื่อเสียงตัวเองเปลี่ยนประเทศได้ พร้อมใช้สิทธิ ขอหยุดวาทกรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สถาบันพระปกเกล้า จัดทำโพลส่วนใหญ่พอใจหาเสียงเพิ่มราคาพืชผล เลือก ส.ส.จากความซื่อสัตย์ วิสัยทัศน์ นายกฯต้องมีคุณธรรม เกือบ 100% เชื่อพลังเสียงตัวเองเปลี่ยนอนาคตชาติได้ พร้อมใช้สิทธิ คาดหน้าใหม่รับเลือกแยะ ขอหยุดสร้างวาทกรรม

วันนี้ (13 มี.ค.) สถาบันพระปกเกล้าโดย นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันฯ พร้อมด้วย นายสติธร ธนานิธิโชติ รักษาการผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกันแถลงผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่องนโยบายอะไรโดนใจประชาชน ผู้สมัครพรรคและว่าที่นายกฯแบบไหนที่นั่งในใจแล้วเข้าตา ซึ่งเป็นการสำรวจครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 7-10 มี.ค. จำนวน 1,540 ตัวอย่าง โดยผลสำรวจประเด็นแรกนโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองที่ประชาชนพึงพอใจและเห็นว่าทำได้จริง พบว่าอันดับ 1 ร้อยละ 20.4 คือเพิ่มราคาพืชผลทางการเกษตร 2.ร้อยละ 16.6 เพิ่มค่าจ้างแรงงาน และ 3.ร้อยละ15.6 ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยเหลือคนจน ถือว่านโยบายแก้ปัญหาการเกษตร ค่าแรง แก้ปัญหาความยากจน โดนใจมากที่สุด โดยคนกรุงเทพฯ ชอบนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ ภาคกลาง ชอบนโยบายเพิ่มค่าแรง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ภาคใต้ชอบนโยบายเพิ่มราคาพืชผลทางการเกษตร ลดต้นทุนทางการผลิต แต่เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุพบว่าคนรุ่นใหม่ช่วงอายุระหว่าง 18-25 ปี ชอบนโยบายเรียนฟรี ปฏิรูปการศึกษา คนวัยทำงาน อายุตั้งแต่ 26-35 ปี ชอบนโยบายเพิ่มค่าจ้างแรงงาน และลดความเลื่อมล้ำ ช่วยเหลือคนจน ส่วนคนสูงอายุ 61 ปีขึ้นไปชอบนโยบายเพิ่มราคาพืชผลทางการเกษตร

ประเด็นที่ 2 ปัจจัยในการเลือกผู้สมัคร พรรคการเมือง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พบว่าความซื่อสัตย์ มีวิสัยทัศน์ แก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ เป็นปัจจัยหลัก โดยความซื่อสัตย์มีความสำคัญมากร้อยละ 78.2 มีวิสัยทัศน์และความคิดก้าวหน้า ร้อยละ 66.8 ความสามารถในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 59.5 และเมื่อถามประชาชนว่า พรรคการเมืองแบบไหนที่ประชาชนจะเลือกอันดับ 1 ร้อยละ 64 ให้ความสำคัญกับนโยบายของพรรค 2.ร้อยละ 53.7 ให้ความสำคัญกับแนวทางการดำเนินการทางการเมืองของพรรค และ 3.ร้อยละ 51.1 ให้ความสำคัญกับอุดมการณ์ และเจตนารมณ์ของพรรค

ส่วนปัจจัยที่มีความสำคัญสำหรับผู้ที่จะเป็นนายกฯ อันดับ 1 ร้อยละ 82.2 ระบุว่าต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต ขณะที่ ร้อยละ 77.6 ต้องมีความโปร่งใสในการทำงาน และ 3.ร้อยละ 72.8 ต้องมีภาวะผู้นำ โดยพบว่าประชาชนไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องความเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วาทะศิลป์ในการสื่อสาร ประสบการณ์ทางการเมือง ขณะที่การตัดสินใจเลือกส.ส.แบบแบ่งเขตพบว่า ประชาชนร้อยละ 38.8 ให้ความสำคัญกับตัวผู้สมัครในเขต รองลงมาคือนโยบายพรรค พรรคการเมืองที่สังกัด และรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ทั้งนี้ เมื่อสำรวจเป็นรายภาคจะพบว่า คนต่างจังหวัดตัดสินใจเลือกจากตัวผู้สมัคร ขณะที่คนกรุงเทพฯ นำรายชื่อแคนดิเดตนายกฯนำมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือก

สำหรับประเด็นที่ 3 เป็นการสอบถามเรื่องความเชื่อมั่นในพลังเสียงของตัวเอง และความมุ่งมั่นในการไปใช้สิทธิ โดยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 94 เห็นด้วยว่า 1 เสียงของตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตประเทศให้ดีขึ้นได้ และประชาชนร้อยละ 95.9 ยืนยันว่าจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างแน่นอน

นายวุฒิสาร ยังกล่าวอีกว่า จากการสำรวจความคิดเห็นทั้ง 5 ครั้ง พบว่าทิศทางและหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกของประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีความสุกงอมทางการเมืองมากขึ้น ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับนโยบาย วันนี้เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับผู้สมัครในแต่ละเขต โดยเน้นในเรื่องคุณธรรม ความซื่อสัตย์ และการแก้ไขปัญหาให้กับพื้นที่ ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตา พูดจาฉะฉาน หรือประสบการณ์ทางการเมืองไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไปดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้คนหน้าใหม่จึงมีโอกาสที่จะได้รับเลือกมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่ารายชื่อแคนดิเดตนายกฯมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ ยังเห็นว่าคำร้องหลายเรื่องของหลายพรรคการเมืองที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของกกต.ไม่มีผลต่อการตัดสินใจออกเสียงของประชาชน เนื่องจากคำตัดสินสุดท้ายอยู่ที่ศาล อีกทั้งหลายคดีจะได้ข้อสรุปหลังวันที่ 24 มี.ค.โดยผู้มีสิทธิบางกลุ่มได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะเลือกใคร ทั้งนี้มีความเป็นห่วงเรื่องการใช้วาทกรรม ในการหาเสียงเลือกตั้งเช่น “สืบทอดอำนาจ” “เผด็จการ” และ “ฝ่ายประชาธิปไตย” โดยในอดีตเราเคยมีวาทกรรมพรรคเทพพรรคมารมาแล้ว แต่เมื่อเข้าไปดูในนโยบายก็เหมือนกันทั้ง 2 ข้าง ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้หยุดการสร้างนิยาม หรือวาทกรรมเพราะจะทำให้คนคิดว่าออกเสียงแบบนี้แล้วตัวเองจะกลายเป็นคนในกลุ่มนั้นหรือไม่ ซึ่งทำให้เกิดความเกลียดชังมีการแบ่งขั้วเกิดขึ้นในการเมืองไทย และไม่ได้เป็นเจตนารมณ์ในการเลือกตั้งที่ต้องทำให้การเลือกตั้งเป็นเจตนาที่บริสุทธิ์ของประชาชนและปราศจากอคติ โดยจะต้องคำนึงถึงนโยบายของพรรคการเมือง เป็นหลักมากกว่าการใช้วาทกรรมอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น