เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องพิสูจน์กัน ให้เห็นว่ากลยุทธ์ หรือยุทธวิธีของบางพรรคการเมืองที่กำลังเร่งเร้ากันอยู่ในเวลานี้จะได้ผล นั่นคือจะได้คะแนนเสียงจากชาวบ้านผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้หรือไม่
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพก็ต้องตั้งข้อสังเกตว่ามีพรรคการเมืองแบบไหนบ้างที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายดังที่ว่านี้ ก่อนอื่นก็ต้องโฟกัสไปที่บรรดาพรรคที่เข้าใจว่าเป็นเครือข่ายของ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ว่าจะเป็น พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ รวมไปถึงพรรคแนวร่วมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อชาติ และล่าสุดที่กำลังสร้างกระแสเพิ่มดีกรีความเข้มข้นก็คือ พรรคเสรีรวมไทย ของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส
แน่นอนว่าที่ผ่านมา พวกเขารวบรัดสรุปจับจองแล้วว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ขณะที่ผลักไสอีกฝ่ายเป็นฝ่ายเผด็จการบ้าง อนุรักษนิยมบ้าง พวกสนับสนุนการสืบทอดอำนาจบ้าง ก็ว่ากันไป
ที่ผ่านมา หากสังเกตให้ดีจะพบว่า บรรดาพรรคการเมืองดังกล่าว โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย รวมทั้งพรรคเครือข่ายใกล้ชิด ที่แยกย้ายแตกตัวออกมาตามยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พัน” เพื่อหวังช้อนเก็บคะแนนในระบบ ส.ส.บัญชีรายชื่อกลับมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่เดินเกมพลาดมหันต์ ล่าสุด วันที่ 7 มีนาคม ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพร้อมตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคคนละ 10 ปี ขณะที่บรรดาผู้สมัคร ส.ส.ทั้งหมด ก็ถือว่าทุกอย่างเป็นโมฆะ ไม่มีความหมายเหมือนกับว่า “ไม่มีตัวตน” ในสนามเลือกตั้งคราวนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับ “ยุทธศาสตร์ของคนที่อยู่เบื้องหลัง” ในแบบที่ย่อยยับป่นปี้ ซึ่งค่อยมากันในโอกาสถัดไป
นาทีนี้จะโฟกัสเฉพาะยุทธวิธี “ด่าทหาร” และการโชว์พาวเวอร์แบบ “แสดงโชว์” ออกนอกหน้าจนผิดสังเกตของบางคนและบางพรรคการเมืองทั้งก่อนหน้านี้ และในปัจจุบันที่กลายมาเป็นอีกคนหนึ่งที่แสดงบทบาทให้โดดเด่น
สำหรับการตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามระหว่างเครือข่ายหลักของ ทักษิณ ชินวัตร อย่างพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างพรรคเพื่อไทย และอีกบางพรรคถือว่าพอเข้าใจได้ และหากโฟกัสไปที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมไปถึงหัวหน้ารัฐบาล คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องพุ่งเป้าโจมตี เพราะถือว่าการดำรงอยู่ของ คสช.และรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับพวกเขา โดยเฉพาะกับ “นายใหญ่” ไม่ว่าจะเป็นในคดีทุจริตที่ถูกผลักดันเข้าสู่ศาล และโอกาสที่ “สองพี่น้อง” ทั้งทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับการนิรโทษกรรมกลับประเทศแบบเท่ๆ นั้นเป็นแค่ฝันกลางวัน
สำหรับการเลือกตั้งคราวนี้ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามพรรคพลังประชารัฐ มันก็ยิ่งทำให้โอกาสที่พรรคในเครือข่ายได้กลับมาเป็นรัฐบาลยุ่งยากมากขึ้นไปอีก และหากพลาดขบวนเที่ยวนี้ถือว่า “จบเห่” เพราะกว่า 5 ปีที่ผ่านมาเครือข่ายอำนาจของพวกเขารวมทั้งมวลชนถูกย่อยสลาย ถูกลดอิทธิพลลงไปมาก หากเวลาผ่านไปอีกรยะหนึ่งลองหลับตานึกภาพเอาก็แล้วกันว่าจะเสียหายขนาดไหน
อย่างไรก็ดี ในทางการเมืองหากพิจารณาจากเครือข่าย แนวร่วมก็มีหลายประเภท ทั้งประเภทใกล้ชิดแบบ “เด็กในบ้าน” ประเภทที่ขออาสาเข้ามาร่วม เพื่อหวังจะได้คะแนนเสียงจากมวลชนที่เคยสนับสนุน เพราะล่าสุดเมื่อพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบไป มันก็ย่อมมีผลต่อคะแนนเสียงในส่วนนี้ว่าจะให้เทไปทางไหน
ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในพรรคไทยรักษาชาติ ก็มีบางพรรค รวมทั้งพรรคเพื่อไทยที่มี “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตขอพรรคที่เสนอยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ตัดงบประมาณกองทัพ หรือพรรคแนวร่วม เช่น พรรคอนาคตใหม่ ที่เคยเล่นบทห้าวในทำนองเดียวกัน เสนอแก้กฎหมายเพื่อลดบทบาทของผู้นำกองทัพว่าต้องอยู่ใต้อำนาจของนักการเมือง โดยอ้างว่ามาจากประชาชน เป็นต้น
แต่เมื่อถูกตอบโต้จากกองทัพ และฝ่ายสังคมที่ให้การสนับสนุนฝ่ายทหาร รวมไปถึงต้องมาเสียเครดิตจากการปลอมแปลงประวัติของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคและถูกร้องยุบพรรคทำให้บทบาทในเรื่องแบบนี้ในระยะหลังดูจะซาลงไป และที่สำคัญเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจผลที่ออกมาก็ไม่ค่อยเปรี้ยงตามที่คาดมากนัก
แต่ที่น่าจับตามองก็คือ “การแสดงบทบาทด่าทหาร” ในระยะหลังของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ถือว่าเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ “พี่ใหญ่ คสช.” ไปจนถึง “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก และล่าสุดเกิดเหตุที่จังหวัดปราจีนบุรี ที่ปรากฏคลิปที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ใช้คำพูดและท่าทีตำหนินายทหารรายหนึ่งในตลาดอย่างรุนแรง จนตามมาด้วยการ “ตบเท้า” ปกป้องศักดิ์ศรีและแจ้งความดำเนินคดีตอบโต้
แน่นอนว่า กรณีที่เกิดขึ้นก็แล้วแต่มุมมองและทัศนคติของแต่ละคนแต่ละฝ่าย ฝ่ายที่สนับสนุนก็อาจบอกว่าเหมาะสมแล้ว และแก้ต่างให้แทนว่าไม่ได้เกินเลย ขณะที่อีกฝ่ายก็มองเป็นตรงกันข้าม ก็ว่ากันไป
แต่หากจะให้โฟกัสที่บทบาทล่าสุดของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หลายคนอาจมองว่านี่คือ “การแสดง” ที่ต้อง “เข้ม” ให้เข้าตา “บางคน” และหวังคะแนนเสียงที่อาจจะเทมาจากพรรคไทยรักษาชาติ หรือวาดหวังไปไกลได้ลุ้นเก้าอี้ “นายกฯนอมินี” คนใหม่ที่ตัวเองเคยอาสาประกาศขอ “กำราบทหาร” แทนให้หรือไม่
อย่างไรก็ดี กลยุทธ์แบบนี้จะได้ผลหรือไม่ และชาวบ้านส่วนใหญ่จะสนับสนุนหรือไม่ หรือว่าจะพลิกกลับเป็นตรงกันข้าม แต่สำหรับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส บทบาทแบบนี้น่าจะคุ้มค่า มีแต่กำไร เพราะมั่นใจได้ว่าได้ใจมวลชนในเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ไม่มากก็น้อย ถือว่าได้กำไร ส่วนจะมากหรือน้อยก็ถือว่าเป็่นกำไรแล้ว!!