ข่าวปนคน คนปนข่าว
** คดี "ดิสธร วัชโรทัย" ถูกพิพากษาจำคุก 5 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ-แจ้งความเท็จ-ฉ้อโกง แต่สารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน อัยการโจทก์ไม่อุทธรณ์ ย้อนอดีตก่อนหน้าเคยถูกไล่ออกจากราชการ-เรียกคืนเครื่องราช ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
สำนักข่าวอิศราได้รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บชก.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 61 ศาลอาญา มีคำพิพากษาจำคุก นายดิสธร วัชโรทัย อดีตข้าราชการประจำสำนักพระราชวัง เป็นระยะเวลา 2 ปี 6 เดือน จากความผิดในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ร่วมกันแจ้งข้อความเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือ ประชาชนเสียหาย และร่วมกันฉ้อโกงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 , 157 341 ประกอบมาตรา 83 ตามคำฟ้องของ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามรายงานสอบสวนคดี ที่ 79/2560 คดีดำ อท.172/2561คดี แดง อท.204/2561...
ศาลฯ มีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 , 341 ประกอบมาตรา83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุก 5 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2ปี 6 เดือน ... ขณะที่อัยการมีความเห็นไม่อุทธรณ์คำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง และลงโทษจำเลยตามคำฟ้องนั้นชอบแล้ว
ย้อนหลังไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 พ.ย.60 สำนักพระราชวัง ได้มีคำสั่งลงโทษไล่ "นายดิสธร วัชโรทัย" ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายพลเรือน ตำแหน่งประจำสำนักพระราชวังพิเศษ ออกจากราชการเนื่องจาก "กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง" โดยปรากฏเป็นข่าวใหญ่ของหนังสือพิมพ์ โดยเรื่องเปิดเผย เมื่อวันที่ 6 พ.ย. นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการพระราชวัง ได้ลงนามในคำสั่ง สำนักพระราชวัง ที่ 568/2560 เรื่อง ลงโทษไล่ข้าราชการออกจากราชการ ระบุว่า ด้วย"นายดิสธร วัชโรทัย ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายพลเรือน ตำแหน่งประจำสำนักพระราชวังพิเศษ เลขที่ ตำแหน่ง 650 สังกัดราชการบริหารส่วนกลาง อัตราเงินเดือน 76,800 บาท ได้กระทำผิดวินัย ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยมีกรณีความผิดกล่าวคือ นายดิสธร ซึ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ อีกหน้าที่หนึ่ง ได้ใช้อำนาจของตน สั่งการให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ แสดงเอกสารรับรองว่าบุคคลภายนอก ได้บริจาคเงินให้แก่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เป็นจำนวนเงิน ยี่สิบห้า (25) ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าตามปกติ โดยไม่ได้มีการบริจาคเงินจำนวนดังกล่าวจริงแต่อย่างใด และ "นายดิสธร" ได้นำเอกสารรับรองการบริจาคดังกล่าว เสนอต่อกรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ "ชั้นทุติยดิเรกคุณาภรณ์" ให้แก่บุคคลภายนอก อันเป็นการฉ้อโกงเครื่องราชอิสริยาภรณ์
และ นายดิสธร ในฐานะรองเลขาธิการพระราชวัง ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลกองพระราชพาหนะ ได้นำรถยนต์ในพระปรมาภิไธย ไปใช้จนเกิดอุบัติเหตุ และแอบอ้างพระปรมาภิไธย เพื่อยกเว้นภาษีการนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ แล้วนำรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศไปใช้ทดแทนรถยนต์คันเดิม ที่ประสบอุบัติเหตุ โดยไม่ปรากฏหลักฐานการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถยนต์คันใหม่ และไม่มีหลักฐานการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันเดิม แต่ อย่างใด
นอกจากนี้ นายดิสธร ได้มีความ"สัมพันธ์ฉันชู้สาว" กับหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาของตนเอง เมื่อหญิงตั้งครรภ์ กลับพาหญิงคนดังกล่าว"ไปทำแท้ง" นอกจากนั้น เมื่อหญิงคนดังกล่าวตั้งครรภ์เป็นครั้งที่สอง นายดิสธร ก็ยังบังคับข่มขืนใจเพื่อให้ไปทำแท้งอีกครั้ง แต่หญิงคนดังกล่าวไม่ยินยอม นายดิสธร จึงบังคับหญิงคนดังกล่าวให้แต่งงานกับชายอื่น ซึ่งไม่เคยมีความสัมพันธ์กัน
อีกทั้ง นายดิสธร ได้นำดินที่ขุดทิ้งจากโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ ซึ่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ขอรับบริจาคจากสภาสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในกิจการของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ แต่ นายดิสธร กลับนำดินดังกล่าวไปขายให้แก่โครงการหมู่บ้านจัดสรรและยังนำดินส่วนหนึ่งไปถมในพื้นที่ของครอบครัวตนเอง ซึ่งมิได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ขอรับบริจาค พฤติกรรมดังกล่าวของ นายดิสธร เป็นการกระทำผิดราชสวัสดิ์ และเป็นความผิดวินัยฐาน กระทำการอันได้ชื่อว่า"เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง" จึงเห็นสมควรได้รับโทษไล่ออกจากราชการ
สำนักพระราชวังพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของ "นายดิสธร วัชโรทัย" เป็นความผิดวินัย ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงเห็นควรลงโทษ"ไล่ออกจากราชการ" และเรียกคืน"เครื่องราชอิสริยาภรณ์" ด้วย
** ขำขำ ดราม่าไฟลุกท่วมออนไลน์ จากทำไม“ชวน หลีกภัย”นั่งรถไฟไปลำพูน ถึง "พ่อของฟ้า" ธนาธร นั่งล้อมวงกินข้าวบ้านๆ วิพากษ์หนักมาก สังเวชใจกลวิธีสร้างภาพหาเสียงยุคสังคมอุดมโซเซียล ที่นักแสดงอาชีพอาย
เกรียนคีย์บอร์ดผู้ไม่หวั่นเกรง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ยังเคาะแป้นรัวๆ ผสมโรงด้วย"ไอโอ" ของแต่ละฝ่ายที่รับงานมาทำลายฝ่ายตรงข้าม เตะตัดขาพรรคคู่แข่งช่วงอีกไม่กี่วันจะเลือกตั้ง ต้องทำงานกันหนักมาก ขณะเดียวกัน "ฝ่ายเสธ." ของเหล่าบรรดา “ตัวพ่อ”หรือ “ตัวแม่”ที่เรียกเรตติ้งให้พรรคได้ก็พยายามคิดมุกให้แปลกแหวกแนว และเกิดเป็นประเด็นชิงพื้นที่สื่อ โดยเฉพาะเครือข่ายสังคมออนไลน์ เอาไปแชร์ปั่นกระแสเรียกคะแนนได้อีก..
วันก่อน "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย วิดพื้นโชว์ความแกร่ง ตอกย้ำเป็นนักการเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ซึ่งยังหากินกับมุกนี้ได้ผล ... วันนี้ ปรากฏภาพของ "นายชวน หลีกภัย" อดีตนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ นั่งรอรถไฟจะไปยังจังหวัดลำพูน และภาพ “พ่อของฟ่า”ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ล้อมวงกินข้าวกับชาวบ้านแบบกันเอง ขณะลงพื้นที่หาเสียงที่ภาคใต้ กลายเป็นประเด็นดราม่า กันสนุกสนาน ...
กระทู้ภาพ“ทำไมชวนนั่งรถไฟไปลำพูน”ถูกรุมขยี้ บี้ซ้ำเหน็บแหนมว่า เป็นภาพชวนสังเวชใจ กับมุกควายที่หลอกชาวบ้าน ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริง และ ตั้งคำถามว่า คนแบบนี้หรือจะให้เข้ามาดูแลประเทศ ... ในความเป็นไปภาพ นายชวน นั่งปะปนกับชาวบ้านนั้นดูสมถะ เรียบง่าย เป็นเอกลักษณ์ ที่ทุกคนคุ้นชิน โพสต์โดย "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันจันทร์ ที่ผ่านมา โดยได้อธิบายไว้ว่า ค่ำวันที่ 4 มี.ค. ชวน หลีกภัย เดินทางโดยรถไฟข้ามคืนไปยัง จังหวัดลำพูน มีผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ดร.เจริญ คันธวงศ์ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล นายสุรบถ หลีกภัย ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ และ น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร ร่วมคณะเพื่อช่วยผู้สมัครในเขตจังหวัดภาคเหนือในเช้าวันถัดมา...
ทั้งนี้รถไฟรางคู่ ถือได้ว่าริเริ่มในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมติ ครม. ปี 2536 ให้ก่อสร้างรางคู่ ในเส้นทางชานเมือง 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางคลองรังสิต-ชุมทางบ้านภาชี-ลพบุรี , เส้นทางหัวหมาก-ฉะเชิงเทรา, เส้นทางบางซื่อ-ตลิ่งชัน-นครปฐม , เส้นทางชุมทางบ้านภาชี-มาบกะเบา ระยะทาง 231 กม. วงเงิน 7,064 ล้านบาท
คุณหญิงกัลยาได้หมายเหตุด้วยว่า เรื่องควรรู้ คือ เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดงบประมาณให้พรรคการเมืองใช้งบประมาณ"ไม่เกิน 35 ล้านบาท" ต่อหนึ่งพรรค เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง (ไม่เกี่ยวกับเขต) ดังนั้น ผู้สมัครบัญชีรายชื่อเช่น ท่านชวน หลีกภัย และผู้สมัครบัญชีรายชื่อ 150 คน ถ้าหากเดินทางด้วยเครื่องบินหมดทุกคน แล้วรวมค่าใช้จ่ายจะเป็นงบประมาณที่สูงมาก ดังนั้นผู้สมัครบัญชีรายชื่อที่เดินทางไปในแต่ละพื้นที่ จึงใช้วิธีการเดินทางโดย "รถยนต์-รถไฟ-รถโดยสาร" เป็นทางออกให้กับพรรค # จบข่าวที่ควรรู้...
ทำไมชวนนั่งรถไฟไปลำพูน จึงมีคำตอบแบบว่า เป็นเรื่องงบประมาณหาเสียงด้วยประการฉะนี้ ทำนองเดียวกับภาพของ"ชวน หลีกภัย" การหาเสียงกับชาวบ้านในขณะลงพื้นที่ของ "ธนาธร จึงรุ่งเริองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ฉายา “พ่อของฟ้า”มีภาพที่กำลังนั่งล้อมวงกินข้าวแบบชาวบ้านดูเป็นกันเอง ขัดสายตากับภาพของ"เศรษฐีหนุ่มรวยหมื่นล้าน" ดราม่าปมนี้ก็ไม่เบาพอๆ กับภาพชวน... ธนาธร .. เป็นนักแสดงมืออาชีพไปแล้ว
คนในโซเซียลจะมองความเป็นจริงที่ขัดแย้งกับภาพการหาเสียงของ “พ่อของฟ้า”ที่ไปไหน ตอนนี้ถูกจับภาพ เรียกเสียงกริ๊ด จากสาวแก่ สาวรุ่น ไปจนถึงสตรีข้ามเพศ ในมุมของกองเชียร์ ... ธนาธร ทำอะไรก็น่าร้ากก ... เทศกาลการเลือกตั้งย่อมเป็นเช่นนี้แล อดีตเคยมีคำพูดกันว่า นักการเมืองทำได้ทุกอย่างเพื่อเรียกคะแนน ยกมือไหว้ได้แม้กระทั่งเสาไฟฟ้า หรือ หมาเดินผ่าน ประสาอะไรกับ "ภาพดราม่า" ล่อเป้าทำนองนี้ ก่อนจะถึงวันที่ 24 มี.ค. เราท่านคงจะได้ประสบกับภาพทำนองนี้อีกมากทีเดียว แบบว่าเอียนกันไปข้าง สังเวชใจกันบ้าง ขำขำกันไป ...