เมืองไทย 360 องศา
ก่อนอื่น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ในนิยามของคนกลุ่มนี้ก็คือพิสูจน์กันด้วยการ “เลือกตั้งที่พวกเขาต้องชนะ” หรือแม้แต่การพิสูจน์ความถูกผิดก็ต้องผ่านการเลือกตั้ง เหมือนกับครั้งหนึ่งที่คนฝ่ายนี้ยืนยันขัดขวางไม่ให้ดำเนินคดี “ซุกหุ้น” กับผู้นำของพวกเขาโดยอ้างว่าประชาชนเลือกมากว่าสิบล้านเสียง และในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็สรุปเอาเองว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกสนับสนุนเผด็จการ หรือสนับสนุนการสืบทอดอำนาจอะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากนิยามความหมายรวบรัดดังกล่าวก็ต้องบอกว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ที่สนับสนุนและเป็นแนวร่วมกับ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวในเวลานี้ก็ต้องบอกว่าได้รับแต่ข่าวร้ายประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน
เริ่มจากเรื่องหลักก่อนจากกรณีพรรคไทยรักษาชาติ มี ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช เป็นหัวหน้าพรรค ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะตัดสินคดียุบพรรคในวันที่ 7 มีนาคม ซึ่งหากนับจากวันนี้ก็นับถอยหลังไม่กี่ชั่วโมงก็จะรู้แล้วว่าผลจะออกมาแบบไหน ยุบหรือไม่ยุบ แต่ขณะนี้เมื่อสำรวจเข้าไปข้างในก็มั่นใจได้ว่าทุกคนคงหายใจไม่ทั่วท้อง ทุกอย่างหยุดนิ่งไม่กล้าขยับอะไรได้แต่รอลุ้นอย่างเดียว แต่ในทางการเมืองถือว่า “จบเห่” ไปแล้ว
ยิ่งหากผลออกมาในทางลบก็อย่างที่รู้กันจากเดิมที่เคย “เล็งเห็นผล” ในแบบวิธี “แตกแบงก์พัน” เพื่อหวังกินรวบในภายหลัง เพราะมีเรื่องบังเอิญอย่างร้ายกาจที่พรรคเพื่อไทยที่คอการเมืองรับรู้กันว่าเป็น “พรรคหลัก” ส่งผู้สมัคร ส.ส.ในระบบเขตไม่ครบทั้ง 350 เขต ขณะที่พรรคไทยรักษาชาติที่เรียกว่า “พรรคย่อย” หรือที่คนทั่วไปมองว่าเหมือนกับ “บริษัทลูก” ก็ส่งสมัครแบบเขตแค่ 150 เขต และแทบทั้งหมดจะไม่มีผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยลงแข่งขัน เป็นลักษณะหลีกทางให้ จนถูกเข้าใจว่า “ฮั้วกัน” ดังนั้น หากในวันที่ 7 มีนาคม ผลออกมาแบบว่าเป็นลบ ก็ต้องบอกว่าเป็น “หายนะ” สถานเดียว
เพราะการที่หลายคนมองว่าจะมีการเทเสียงให้กับพรรคแนวร่วม หรือพรรคในเครือข่ายอื่น มันพูดได้แต่ทำได้ไม่ง่าย เนื่องจากไม่ได้วางแผนให้ออกมาแนวนี้ตั้งแต่แรก เพราะหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เหมือนกับว่าพรรคเพื่อไทยเป็นบริษัทแม่ ส่วนไทยรักษาชาติก็เป็นบริษัทลูกเป็นเครือข่ายอย่างเป็นทางการ ดังพิจารณาจากตัวบุคคล ผู้สมัครที่ชื่อชั้นล้วนแต่เป็นระดับ “วงใน” ทั้งสิ้น ส่วนพรรคอื่น ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อชาติ หากให้เข้าใจก็เหมือนกับ “พวกอาสาขอเป็นแนวร่วม” แบบนั้นมากกว่า ส่วนลักษณะแนวร่วมจริงๆ น่ามองไปทางพรรคอนาคตใหม่มากกว่า
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากการ “ขับเคลื่อน” ของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ในแบบ ทักษิณ ชินวัตร นาทีนี้ถือว่ามีความติดขัด เดินไม่สะดวกตั้งแต่แรก เริ่มจากบรรดาแกนนำหลายคนมีความจำเป็นต้องลดบทบาท หรือต้อง “เร้นกาย” หลบลี้หนีหน้าตั้งแต่เริ่มสตาร์ทนั่นคือ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และ สามีคือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ท่ามกลางข่าวที่กำลังจะถูกดำเนินคดีในคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว รวมไปถึงรายงานล่าสุดที่ระบุว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังจะมีการไต่สวนเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกด้วย
โดย “เจ๊แดง” จนบัดนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัว มีเพียงสมชาย เท่านั้นที่เพิ่งโผล่มาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เนื่องจากปรากฏเป็นข่าวลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดหนองคาย
ด้วยปรากฏการณ์ในลักษณะดังกล่าวทำให้นี่อาจเป็นครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทยลงสนามเลือกตั้งในแบบที่เหมือนกับซังกะตาย ไม่คึกคัก ไม่มีความมั่นใจเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา อย่างน้อยก็ได้เห็นการย้ายพรรคของบรรดาระดับ “บิ๊กเนม” จำนวนมาก ไปสังกัดฝ่ายตรงข้าม ประกอบกับข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้สังเกตเห็นว่า ในการรณรงค์หาเสียงคราวนี้พรรคเพื่อไทยรวมไปถึงพรรคไทยรักษาชาติ กลับไม่มีนโยบายอะไรที่โดดเด่นชวนให้จดจำ ส่วนใหญ่ก็พื้นๆ ส่วนใหญ่เหมือนกับว่า “กินบุญเก่า” กระแสจึงไม่เปรี้ยง เมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้ามที่คึกคักฮึกเหิมขึ้นทุกวัน
เมื่อโฟกัสไปที่พรรคแนวร่วมหรือพรรคเครือข่าย ก็ล้วนเจอแต่ข่าวด้านลบประดังเข้ามาแบบรายวันนอกเหนือจากข่าวความแตกแยกฟัดกันนัวเนียในพรรคเพื่อชาติ ระหว่าง จตุพร พรหมพันธุ์ กับ ยงยุทธ ติยะไพรัช สองผู้สนับสนุนคนสำคัญและยังเสี่ยงต่อการถูกฟ้องยุบพรรคตามมาอีก
ล่าสุด ก็มีข่าวร้ายที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ในทางลบกับพรรคพลังปวงชนไทย ที่มี “ญาติผู้พี่” พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค ถูกบรรดาผู้สมัคร ส.ส.เขตหลายจังหวัดร้องให้ยุบพรรคพร้อมกับกล่าวหาว่าตกเป็นเหยื่อต้มตุ๋นหลอกลวงต้องสูญเสียเงินไปคนละไม่ต่ำกว่าหลักแสนหลักล้านบาท
ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ หลังจาก “พ่อของฟ้า” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคถูกร้องจากกรณี “ปลอมแปลงประวัติ” ของตัวเอง และพูดจาดูถูกคนอีสาน ล่าสุดรองหัวหน้าพรรค พล.ท.พงศกร รอดชมพู ถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ จากการแชร์ข่าวเท็จใส่ร้าย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า “กินกาแฟแก้วละหมื่นสอง” เข้าไปอีก
แต่ละเรื่องล้วนแต่เป็นข่าวร้ายข่าวทางลบ ไม่เป็นผลดีหรือเป็นผลบวกในการแข่งขันสร้างคะแนนนิยมในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งเลยแม้แต่น้อย เพราะหากโฟกัสกันเฉพาะ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ของ ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าทุกอย่างมันไม่เป็นใจ มีแต่เรื่องให้ต้องลุ้นหวาดเสียวอยู่ทุกวัน !!